ตอนที่ 890

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.890 – ความผิดหวัง
  “ศิษย์น้องเฉียนอย่าพูดจาเหลวไหล!”
  ลู่จือยี่หันไปดุชายหน้าแดง
  ถึงอย่างนั้นนางก็สงสัยไม่ต่างกันมีคนมากมายนักที่อยากจะทำให้นางต้องติดค้างบุญคุณจนนางมิอาจแยกแยะได้ว่าใครต้องการที่ใครที่ไม่ต้องการอีกต่อไป!
  ศิษย์น้องเฉียนหน้ามุ่ยเขาเหลือบมองซือหยูด้วยความแค้น จากนั้นเขาก็เงียบไป
  ลู่จือยี่จ้องซือหยูอีกครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
  “ขอบคุณเจ้าของร้านซือมากถ้าหากมีปัญหาใดในอนาคต โปรดมาหาข้าได้ที่ตำหนักเมฆาม่วง”
  ซือหยูยืนนิ่งไม่ขยับตัวราวกับว่ากำลังทำสมาธิ
  “ว่าเรื่องหลักของเราเถอะสิบปีที่ผ่านมา ข้าศึกษาอักษรเผ่าไม้หายากจากงานเซ่น ข้ามั่นใจว่าหลายคนก็กำลังศึกษาอยู่เช่นกัน ดังนั้น…มาแบ่งปันสิ่งที่พวกเราได้กันเถอะ คงจะดีกว่าถ้าทุกคนเข้าใจภาษาไม้มากกว่านี้”
  ศิษย์น้องเฉียนโบกมือเขาหยิบเอากระดานหยกออกมา
  มีคำภาษาไม้หลายคำเขียนเอาไว้คำเหล่านั้นปกคลุมไปด้วยพลังชีวิต ยากที่จะเข้าใจได้
  “ข้าจะแสดงคำเหล่านี้ก่อนจากนั้นพวกเราทุกคนจะทำแบบเดียวกัน เช่นนี้จะไม่มีใครเสียเปรียบ”
  เมื่อโบกมือศิษย์น้องเฉียนปลดพลังชีวิตออกไปเพื่อเปิดเผยอีกคำ ไม่มากไปกว่านี้
  คำนี้ดูล้ำค่ากับผู้รู้มันเป็นคำที่คล้ายกับรูปหัวใจและมีจุดที่ตรงกลางใจ
  คำเหล่านี้เคยปรากฏที่งานเซ่นมาก่อนแม้ว่าซือยหูจะมั่นใจเขาก็ไม่กล้าจะประมาทหรือรีบร้อนในการคิดอ่าน จากที่มอง เขาจำได้ว่ามันคือคำว่า ‘อุโมงค์’ ในภาษามนุษย์ ดังนั้นมันจึงไม่น่าจะนับว่าเป็นคำหายาก
  “บังเอิญนัก!ข้าก็ศึกษาภาษาไม้มานานเหมือนกัน…”
  คนหนึ่งพูดขึ้นมาคนอื่นๆพยักหน้า ในบรรดาคนเหล่านั้นมีลู่จือยี่และอาจารย์เกา
  ศิษย์น้องเฉียนยิ้ม
  “นั่นก็ยิ่งดีเลยทุกคนจะได้แสดงความเห็นกันได้ เราจะได้มาเปรียบเทียบกัน”
  “ข้าอ่านตำราโบราณมามากแล้วข้าคิดว่าภาษาไม้ทั้งหมดแปลงมาจากรูปภาพ ความหมายของแต่ละคำจะขึ้นอยู่กับการจัดวาง คำรูปหัวใจนี่เองก็น่าจะเหมือนกัน ดูสิ…มันเป็นรูปหัวใจและมีจุดตรงกลางเหมือนกับดวงตา ข้าคิดว่าความหมายก็คือความตั้งใจ! แล้วพวกเราก็ต้องเสียสละสิ่งมีชีวิตมากมาย ดังนั้น…คำนี้ควรจะหมายถึง พวกเราต้องเซ่นหัวใจและดวงตาของสิ่งมีชีวิต!”
  หลายคนพยักหน้าเพราะมันฟังดูมีเหตุผล
  “ศิษย์พี่ลู่คิดอย่างไรหรือ?”
  ศิษย์น้องเฉียนถามเขารู้สึกภาคภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด
  ลู่จือยี่ส่ายหน้าอย่างใจเย็น
  “ข้าคิดว่ามันคือกุญแจจุดตรงกลางน่าจะเป็นรูกุญแจ”
  คำพูดของนางดูไม่น่าเชื่อมากกว่า
  “แล้วอาจารย์เกาล่ะ?”
  ศิษย์น้องเฉียนถามเขาได้ยินชื่อเสียงของอาจารย์เกามาก่อน เขารู้ว่าความเห็นขออาจารย์เกามิอาจดูแคลนได้
  อาจารย์เกาเพ่งสมาธิดูคำและส่ายหน้าเบาๆ
  “ข้าไม่แน่ใจข้าตัดสินไม่ได้หรอก”
  ศิษย์น้องเฉียนผิดหวังแต่เขาก็รีบไปต่อ เขาถามคนอื่นๆทีละคน สุดท้ายคนส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยกับเขา เพราะเขาอธิบายได้มีเหตุผลที่สุด
  “บางทีครั้งนี้เขาอาจจะพูดถูกถ้าคำนี้อยู่ในงานเซ่น การเซ่นหัวใจและดวงใจก็น่าจะมีเหตุผล…”
  คนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมา
  ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงยอมรับ แม้แต่ลู่จือยี่ก็พยักหน้า
  “ถ้าทุกคนยอมรับใครก็ตามที่เจอคำนี้ในงานเซ่นก็คงจะรู้แล้วสินะว่าต้องทำอย่างไร?”
  เขาถามอย่างอิ่มเอมใจ
  อาจารย์เกามองซือหยู
  “เจ้าของร้านซือยังไม่ได้พูดเลยมิใช่รึ?”
  ไม่รู้ว่าศิษย์น้องเฉียนจงใจเมินซือหยูหรือไม่เขาเหลือบมองซือหยูด้วยแววตาดูถูก
  เขาไม่พอใจกับเรื่องที่ผ่านมาแต่คนที่ให้ความสนใจเรื่องก่อนหน้าจะบอกได้ว่ามันเป็นแค่ความริษยาเท่านั้น
  แต่ท่ามกลางคนทั้งหมดยกเว้นลู่จือยี่พวกเขาอิจฉาซือหยู เพราะเขามักจะสร้างวายุกระหน่ำในเมืองเทียนหยาและได้เกียรติยศกลับมามากมาย เกียรติยศนั้นมิอาจแลกซื้อได้ด้วยเงินตรา!
  เมื่อมีผู้อาวุโสอยู่หลายคนเขาจึงมิอาจหาเรื่องซือหยูได้ในตอนนี้ เขาเพียงแค่ยักไหล่และพูด
  “ฮ่าๆๆข้าเกือบจะลืมเจ้าของร้านซือไปเลย ท่านพูดมาสิ ข้าฟังอยู่”
  ซือหยูขมวดคิ้วเบาๆเขาไม่อยากจะตอบโต้การยั่วยุนี้
  แต่ทุกคนกำลังเข้าใจผิดเพราะเขาและซือหยูก็เกรงว่ามันอาจจะทำให้เกิดปัญหาในงานเซ่น ซือหยูจึงคิดว่าจะเป็นต้องตอบอย่างตรงๆ….ไอลีนโนเวล
  “ก็ดี…ขออภัยที่ข้าไม่เห็นเช่นนั้นแต่ข้าก็ไม่ได้คิดว่ามันหมายความว่าความตั้งใจหรือกุญแจ มันหมายถึงเส้นทาง”
  ซือหยูตอบอย่างเรียบง่ายตรงไปตรงมา
  “คำภาษาไม้ส่วนใหญ่มาจากรูปภาพคล้ายกับยุคที่คนเริ่มประดิษฐ์ตัวอักษรแต่ส่วนน้อยได้รับมาจากคนของเผ่า ในภาษาไม้ คำนี้อ่านว่า ‘เล่า’ นั่นหมายถึงเส้นทาง มันบ่งบอกถึงการปรากฏของเส้นทางระหว่างงานเซ่น”
  เหล่าอัจฉริยะตกตะลึงซือหยูบอกความหมายของคำนี้อย่างมั่นใจและแม่นยำ เขายังรู้วิธีออกเสียงมันอีกด้วย พวกเขาไม่สามารถเยาะเย้ยถากถางได้แม้จะอยาก!
  ศิษย์น้องเฉียนก็ตกใจแต่เขาย่อมไม่ยอมรับความผิดพลาดอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าคนรู้ภาษาไม้มากมายเช่นนี้! เขาถอนหายใจแรง
  “หืม…เจ้ากุเรื่องขึ้นมางั้นรึ?ฮ่าๆๆ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครแปลคำอ่านของภาษาไม้ได้ แต่เจ้ากลับเอามาอ้างงั้นรึ?”
  ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
  “เจ้าไม่รู้เรื่องแบบนี้ก็เพราะเจ้ามองได้จำกัดและคิดอ่านได้จำกัดข้ามิได้กล่าวอ้าง และเจ้าก็ไม่ต้องพูดจาแดกดันเช่นนั้น”
  เมื่อพูดจบซือหยูหลับตาโดยไม่คิดจะอธิบายมากไปกว่านี้ เขาพูดสิ่งที่ต้องพูดไปแล้ว และถ้าพวกเขาไม่เลือกจะฟังและทำพลาดในงานเซ่น พวกเขาก็มิอาจโทษซือหยูได้
  อาจารย์เกาใช้เวลานานครุ่นคิดถึงคำพูดของซือหยูจากนั้นเขาจึงพยักหน้า
  “ใช่แล้ว‘เส้นทาง’ ดูน่าเชื่อยิ่งกว่า ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็น ‘ความตั้งใจ’ เช่นกัน”
  ลู่จือยี่มองซือหยูด้วยความสงสัยนางคิดกับตัวเอง…ชายแก่คนนี้แปลกนัก!
  นอกจากจะไม่แยแสต่อนางก็ยังมีเรื่องแปลกประหลาดมากมายเกี่ยวกับเขานางมิอาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ หลังจากจ้องมองคำภาษาไม้อยู่นาน ลู่จือยี่ก็พยักหน้า
  “ใช่แล้ว!ข้ารู้แล้ว จุดที่ตรงกลางมิใช่ดวงตา แต่มันคือลักษณะของพื้นที่ ข้าคิดว่ามันเป็นรูกุญแจ แต่เขามองมันเป็นเส้นทาง”
  หลังจากคิดให้ถี่ถ้วนลู่จือยี่เชื่อซือหยูมากกว่า ทุกคนที่นี่ศึกษาภาษาไม้ และพวกเขาก็เห็นได้ชัดว่าใครที่มีเหตุผลกว่ากัน
  “ถ้าข้าเจอคำนี้คงจะดีกว่าถ้าข้าคิดว่ามันคือ ‘เส้นทาง’ ”
  นางพูดต่อทุกคนพยักหน้าตาม
  เมื่อเห็นว่าทุกคนหันไปเชื่อตามซือหยูเฉียนก็เริ่มโกรธ การศึกษามาแรมปีของเขาเพิ่งจะถูกปัดตกอย่างป่าเถื่อนโดยซือหยูเซี่ยนที่ไม่แสดงความเคารพต่อเขาเลย
  เขาอับอายอย่างมากในตอนนี้เขาไม่คิดเลยว่าคำถากถางของเขาจะถูกดูหมิ่นกลับจากซือหยู
  “ย่อมได้พวกเจ้าหารือกันไป ข้าจะไปพัก”
  เฉียนเก็บกระดานหยกกลับและหลับตาทันที
  เหล่าผู้รู้ภาษาเหลือบมองกันและกันจากนั้นก็มีหนึ่งคนพูดแนะ
  “ศิษย์น้องเฉียนเจ้าเป็นปราชญ์ภาษาไม้ที่มีประสบการณ์นานปี เวลานี้ศัตรูกำลังเข้ามาใกล้ จะโกรธเคืองไปเพื่อเหตุอันใดกัน!”
  เฉียนถอนหายใจแรง
  “พวกเจ้ามีซือหยูเซี่ยนคนเดียวก็พอแล้ว”
  เหล่าผู้รู้ภาษาไม้หลายคนถอนหายใจทุกเรื่องของเฉียนจากตำหนักเมฆาม่วงนั้นนับว่าดี เว้นแต่ความอวดดีและอคติของเขา!
  เมื่อทุกอย่างไม่เป็นตามที่เขาปรารถนาเขาจะใช้อารมณ์ขึ้นมาทันที และเมื่อพรุ่งนี้จะถึงเวลาของงานเซ่นแล้ว การใช้อารมณ์ก่อนหน้าเรื่องสำคัญนั้นน่าโมโหเป็นอย่างยิ่ง!
  แต่เฉียนนั้นก็เป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในปีที่ผ่านมาความเข้าใจภาษาไม้ของเขาเป็นรองแค่ฉินและหลินจากเขตกลางเท่านั้น
  ทั้งสามแข่งขันกันมาหลายครั้งตลอดหลายปีแม้แต่ฉินและหลินยังยอมรับว่าเฉียนเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง หากพูดว่าถ้าไม่มีเฉียนพวกเขาก็คงจะแพ้ไปนานแล้วก็คงจะไม่ผิดนัก!
  รองผู้จัดการใหญ่ที่มองจากด้านข้างขมวดคิ้ว
  “ท่านโซศิษย์เฉียนจากตำหนักท่านยิ่งกำเริบเสิบสานขึ้นทุกทีๆ สิบปีก่อน เขาเป็นแค่คนคุ้มกันที่ไม่มีใครรู้จัก ตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนอารมณ์ร้อน กล้าทำเช่นนี้แม้ศัตรูจะเข้าใกล้!”
  โซถอนหายใจ
  “แล้วข้าจะทำอะไรได้เล่า?เขาคือตัวแทนคนเดียวจากตำหนักเมฆาม่วง ทุกคนในตำหนักยกเว้นผู้เฒ่าไม่กล้าจะแตะต้องเขาเลย! แล้ว…เขาจะไม่มีอารมณ์ร้อนเช่นนี้ได้ยังไง?”
  การมีเฉียนในตำแหน่งสำคัญทำให้พวกเขาไม่กล้าจะแสดงความโกรธเพราะพวกเขากลัวว่าเฉียนจะกลับไปถ้าหากทำให้เขาโกรธต่อไปถ้ามันเกิดขึ้น ดินแดนพรสวรรค์จะสิ้นท่าในงานเซ่นที่จะมาถึง เพราะไม่มีใครที่จะเทียบฉินและหลินจากเขตกลางได้!
  “เอาล่ะนี่เป็นเวลาสำคัญ เก็บอารมณ์ไว้ก่อน เรียนรู้ซึ่งกันและกันดีกว่า”
  โซพยายามเกลี้ยกล่อมทุกคนแม้จะไม่ค่อยพอใจ
  เฉียนลืมตาจ้องซือหยูอย่างเยือกเย็น
  “จะหารือร่วมกันได้ก็ต่อเมื่อแมลงวันน่ารำคาญถูกกำจัดไปก่อน!มิเช่นนั้นพวกเราก็ไปไม่ถึงไหน!”
  โซมองรองผู้จัดการใหญ่อย่างหมดหวังเขาไม่อยากจะทำอย่างที่เฉียนบอกเพราะเขาคือคนที่เรียกซือหยูมาที่นี่ตั้งแต่แรก ถ้าเขาทำผิด เขาก็คิดว่าซือหยูจะต้องผิดหวังในตัวเขาอย่างแน่นอน!
  โซแอบพูดผ่านพลังจิต
  “สัตว์ประหลาดเฒ่าอู๋วันสำคัญกำลังใกล้เข้ามา ทนเรื่องนี้ไปก่อน ให้เจ้าเฉียนเป็นคนสำคัญไปเสีย ถ้าเขาไม่พอใจจนหนีออกไป ใครเล่าจะมาเป็นตัวแทนในวันเซ่นพรุ่งนี้? สองคนจากเขตกลางไม่ได้เก่งไปกว่าเฉียนเท่าไหร่ใช่หรือไม่? เป็นไปไม่ได้ไม่ใช่รึที่จะหาคนมาแทนเขาในเวลาวันเดียวเช่นนี้?”
  นี่ทำให้รองผู้จัดการใหญ่ลังเลอาจารย์เกาไม่ได้ศึกษาภาษาไม้มาก่อน เขาเริ่มศึกษาในไม่กี่ปีที่ผ่านมาเมื่อถูกตำหนักแต่งตั้งเท่านั้น ดังนั้นเขายังขาดพื้นฐานและประสบการณ์ที่น้อยกว่าเฉียนที่เทียบได้กับฉินและหลินจากเขตกลาง!
  ส่วนซือหยูแม้ว่าเขาจะผ่านการประเมินและมีระดับพื้นฐานความรู้ แต่ก็ไม่มีใครยืนยันได้จริงว่าเขาเก่งพอหรือไม่ ถ้าหากพวกเขาทำให้เฉียนโกรธ นั่นก็คงจะเป็นปัญหาใหญ่ในงานเซ่นปีนี้
  “สัตว์ประหลาดเฒ่าอู๋ให้อะไรเขาไปสักอย่างสิ เขาก็แค่ศิษย์จากตำหนักนอก ทำไมเจ้าต้องยอมขนาดนี้ด้วยเล่า?”
  นักบวชโซแนะนำ
  รองผู้จัดการใหญ่หนักใจแต่สุดท้ายเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยิ้มอย่างอบอุ่นแก่ซือหยู
  “ซือหยูเซี่ยนออกมากับข้าสักครู่…ข้าต้องคุยรายละเอียดเรื่องงานเซ่นกับเจ้า”
  ซือหยูถอนหายใจเงียบนๆ…แม้แต่รองผู้จัดการใหญ่ก็ช่วยข้าไม่ได้รึ?
  เขามั่นใจว่ารองผู้จัดการใหญ่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหนแต่ซือหยูก็ผิดหวังมากอยู่ดี เพราะซือหยูยอมเสี่ยงแสดงความรู้ภาษาไม้และเสี่ยงที่จะถูกตามล่าจากเขตกลางเพื่อช่วยตำหนักอย่างไม่มีข้อแม้ แต่สุดท้ายคนจากอีกฝ่ายก็ใช้อารมณ์และกำจัดซือหยูออกไปง่ายๆเช่นตอนนี้!
  อาจารย์เกาเหลือบมองเฉียนและยืนขึ้น
  “ข้าก็จะไปด้วยคงจะดีกว่าที่คนจากตำหนักโลหิตจะอยู่ด้วยกัน”