DND.891 – ลอบสังหาร
รองผู้จัดการใหญ่ถึงกับปวดหัว…ทำไมถึงต้องมีตัวปัญหาอีกคนกัน?ซือหยูเซี่ยนออกไปคนเดียวยังไม่เป็นไร แต่ถ้าหากอาจารย์เกาออกมาด้วย ใครเล่าจะเรียนรู้คำใหม่จากเฉียน? เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของดินแดนพรสวรรค์ พวกเขาปล่อยให้อารมณ์พาไปเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ท่านจะตามพวกเรามาทำไมกัน?อยู่ที่นี่แล้วศึกษาภาษาไม้กับทุกคนต่อเถิด”
รองผู้จัดการใหญ่กล่าว
แต่เมื่อถึงตอนนี้ใบหน้าของเฉียนก็แข็งกร้าวขึ้นมา
“ขออภัยข้าเปลี่ยนใจแล้ว ถ้าอาจารย์เกาอยากจะตามพวกเขาไปก็อย่ามาอยู่ที่นี่!”
รองผู้จัดการใหญ่โกรธเกรี้ยวไล่ซือหยูไปก็พออยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขาอยากจะขับไล่อาจารย์เกาที่มีเกียรติยศในเมืองเทียนหยาออกไปด้วย! เขาทำอย่างกับว่างานเซ่นในปีนี้เป็นการละเล่นของเด็ก!
นักบวชโซรีบพูด
“สัตว์ประหลาดอู๋ทนไปก่อน! ห้ามโกรธเด็ดขาด! นี่ไม่ใช่เวลาจะมีอารมณ์! ไม่เป็นไรถ้าเจ้าอยากจะเอาคืนเจ้านี่ แต่ตอนนี้เจ้าใจเย็นลงก่อน!”
รองผู้จัดการใหญ่โกรธถึงขีดสุดนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้! แต่อาจารย์เกาก็ยิ้มให้ซือหยูและออกจากค่ายกล
“เจ้าของร้านซือข้าอยากจะคุยกับท่านมานานแล้ว สุดท้ายก็มีโอกาสเสียที ไปข้างนอกกันเถอะ”
เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ทุกคนก็ทำได้แค่เงียบไป เฉียนถอนหายใจแรงและโบกมือ
“ฮ่าๆๆ!แมลงวันน่ารำคาญไปเสียที! สงบสุขกลับมาแล้ว พวกเรามาต่อกันเถอะ”
เมื่อที่นั่งของอาจารย์เกาว่างทุกคนก็เข้ามานั่งใกล้กันได้ยิ่งขึ้น ชายวัยกลางคนสวมชุดสีส้มฟังคำอธิบายจากเฉียนด้วยความจริงจังอย่างมาก เขายอมรับข้อคิดเห็นจากเฉียงอยู่ตลอดเวลา นั่นทำให้เขาได้ใจเฉียนไป นั่นทำให้เขาได้รับการปฏิบัติที่ดีหลังจากนั้น
เมื่อการหารือดำเนินที่ด้านในข้างนอกได้เกิดวายุรุนแรงพัดหินดินทรายอย่างป่าเถื่อน รองผู้จัดการใหญ่รู้สึกผิด คำพูดที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นได้กลายเป็นการถอนหายใจอย่างหมดท่า
จากนั้นพอผ่านไปนานเขาก็พูด
“อย่างน้อยก็ดีที่เจ้าสองคนจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้เพราะเจ้าสองคนก็ไม่น่าจะแย่ไปกว่าพวกนั้น”
เมื่อพูดจบรองผู้จัดการใหญ่เดินเข้าค่ายกลไปโดยทิ้งทั้งสองไว้ท่ามกลางสายลมเย็นอันรุนแรง
“เจ้าของร้านซือ”
อาจารย์เกาพยายามจะปลอบ
“รองผู้จัดการใหญ่มีภาระของตนเองอยู่อย่าได้โกรธเคืองเขา มาโทษข้าดีกว่า ถ้าความรู้ภาษาไม้ของข้าเหนือกว่าพวกเขา รองผู้จัดการใหญ่ก็คงไม่ต้องทำเช่นนี้”
ซือหยูส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรเวลาเรามีจำกัด ข้าจะถ่ายทอดทุกอย่างที่รู้ให้ท่าน ส่วนจะจำได้มากน้อยเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับท่าน”
อาจารย์เกาตกใจเขาตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย ความตั้งใจแรกของเขาคือการเลี่ยงไม่ให้ซือหยูโกรธ เขาจึงเดินออกมาเพื่อที่จะชี้แนะภาษาไม้ที่เขาเข้าใจ
เขามั่นใจในความรู้ของตัวเองเพราะเขาร่ำเรียนในวิถีที่ถูกต้องในหลายปีที่ผ่านมาและมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเขามั่นใจว่าความรู้ของเขาอยู่ในระดับที่น่าประทับใจแล้ว
แต่ซือหยูตามข่าวที่เขาได้มา ซือหยูเป็นเพียงเด็กหนุ่มแต่มีรูปลักษณ์แก่เฒ่าก็เพราะการบ่มเพาะพลังแปลกๆ นั่นทำให้อาจารย์เกาสงสัย…เขาถูกวิถีแห่งพลังล่อลวงตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ เขาจะรู้ภาษาไม้สักกี่คำกัน?
อาจารย์เกาคิดว่าถ้าช่วยถ่ายทอดความรู้ให้กับซือหยูในคืนนี้เขาจะช่วยรักษาหน้าของซือหยูได้บ้างในวันถัดไป แต่เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อถูกซือหยูเสนอการชี้แนะให้ด้วยน้ำเสียงที่ดูเหนือกว่า
“ฮ่าๆๆได้หารือกันก็ดี!”
อาจารย์เกากล่าวเขาพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้ซือหยูได้มีทางลง
ซือหยูรู้ว่าอาจารย์เกาคิดอะไรเขาจึงพยักหน้า
“ก็ได้เช่นนั้นก็มาหารือกัน…”
พวกเขาเลือกศิลาก้อนใหญ่และใช้พลังชีวิตเขียนภาษาไม้ที่กลางอากาศทีแรก อาจารย์เกาสามารถหารือกับซือหยูได้บ้าง แต่หลังจากผ่านไปสักระยะ เขาก็ตระหนักได้ด้วยความตกใจว่าชายหนุ่มผู้นี้มีความรู้อย่างกว้างขวาง! แท้จริงแล้ว ซือหยูรู้คำภาษาไม้ทุกคำที่เขากล่าวถึง!
และจากนี้ไปอาจารย์เกาก็เริ่มนับถือซือหยูขึ้นมา สุดท้ายเขาก็เลิกล้มความคิดที่จะถ่ายถอดความรู้ให้กับซือหยู แต่เป็นการหารือในสถานะที่เทียบเท่ากัน!
แต่เมื่อผ่านไปอีกนานอาจารย์เกาก็ตระหนักได้ว่าเขาเริ่มตามความคิดของซือหยูไม่ทัน ในทีแรก ทั้งคู่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้บ้าง แต่เมื่อผ่านเนื้อหาส่วนหนึ่งไป อาจารย์เกาก็พบว่าตัวเองมิอาจพูดตอบได้มากนัก เขากำลังสับสนกับการใช้คำพูด
ก่อนจะจบซือหยูกลายเป็นคนเดียวที่พูดอยู่ขณะที่อาจารย์เกาตั้งใจฟังอย่างไม่ลดละ สุดท้าย อาจารย์เกาก็มิอาจจำเนื้อหาที่ซือหยูอธิบายได้อีก
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็รีบตะโกนหยุดซือหยู
“ช้าก่อน!”
แววตาของอาจารย์เกาที่จ้องมองซือหยูเต็มไปด้วยความตกตะลึงสิ่งที่ซือหยูเพิ่งจะอธิบายคือชุดทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาไม้ผีซึ่งคล้ายกับการออกเสียงของภาษามนุษย์
การเข้าใจทฤษฎีเหล่านี้จะสามารถทำให้รู้รูปแบบของคำในภาษาไม้ทั้งหมดเขาสาบานได้ว่าไม่มีใครในจิวโจวที่รู้ทฤษฎีเหล่านี้มาก่อน!
“นี่เจ้า…”
อาจารย์เกามิอาจอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ได้เลย
เพราะการได้เห็นชายหนุ่มที่เข้าใจทฤษฎีของภาษาไม้ที่ไม่มีใครในทวีปทำได้มาก่อนนั้นมันเกินจริงไปมากเขาไม่รู้เลยว่าจะต้องคิดอย่างไร!
ในขณะที่งุนงงเขาก็นึกได้ว่าซือหยูบอกให้เขาตั้งสมาธิในการจดจำให้ดี และเขาจะเข้าใจได้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับเขา นั่นมิใช่คำพูดของชายโง่เขลาอวดดีเลย แต่นี่คือคำชี้แนะอันเยือกเย็นของอาจารย์!
อาจารย์เกาไม่กังขาความสามารถของซือหยูอีกแล้วในใจกลับมีแต่ความนับถืออันลึกล้ำ
เขาโค้งเคารพซือหยู
“ท่านอาจารย์โปรดชี้แนะข้าด้วย”
เขาทำความเคารพไม่ต่างกับที่ศิษย์ทำต่ออาจารย์เขาหยิบจดหมายหยกออกมาเพื่อเตรียมจะจดรายละเอียดทุกอย่างที่ซือหยูจะอธิบาย ซือหยูยอมรับการโค้งคำนับแทนหยุนย่าสี ซือหยูรู้ว่าหยุนย่าสีคงจะภูมิใจเมื่อเห็นว่าการค้นคว้าของตนได้ออกไปสู่โลกภายนอก..novel-lucky
“ไปต่อเถอะ”
ซือหยูพูดก่อนจะอธิบายสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาจากหยุนย่าสีต่อไป
เขาอธิบายไปจนอาจารย์เกาเข้าถึงคำภาษาไม้จำนวนมากตั้งแต่การจดจำไปถึงการออกเสียงและความหมาย ซือหยูต้องอดทนอย่างมากในการสอนอาจารย์เกาในแต่ละเรื่องทีละก้าวๆ
เมื่อวันใหม่มาถึงซือหยูมองท้องนภาด้วยความเศร้าใจแววตา
“เราต้องหยุดตรงนี้แล้วแต่ท่านจดจำได้เพียงใดกันหรือ?”
อาจารย์เกาทำหน้าละห้อย
“ไม่ถึงหนึ่งในสิบที่ท่านสอนเลย”
ซือหยูพยักหน้า
“หนึ่งในสิบก็ไม่เลวแล้ว!แม้ความเข้าใจของท่านจะยังไม่ถึงขั้นสูงสุด ท่านก็เหนือกว่าเฉียนไปมากแล้ว!”
“ขอบคุณที่ถ่ายทอดวิชาความรู้และตอบคำถามของข้าในฐานะศิษย์ ข้ารู้สึกขอบคุณท่านอาจารย์ยิ่งนัก”
อาจารย์เกาไล่ล่าหาความรู้มาตลอดชีวิตสำหรับเขา ภาษาไม้ที่มนุษย์มิอาจเข้าใจนั้นไม่ต่างกับสมบัติล้ำค่า เขายิ่งกว่าเต็มใจที่จะเป็นศิษย์ของซือหยูเพื่อที่จะเรียนรู้ให้มากขึ้น!
ซือหยูยืนขึ้นสะบัดเสื้อ
“จงอย่าบอกใครถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่!หากมีผู้ใดถาม เจ้าก็จงบอกไปว่าได้รับถ่ายทอดมาจากผู้อาวุโสสกุลหยุน”
อาจารย์เกาสับสนแต่เขาก็เข้าใจว่าซือหยูน่าจะมีเรื่องลำบากใจอยู่ เขาจึงพยักหน้ายอมรับ
ฟึ่บ!
ในตอนนั้นเองค่ายกลได้เปิดออก เฉียน ลู่จือยี่ และคนอื่นๆเดินออกมาจากป่าหิน ทุกคนเต็มไปด้วยความคิด แสงแห่งปัญญาส่องประกายจากแววตาพวกเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้ไปมากในคืนที่ผ่านมา
เฉียนนั้นไม่ต่างกับจันทราที่รายล้อมไปด้วยดวงดาวเขาเดินออกมาและเหลือบมองซือหยูกับอาจารย์เกาพร้อมกับหัวเราะ
“ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เป็นตัวถ่วงของตำหนักโลหิตนะ”
ซือหยูทำเป็นไม่ได้ยินและคนที่มีเกียรติอย่างอาจารย์เกาย่อมไม่ก้มหัวให้กับคนเช่นนี้ เขาเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ครึ่งก้าวด้านหลังซือหยู การยืนในตำแหน่งที่เป็นรองเช่นนี้ทำให้ลู่จือยี่กับรองผู้จัดการใหญ่สังเกตเห็น
ทั้งสองหยุดสงสัยไม่ได้…ใยสองคนนี้ถึงเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืนเล่า?แต่งานเซ่นก็กำลังจะมาถึงอยู่แล้ว ทั้งสองไม่มีเวลาจะคิดในเวลานี้
“เตรียมเดินทางไปที่แท่นบูชากันเถอะ…”
รองผู้จัดการใหญ่กล่าวจ้าวเทวะหลายคนมองเหล่าผู้เชี่ยวชาญภาษาไม้และออกเดินทางพาพวกเขาไปยังทะเลทรายร้างห่างไกลหลายลี้
ทะเลทรายแห่งนี้มีซากรอยไหม้หลงเหลืออยู่หลายแห่งพวกเขาเห็นซากที่ถูกเผาฝังอยู่ใต้ทรายไปไกลสุดลูกหูลูกตา ที่นี่คือป่าดงดิงที่เต็มไปด้วยแมกไม้ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยากที่มนุษย์จะเข้ามาได้
วันหนึ่งป่าปีศาจร้างก็ได้มาถึงในครั้งนั้น เพลิงยักษ์น่ากลัวปะทุออกมาทำลายป่าไปหลายล้านลี้โดยเหลือทะเลทรายแห้งเหือดเอาไว้ ที่สุดทะเลทรายก็รายล้อมไปด้วยป่าสีอำพันที่มีกิ่งไม้เหี่ยวเฉา ป่านี้รายล้อมไปด้วยหมอกสีอำพัน ไม่ว่าจะลมหรือทราย หากเข้าไปยังป่าปีศาจร้างแล้วก็จะไม่ได้หวนกลับมาอีก
ป่าปีศาจร้างหรือ?ซือหยูหรี่ตามองป่า เขารู้สึกหนักใจถึงที่สุด ป่าลึกทำให้เขารู้สึกอันตรายราวกับว่ามีบางสิ่งที่เขาไม่รู้รอเขาอยู่ที่นั่น
พวกเขาไม่ใช่คนแรกที่มาถึงพวกเขามาช้าไปเสียด้วยซ้ำ!
ที่ชายขอบชองป่าปีศาจร้างมีกระโจมเล็กใหญ่มากมายแผ่ขยายกว้างหลายร้อยลี้ มันเหมือนกับกองเห็ดที่อัดกันแน่น มีคนอย่างน้อยสามล้านคนที่นี่ ทุกคนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังเหนือกว่ากึ่งภูติไปแล้ว
ต่อให้คนธรรมดาอยากจะมาที่นี่ก็ไม่มีพลังพอคนส่วนมากที่มา ณ ที่แห่งนี้ก็เพื่อชมงานเซ่นในฐานะผู้ชม คนส่วนน้อยก็คือเหล่าผู้จัดงาน พวกเขาต้องนำสมบัติที่มีคุณสมบัติวิญญาณมาเซ่นสังเวยล่วงหน้า
สิ่งของเหล่านี้รวมถึงสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งอีกด้วยพวกมันถูกจับอยู่ในกรงหลายแสนกรง แรงกดดันวิยญาณจากสมบัติเหล่านี้ทำให้สัตว์อสูรคำรามลั่น เสียงสัตว์อสูรคำรามดังไปทั่วทุกหนแห่ง
ภาพอันวุ่นวายทำให้ซือหยูระแวงโดยไม่ทันรู้ตัวนั่นรวมถึงนักบวชโซด้วย…
“อยู่ใกล้กันเข้าไว้!อย่าออกไปจากวงกลม…”
ในประวัติศาสตร์มีบันทึกมากมายเขียนเอาไว้ว่าเขตกลางมักจะใช้ความวุ่นวายนี้เป็นนกต่อและทำให้พวกเขาสังหารคนรู้ภาษาไม้ของอีกฝ่ายได้ดินแดนพรสวรรค์ก็ทำอย่างเดียวกัน นั่นแสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายไม่ได้แตกต่างกันเท่าใดนัก
ด้วยการป้องกันหลายชั้นพวกขเาก็มาถึงจุดพักที่ดินแดนพรสวรรค์เตรียมเอาไว้ พวกเขาสบายใจขึ้นมาบ้างเมื่อมีคนอยู่รอบๆ
“เอาล่ะทุกท่านไปด้านในกระโจม มีค่ายกลป้องกันอยู้ด้านนอก แม้แต่จ้าวเทวะชั้นกลางก็แตะต้องไม่ได้!”
นักบวชโซกล่าว
ในตอนนั้นชายสวมชุดสีส้มเดินมาที่กระโจมและยกม่านขึ้น เขาหันไปพูดด้วยรอยยิ้ม
“เชิญอาจารย์เฉียนก่อน…”
คำพูดประจบประแจงของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดแต่เฉียนก็ชอบการถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำเรียกตนว่า ‘อาจารย์เฉียน!’ มันช่างเป็นคำเรียกอันไพเราะเสนาะหู! เขาจึงรับเกียรติเป็นคนแรกที่เข้าไป
นักบวชโซกับรองผู้จัดการใหญ่ป้องกันกระโจมหน้าหลังความตึงเครียดของพวกเขาก็ผ่อนคลายเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเฉียนเข้าไป เพราะเฉียนผู้นี้คือคนสำคัญที่สุด พวกเขาจะปล่อยให้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นไม่ได้!
“เอาล่ะทุกท่านที่เหลือเข้าไปด้านในได้แล้ว”
นักบวชโซผ่อนคลายขึ้นมาก
“พวกเจ้าทำอะไรกัน?ทำไมถึงปิดค่ายกลเล่า? อ๊ากกก!”
ก่อนที่เขาจะได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกก็มีกลิ่นโลหิตและเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านในกระโจม!เสียงกรีดร้องนี้เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครรู้ตัวและทำให้ทุกคนตกใจมาก
“ไม่นะ!”
นักบวชโซกับรองผู้จัดการใหญ่ชักสีหน้าพร้อมกันทั้งสองรีบพุ่งเข้ากระโจม
พวกเขาตรวจดูด้านในกระโจมล่วงหน้ามาแล้วและทั้งคู่ก็ไม่พบสัญญาณอันตราย พวกเขาไม่รู้เลยว่าเสียงกรีดร้องที่ได้ยินนั้นเกิดจากอะไร!
แต่ถึงกระนั้นเมื่อทั้งสองพยายามจะบุกเข้าไปก็พบว่าค่ายกลในกระโจมถูกปิดจากด้านใน ยากที่คนภายนอกจะบุกเข้าไปได้! แม้แต่พวกเขาทั้งสองที่เป็นจ้าวเทวะระดับเจ็ดก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบลมหายใจในการเข้าไปข้างใน!