ภาคที่ 4 บทที่ 92 แยกจาก (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 92 แยกจาก (1)

ตู้ม !

แท่นบงกชเหนือหัวของโจวหยาซานทอประกายสว่างไสว แสงเหล่านั้นรวมตัวควบแน่นเป็นดอกบัวสีขาวอย่างรวดเร็ว และเข้าขัดขวางการโจมตีของกู่ชิงลั่ว

แต่ในขณะที่เขาสกัดกั้นมัน เขาก็ได้ยินเสียงของซูเฉินตามมาหลอกหลอนอีกครั้ง “ตรงกลาง !”

กู่ชิงลั่วซัดฝ่ามือกระแทกเข้ากลางลำตัวของโจวหยาซานในทันที

เลือดพุ่งออกจากร่างของโจวหยาซานเป็นสาย ขณะที่ถูกผลักให้ถอยกลับไป มือเรียวขาวเอื้อมมาจับตัวเขาไว้ ครั้งนี้ แม้แต่แท่นบงกชทั้ง 7 ที่มีก็ไม่อาจช่วยอะไรได้

นิ้วทั้งห้าประดุจกรงเล็บแหลมคมที่เจาะยึดร่างกายของโจวหยาซานเอาไว้อย่างแน่นหนา พลังต้นกำเนิดจำนวนมากไหลบ่าเข้ามา ทำให้ร่างกายของเขาเป็นอัมพาตและขโมยพลังในการต่อสู้ไปจนสิ้น

เสียงของกู่ชิงลั่วดังก้องขึ้น “ทุกอย่างในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนแต่อย่างใด ไม่ว่าเจ้าจะตายหรือไม่ ลูกชายของเจ้าก็ต้องตาย !”

“เจ้า… ” โจวหยาซานตะโกนด้วยความโกรธ “ไม่ยุติธรรม ! หากไม่ใช่เพราะไอ้เด็กเหลือขอนั้นเข้ามาแทรก … ”

“นี่ไม่ใช่การต่อสู้ภายใต้กฎเกณฑ์” กู่ชิงลั่วตอบกลับอย่างเย็นชา นิ้วทั้งห้าบีบกระชับแน่นขึ้นอีก จนทำให้โจวหยาซานแทบจะหมดสติไป

เขายังคงต้องการจะต่อต้าน ทว่าเสียงของโจวหยุนเกิงที่อยู่ด้านล่างดังขัดขึ้น “ช่างมันไปเถอะ ในเมื่อปัญหานี้ชิงขวงเป็นคนก่อ งั้นมันก็ต้องเตรียมใจกับผลที่ตามมาเอง เมื่อเจ้าปกป้องมันไม่ได้ก็แล้วไปเถอะ คงกล่าวได้เพียงแค่ว่าเป็นกรรมของมันแล้ว”

ขณะที่ชายชรากล่าว คนผู้หนึ่งก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เป็นโจวชิงขวง

กลุ่มเมฆพาตัวเขาตรงเข้าไปหากู่ชิงลั่ว โจวชิงขวงตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่ง “ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย ! ช่วยข้าด้วย !!”

น่าเสียดายที่โจวหยาซานเองก็ตกเป็นเหยื่อในมือของกู่ชิงลั่วไปแล้ว และไม่มีทางช่วยใครได้เลย เขาทำได้เพียงหลับตาแล้วพูดว่า “เจ้าต้องรับผลในสิ่งที่เจ้าก่อเอง”

เขาไม่ต้องการที่จะดูฉากเบื้องหน้าอีกต่อไป

โจวชิงขวงมาหยุดลงที่ด้านข้างของกู่ชิงลั่ว

ชายหนุ่มรู้สึกหนาวถึงกระดูกสันหลังเมื่อเขาเห็นท่าทีที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารของหญิงสาว “ชิงลั่วข้าผิดไปแล้วจริง ๆ ความโกรธทำให้ข้าหลงผิดไปชั่วครู่ ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ข้าจะไม่ทำเรื่องเช่นนี้อีก… ”

“เจ้าจะไม่มีอนาคตอีกแล้ว” กู่ชิงลั่วกล่าวอย่างเย็นชา

นางไม่ได้กล่าวอะไรอีก เพียงยกมือขึ้นแล้ววางลงบนหน้าผากของโจวชิงขวง หัวของเขาสั่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

กลุ่มเมฆหายไป และศพไร้หัวก็ร่วงจากฟากฟ้าตกลงสู่ลานบ้านของตระกูลโจว เหล่าบรรพบุรุษของตระกูลโจวต่างก็กัดฟันด้วยความโกรธ

หลังจากจัดการอีกฝ่ายแล้ว กู่ชิงลั่วก็สั่นไปทั้งร่างราวกับว่านางสูญเสียพลังไป

นางปล่อยมือออกจากโจวหยาซาน อีกฝ่ายจ้องมองนางอย่างลึกซึ้งครู่หนึ่ง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้พูดอะไรและหันหลังจากไป

ร่างกายของกู่ชิงลั่วสั่นสะท้อน กล้ามเนื้อของนางเริ่มค่อย ๆ ผ่อนคลาย

กู่ชิงลั่วรู้สึกมีความสุขเมื่อได้ต่อสู้ แต่เมื่อนางหยุดลงมือ นางก็ตระหนักได้ว่าตนได้พยายามโจมตีอย่างเต็มที่ไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย สายเลือดของกู่ชิงลั่วเพิ่งจะตื่นขึ้น หากไม่ใช่เพราะความโกรธคอยเป็นแรงผลักดัน กับความช่วยเหลือจากซูเฉิน นางคงจะไม่สามารถเอาชนะโจวหยาซานได้เลย

ความโกรธนั้นทรงพลังอย่างแท้จริง มันทำให้นางสามารถบีบเค้นพลังจนหยดสุดท้ายออกมาได้อย่างเต็มที่ พร้อม ๆ กับเพิ่มศักยภาพของนางขึ้นไปอีกขั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับสิ่งที่สูญเสียไป กู่ชิงลั่วอยากให้เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเสียดีกว่า

ซูเฉินขึ้นดาบหั่นภูผาบินไปหากู่ชิงลั่วและสวมกอดนาง

กู่ชิงลั่วกล่าวเบา ๆ “ไปกันเถอะ”

ชายหนุ่มบินไปพร้อมกับหญิงสาวบนหลังของเขา ตลอดเวลามีเพียงแค่ผ้าเท่อลั่วเค่อเท่านั้นที่บ่นไม่พอใจไม่หยุดหย่อน เห็นได้ชัดว่ามันกำลังตำหนิทั้ง 2 คนที่หนักเกินไป โชคดีที่กู่เหยาเยี่ยส่งกลุ่มเมฆมาช่วยรับทันเวลา ก่อนที่ดาบหั่นภูผาจะหักไป

พวกเขาบินอยู่เช่นนั้นสักพักหนึ่ง ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ภูเขาใกล้ ๆ

“ทิวทัศน์ที่นี่ค่อนข้างดี ข้าอยากมองดูรอบ ๆ หน่อย” กู่ชิงลั่วกล่าว

ซูเฉินได้ยินเช่นนั้นจึงวางนางลง

ทิวทัศน์ของภูเขานี้จัดว่าดีไม่หยอก ยอดเขากระจัดกระจายมีทั้งสูงและต่ำ ในขณะที่เนินเขาปกคลุมไปด้วยต้นสนสีเขียวชอุ่ม ทะเลเมฆหมอกล้อมรอบยอดเขา และเสียงน้ำตกที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

ทั้งสองหยุดลงที่ตรงข้าง ๆ ขอบน้ำตก

กู่ชิงลั่วนอนเอนกายอยู่ในอ้อมกอดของซูเฉิน เฝ้ามองเมฆลอยผ่านไปและฟังเสียงน้ำตก “เจ้าจำครั้งแรกที่เราเจอกันได้ไหม ?”

“ข้าจำได้ ตอนนั้นเจ้ากำลังอาบน้ำอยู่ใกล้น้ำตก แต่น้ำตกที่นั่นเล็กกว่านี้มาก”

“แต่มันก็เงียบกว่ามากเช่นกัน” กู่ชิงลั่วกล่าวอย่างสบาย ๆ “หลังจากที่เราแยกจากกัน ข้ามักจะนึกถึงยามที่อยู่ในภูเขาหลังตระกูลซู ความรู้สึกตอนที่ได้อยู่กับเจ้านั้น …มันดีจริง ๆ ”

ซูเฉินลูบผมของนางเบา ๆ “ข้าก็เหมือนกัน”

หญิงสาวกล่าวต่อ “อันที่จริง ข้าเริ่มชอบเจ้ามาตั้งแต่ยามนั้นแล้ว แต่ข้าก็ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกของตัวเองมากนัก ข้าเพียงแค่ชอบเวลาที่ได้อยู่กับเจ้า เพราะมันทำให้รู้สึกสบายใจและมีความสุข แต่หลังจากการสอบมณฑลสามเทือกเขาทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เจ้าเผยใจจริงของเจ้าให้ข้าได้รับรู้ แต่ข้ากลับกลัว และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี ข้ากังวลจริง ๆ ว่าเรื่องระหว่างเราจะทำให้ตระกูลของข้าโกรธและพยายามจะฆ่าเจ้า นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าเลือกที่จะจากไปอย่างกะทันหัน … ”

“ข้าเข้าใจ” ซูเฉินพูดปลอบเบา ๆ อย่างอ่อนโยน

กู่ชิงลั่วเอนตัวแนบชิดเข้าไปในอ้อมกอดของซูเฉินยิ่งขึ้น “แต่ข้าไม่อยากไปเลย ทุกวันนับแต่ที่เราแยกกัน ข้าก็เอาแต่คิดถึงเจ้า ทว่าก็ทำได้เพียงเก็บความรู้สึกเหล่านี้และซ่อนมันไว้ลึก ๆ ในใจ … ”

หัวใจของซูเฉินสั่นเบา ๆ ด้วยความเจ็บปวด

แม้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับนางจะฟื้นคืนมา แต่ก็มีบางสิ่งที่นางไม่เคยที่จะเอ่ยและเขาก็ไม่เคยที่จะถามเพราะกลัวว่าจะทำให้นางไม่สบายใจ

อย่างไรก็ดีตอนนี้กู่ชิงลั่วได้เลือกที่จะบอกเขาทั้งหมดด้วยความตั้งใจของตัวนางเอง

นางเล่าต่อไปว่า “จนกระทั่งเมื่อตอนซากโบราณลุ่มน้ำทอง ในที่สุดเราก็มีข้ออ้างที่จะอยู่ด้วยกันได้อย่างเปิดเผย แต่หัวใจของข้าก็ยังคงเต็มไปด้วยความกลัว ข้ากังวลว่าเจ้าจะไม่สามารถทำสิ่งที่สัญญาเอาไว้ได้ ข้าจึงไม่กล้าที่จะอยู่กับเจ้าต่อหน้าคนอื่น มาคิดดูแล้ว ตอนนั้นข้าช่างเห็นแก่ตัวและโง่เขลายิ่งนัก”

“มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลยชิงลั่ว”

กู่ชิงลั่วส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ข้าพลาดโอกาสและเสียเวลาไปมากเกินไป หากข้าเชื่อใจเจ้ามากกว่านี้อีกสักนิด หรือกล้าหาญให้มากกว่านี้อีกหน่อย บางทีเราคงจะไม่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้”

ซูเฉินปลอบโยนนาง “การไปยังอาณาจักรภูผาสูญไม่ใช่การจากไปไม่กลับ เจ้าไม่จำเป็นจะต้องวิตกเช่นนี้เลย ข้าสัญญาว่าเราจะไม่แยกจากกันอีก”

“แต่ข้ารู้สึกราวกับว่ามีพลังชั่วร้ายพยายามแยกเราออกจากอยู่เสมอ และไม่ยอมให้เราอยู่ด้วยกัน” กู่ชิงลั่วกล่าวทั้งน้ำตาขณะจ้องมองมาทางซูเฉิน

นางกอดซูเฉินแน่น “ข้ากลัว ข้าเกรงว่าโชคชะตาจะไม่ยอมให้เราไปที่ภูผาสูญด้วยกัน”

“เด็กโง่” ซูเฉินยิ้ม “เรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้น”

กู่ชิงลั่วกอดซูเฉินแน่นยิ่งขึ้นไม่ยอมปล่อย ราวกับว่าเขาจะหายไปทันทีที่นางปล่อยมือ

นางเคยยอมแพ้ในตัวเขาด้วยความคิดต่าง ๆ นา ๆ ของนางเอง และยังลังเลใจกับการตัดสินใจที่เต็มไปด้วยความลังเลของตัวเอง แต่ตอนนี้ความลังเลเหล่านั้นไม่มีอีกแล้ว เหลืออยู่แค่เพียงความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว

ความมุ่งมั่นในความรักของกู่ชิงลั่ว ทำให้นางปฏิเสธที่จะปล่อยซูเฉินไป

“ไม่ว่าข้าจะไปที่ไหน เจ้าก็จะไปด้วย” หญิงสาวกล่าว

“ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหน ข้าก็จะไปด้วย” ซูเฉินกล่าว

ทันใดนั้นเอง ซูเฉินก็รู้สึกว่าข้อมือของเขาร้อนขึ้น

เขาก้มศีรษะลงไปมองและสังเกตเห็นสัญลักษณ์แปลก ๆ ปรากฏขึ้นที่ที่หลังมือของเขา

“มันคืออะไร ?” กู่ชิงลั่วถามอย่างแปลกใจ

“สัญญาณฉุกเฉินจากแดนฝัน” ซูเฉินตอบกลับด้วยสีหน้าแปลก ๆ

การส่งสัญญาณฉุกเฉิน สามารถส่งได้โดยผู้ที่อยู่ในระดับเจ้าหน้าที่แห่งฝันขึ้นไปเท่านั้น ทว่าซูเฉินยังไม่เคยเจอคนแบบนั้นมาก่อนเลย

ใครเป็นผู้ส่งสัญญาณฉุกเฉินมาหาเขาในเวลานี้กัน ?