บทที่ 93 แยกจาก (2)
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูเฉินก็กล่าวว่า “ข้าจะเข้าไปในแดนฝันเสียหน่อย และดูว่าข้อความนั้นคืออะไร ฝากคุ้มกันข้าที”
“ได้” กู่ชิงลั่วพยักหน้า
ซูเฉินเปิดใช้งานเครื่องหมายแดนฝันของเขา
หลังจากที่มาถึง ภูติแดนฝันลู่ลู่ก็บินเข้ามาหาเขา “ไอหยา ในที่สุดเจ้าก็มา เจ้าไม่ได้เข้ามาในแดนฝันนานแล้วนะ”
“ช่วงนี้ข้าค่อนข้างยุ่งนิดหน่อย มีอะไรหรือเปล่า ?” ซูเฉินถาม
“มีข่าวคราวเกี่ยวกับอาจารย์ของเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะต้องการมันมาก แต่เจ้าก็ไม่ได้เข้ามาในนี้เลย ข้าเลยส่งสัญญาณไปเพื่อเตือนเจ้า” ลู่ลู่ตอบ
ในฐานะที่เป็นภูติแดนฝันส่วนตัวของซูเฉิน ลู่ลู่จึงได้รับอนุญาตให้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับชายหนุ่ม ด้วยวิธีการนี้ เมื่อมีข่าวหรือสิ่งที่สำคัญที่เขาอาจสนใจ นางก็จะบันทึกและเก็บรายละเอียดเอาไว้ หรือแม้กระทั่งเตือนซูเฉินเป็นครั้งคราว หากว่ามันเป็นเรื่องเร่งด่วนกว่านั้น ลู่ลู่จะเปิดใช้งานการส่งสัญญาณฉุกเฉิน อย่างไรก็ตามนางไม่เคยใช้การแจ้งเตือนเช่นนี้มาก่อนเลย
ซูเฉินหวังว่าลู่ลู่เรียกหาเขาเพราะต้องการจะสิ่งที่น่าสนใจจะบอกเขา แต่นางกลับให้คำตอบตรงกันข้ามกับสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการจะได้ยิน
“อาจารย์ ? เกิดอะไรขึ้นกับท่าน ?”
“ท่านหายตัวไป” ลูลู่ตอบ
“เจ้าว่าอะไรนะ ?” ซูเฉินชะงัก
“อย่าเพิ่งกังวลไป ข้ามีจดหมายที่อาจารย์ของเจ้าฝากเอาไว้อยู่ ลองอ่านดูสิ” ลู่ลู่พูดขณะส่งจดหมายให้ซูเฉิน
เมื่ออ่านจดหมายจบแล้ว ซูเฉินก็เข้าใจ
ไม่นานมานี้ ที่ปราการลุ่มน้ำทองได้เกิดการต่อสู้กับเผ่าคนเถื่อนขึ้นอีกครั้ง
การต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับคนเถื่อนนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา พวกเขามักจะสู้ทุก ๆ 2-3 ปี มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรนัก ทว่าสถานการณ์ในครั้งนี้กลับต่างไปจากศึกที่ผ่าน ๆ มาเล็กน้อย
หลังจากป้องกันการโจมตีของเผ่าคนเถื่อนด้วยการป้องกันอันแข็งแกร่งของปราการลุ่มน้ำทองแล้ว จู่ ๆ ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกชั้นสูงของอาณาจักรหลงซางก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนจากฝ่ายตั้งรับ ไปเป็นฝ่ายโจมตีบ้างและส่งคำสั่งให้บุกจู่โจมเขตแดนของเหล่าคนเถื่อน
ฉือไคฮวงถูกส่งไปเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพจู่โจมนี้
ตามจดหมายที่ฉือไคฮวงทิ้งเอาไว้ ผู้คนในปราการลุ่มน้ำทองต้องการเปลี่ยนป้อมเล่อกู่ให้กลายเป็นด่านหน้า และใช้มันเพื่อควบคุมดินแดนแห่งทุ่งหญ้านับพันลี้
ซูเฉินพูดอย่างโกรธเคือง “จดหมายนี้ถูกทิ้งไว้เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ไม่ใช่ว่า 3 เดือนที่ผ่านมาข้าไม่เคยเข้ามาเลยเสียเมื่อไหร่ เหตุใดเจ้าถึงเอามันมาให้ข้าเอาป่านนี้กัน ?”
ลู่ลู่ตอบว่า “นั่นเป็นคำสั่งของท่านฉือ ท่านบอกว่าหากหลังจากนั้นไม่นานท่านกลับมา ก็ไม่จำเป็นต้องส่งจดหมายนี้ให้เจ้า เจ้าจะไม่ต้องกังวลโดยไม่จำเป็น แต่หากผ่านไป 3 เดือนแล้วยังไม่กลับมา หมายความว่าท่านอาจจะตายไปแล้ว และเมื่อถึงตอนนั้นก็ให้เอาจดหมายนี้ให้เจ้าแทนคำสั่งเสีย นอกจากนี้หอพลังต้นกำเนิดในสถาบันมังกรซ่อนเร้นจะถูกสืบทอดให้เจ้า ท่านไม่ต้องการให้เจ้าเป็นกังวลและเดินไปในเส้นของเจ้าต่อไป”
“บัดซบเอ้ย ! บ้าจริง ๆ!” ซูเฉินตะโกนอย่างโกรธจัด เขาไม่ได้บอกว่าลู่ลู่นั้นบ้า แต่เป็นฉือไคฮวง
หลังจากครุ่นคิดไปสักพัก เขาก็ถามว่า “เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้กองกำลังนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ลู่ลู่เป็นภูติแดนฝัน นางอยู่กับข้อมูลทุกประเภทในแดนฝันนี้อยู่ทุกวัน และรู้หลายสิ่งหลายอย่างมากกว่าคนอื่นนัก
เมื่อได้ยินคำถามของซูเฉิน ลู่ลู่ก็ยักไหล่และกล่าวว่า “ทั้งหมดที่ข้ารู้คือพวกเขาหายตัวไป ไม่มีข่าวคราวอะไรจากทางนั่นอีก”
“เป็นไปได้อย่างไร ? แม้ว่าจะมีผู้รอดชีวิตเหลืออยู่เพียงคนเดียว พวกเขาก็น่าจะยังสามารถแจ้งข่าวผ่านแดนฝันได้”
“ข้อความและการสื่อสารระหว่างผู้คนในดินแดนของต่างเผ่าพันธุ์ถือเป็นความลับ”
“เหตุใดถึงเป็นความลับ ?” ซูเฉินถาม
“นั่นไม่ใช่ความผิดของเรา นี่เป็นคำขอจากเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ไม่มีใครอยากให้ความลับของพวกเขาถูกเปิดเผยง่าย ๆ โดยสายลับของศัตรูอยู่แล้ว จริงไหม ? แน่นอนว่าหากเจ้าเป็นราชันแห่งฝันและเต็มใจที่จะให้ราคาที่สูงพอ การละเมิดกฎอะไรแบบนั้นข้อสองข้อย่อมไม่ใช่ปัญหา แต่แม้เจ้าจะเป็นราชันแห่งฝัน …คำขอของเจ้าก็ยังมีโอกาสถูกปฏิเสธได้อยู่ดี” ลู่ลู่พูดพลางฉวยโอกาสหลอกล่อ
“เจ้าต้องการให้ข้าใช้หินพลังต้นกำเนิดนับล้านสู้กันเองเพื่อส่งข้อมูลกลับไปกลับมา ?” ซูเฉินมองผ่านเจตนาแฝงของแดนฝันที่อนุมัติให้เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ปิดกั้นการส่งสัญญาณออกไปนอกดินแดนของพวกเขาได้ในทันที “วิธีสร้างกำไรของเจ้าแห่งแดนฝันช่างน่าสนใจ”
ลู่ลู่หัวเราะคิกคักขณะที่นางเอามือปิดปาก “โปรดเห็นใจ การรักษาแดนฝันขนาดใหญ่เช่นนี้เอาไว้จำต้องใช้ทุนอย่างมากจริง ๆ”
“นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าไม่แน่ใจว่ากองทัพจู่โจมนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ใช่ไหม ?”
“ถูกต้อง” ลู่ลู่พยักหน้าอย่างจริงจัง “อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากข่าวต่าง ๆ ในดินแดนของมนุษย์ ดูเหมือนว่ากองทหารนี้จะโชคไม่ดีนัก มันมีความเป็นไปได้สูงมากว่าพวกเขาสูญหายไปที่ไหนสักแห่งในอาณาจักรเหล็กเลือด”
เมื่อตอนที่พวกเขาก่อตั้งอาณาจักรขึ้นครั้งแรก เผ่าคนเถื่อนได้ตั้งชื่อว่าอาณาจักรเหล็กเลือด ถึงแม้ว่าในตอนนี้มันจะแตกออกเป็นชนเผ่าต่าง ๆ แล้ว แต่พวกเขายังรักษาชื่ออาณาจักรของพวกเขาเอาไว้ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมักเรียกมันว่า อาณาจักรเหล็กเลือด
“เป็นไปได้” ซูเฉินพูดด้วยน้ำเสียงมืดมน
เขาคิดอยู่ชั่วครู่แล้วถามว่า “ลู่ลู่ หากข้าไปยังอาณาจักรเหล็กเลือดแล้ว ข้าจะยังสามารถติดต่อเจ้าได้อยู่หรือเปล่า ?”
“เกรงว่านั่นคงจะเป็นไปไม่ได้ แต่หากเจ้าเป็นราชันแห่งฝัน เจ้าก็จะสามารถสั่งให้ข้าอยู่ข้างเจ้าได้โดยไม่มีเงื่อนไข ทว่าตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในอาณาเขตของคนเถื่อน ข้าก็ไม่สามารถออกไปดินแดนอื่นด้วยตัวเองได้ ไม่ว่าในกรณีใด ภูติแดนฝันก็ไม่สามารถเป็นช่องทางให้เจ้าติดต่อกับโลกภายนอกได้”
“ข้ารู้ดีว่าเจ้าแห่งแดนฝันไม่มีทางทิ้งช่องโหว่ขนาดใหญ่แบบนั้นไว้เบื้องหลังอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยที่สุดข้าก็ยังสามารถติดต่อหาเจ้าได้ใช่ไหม ?”
“ใช่ !” ลู่ลู่พยักหน้า จากนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันประหนึ่งเพิ่งตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง “เจ้า … เจ้าคงไม่ได้คิดที่จะไปยังดินแดนของเผ่าคนเถื่อนอยู่ใช่ไหม !?”
ซูเฉินไม่ตอบ ทั้งหมดที่เขาพูดคือ “เจ้าควรจะเตรียมตัวไว้ให้พร้อม ข้าไปก่อนล่ะ”
พอพูดจบชายหนุ่มก็ออกจากแดนฝันไปแล้ว
เมื่อกลับมาสู่ความเป็นจริงซูเฉินก็รู้สึกเจ็บปวดใจ เมื่อเขาได้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังของกู่ชิงลั่ว และไม่รู้ว่าจะบอกข่าวนี้กับนางอย่างไรดี
“เกิดอะไรขึ้น ?” กู่ชิงลั่วสังเกตได้ถึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ซูเฉินก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้กู่ชิงลั่วฟัง
กู่ชิงลั่วจึงเข้าใจเรื่องทั้งหมด
“เจ้าจะไปช่วยอาจารย์ของเจ้าสินะ ?”
“นอกจากแม่ของข้าและเจ้าแล้ว ท่านก็เป็นคนคนหนึ่งที่ดีกับข้ามากจริง ๆ ” ซูเฉินตอบ
เขาตอบอย่างถนอมน้ำใจ อันที่จริงแล้วฉือไคฮวงอาจจะถือได้ว่ามีอิทธิพลต่อเขามากกว่ากู่ชิงลั่วเสียอีก
หญิงสาวพยักหน้า “งั้นเจ้าก็คงจะไม่สามารถไปที่ภูผาสูญกับข้าได้แล้ว ?”
“แค่ตอนนี้เท่านั้น ข้าสัญญาว่าหลังจากที่ข้าช่วยอาจารย์ได้แล้ว ข้าจะไปหาเจ้า” ซูเฉินสาบานกับท้องฟ้า
หยาดน้ำตาอุ่น ๆ ไหลออกจากดวงตาทั้งสองของกู่ชิงลั่ว “ช่วยคนที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไงจากเผ่าคนเถื่อน …มันเป็นเรื่องง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ? ข้ารู้… ข้ารู้อยู่แล้วว่าชะตากรรมมักจะไม่แน่นอน และพยายามแยกเราออกจากกันอยู่เสมอ”
“ชิงลั่ว !” ซูเฉินตะโกน “อย่าทำเช่นนี้ ! เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้อยากที่จะจากเจ้าไปเลย แค่มีบางอย่างที่ข้าจำต้องไปทำ !”
กู่ชิงลั่วมองเขาอย่างเศร้า แต่ไม่ได้พูดอะไร
ซูเฉินรู้ว่านางไม่ได้ตั้งใจจะหยุดเขา แต่นางก็ไม่ได้เชื่อมั่นเช่นกัน
นางคิดจริง ๆ ว่ามีขุมพลังบางอย่างพยายามแยกพวกเขาออกจากกัน
ชายหนุ่มจับมือของหญิงสาวเอาไว้ “ชิงลั่วเจ้าต้องเชื่อข้า ไม่ว่าพลังนั้นจะเป็นสิ่งใด มันก็มิอาจขัดขวางไม่ให้ข้าแต่งงานกับเจ้าได้ ความทุกข์ทรมานทั้งหมดนี้เป็นเพียงบททดสอบ เป็นเพียงก้อนกรวดให้เราเหยียบข้ามไปเท่านั้น !”
กู่ชิงลั่วคล้อยตามไปกับคำกล่าวเหล่านั้น
นางจ้องไปยังซูเฉินอย่างโง่เขลาและพึมพำ “ทั้งหมดเป็นเพียงแค่บททดสอบ … ”
“ใช่ ทั้งหมดเป็นเพียงแค่บททดสอบ !” ซูเฉินตอบอย่างจริงจัง “นี่คืออุปสรรคความสัมพันธ์ระหว่างผู้ไร้สายเลือดกับผู้ที่ครองสายเลือดเทพอสูรบรรพกาล เราถูกลิขิตให้ต้องก้าวผ่านความยากลำบากมากมาย แต่มันไม่สำคัญเลย เพราะข้าสามารถเอาชนะและเผชิญหน้าอุปสรรคทุกรูปแบบ !”
ยามนี้จิตใจของกู่ชิงลั่วตกอยู่ในวงเวียนความคิดที่ชั่วร้ายที่ว่าโชคชะตาพยายามจะหยุดพวกเขา มันจึงไร้ประโยชน์ที่จะพยายามพร่ำบอกนางว่าโชคชะตาที่นางเชื่อนั้นไม่มีจริง ซูเฉินจึงดึงนางให้คิดไปตามความเชื่อในอีกแบบหนึ่งแทน โดยการบอกว่ามันไม่สำคัญว่าสวรรค์จะอวยพรให้แก่ความสัมพันธ์ของพวกเขาหรือไม่ พวกเขาก็สามารถเอาชนะลิขิตเหล่าได้
ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยคิดที่จะเอาชนะสวรรค์เลย
แต่หลังจากนี้ไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ เขาต้องพิชิตมัน !
“งั้นเหรอ… เป็นเช่นนั้น ?” หมอกมัวที่บดบังสายตา ได้จางหายออกไปจากดวงตาของกู่ชิงลั่ว
“ใช่แล้ว มันเป็นเช่นนั้น สิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำคือเชื่อมั่นในตัวข้า” ซูเฉินกล่าวปลอบนาง ด้วยคำพูดที่เรียบง่ายที่สุดทว่าฟังดูมีพลังที่สุด
รอยยิ้มอันแสนหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกู่ชิงลั่วอีกครั้ง นางเอนกายลงในอ้อมแขนของซูเฉินเงียบ ๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงถอนหายใจดังขึ้นที่ข้างหูของพวกเขา “ช่างเป็นคู่รักที่ดีจริง ๆ ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็ไม่อยากจะแยกพวกเจ้าเลย”