ภาคที่ 4 บทที่ 94 บีบบังคับ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 94 บีบบังคับ (1)

ชายคนหนึ่งยืนอยู่ทางด้านหลังของซูเฉิน เขาดูไม่แก่มากนัก ดูแล้วน่าจะอายุประมาณสามสิบกว่า ๆ อย่างไรก็ตามท่าทางและวิธีพูดที่สบายๆ ของเขา ใคร ๆ ก็บอกได้ว่าอย่างน้อยเขาก็คงเป็นคนรุ่นเดียวกับปู่ของพวกเขา

ความแข็งแกร่งของเขายิ่งไม่ต้องกล่าวถึง การที่สามารถปรากฏตัวขึ้นข้างหลังซูเฉินอย่างเงียบ ๆ ได้ก็เป็นตัวบอกที่ชัดเจนแล้ว

ทั้งซูเฉินกับกู่ชิงลั่วไม่ได้มีความคิดที่จะต่อต้านอีกฝ่ายด้วยกำลังแต่อย่างใด

ซูเฉินไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เลือดร้อนและหุนหันพลันแล่น เขาเข้าใจดีว่าการลงมือโดยไม่ยั้งคิดนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และมีแต่จะทำให้ปัญหายุ่งยากมากขึ้นเท่านั้น

ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นและพูดว่า “ข้าขอเสียมารยาทถามไถ่ ท่านคือทูตมังกรใช่หรือไม่ ?”

ทูตมังกรเป็นตำแหน่งพิเศษที่ทั้ง 7 อาณาจักรจัดตั้งขึ้นเพื่อตระกูลกู่โดยเฉพาะ ทูตมังกรได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ต้อนรับผู้ที่สามารถปลุกสายเลือดมังกรสุริยะขึ้นมาได้ตามชื่อ ชนชั้นสูงช่างเก่งกาจในการใช้ถ้อยคำนัก แม้ว่าจะเห็นกันอยู่ว่ามันเป็นการเนรเทศชัด ๆ แต่พวกเขาก็ยังยืนกรานที่จะเรียกมันว่า ‘การต้อนรับ’

แม้อำนาจของทูตมังกรจะไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่สถานะของพวกเขาก็นับว่าค่อนข้างสูงอยู่พอสมควร ผู้ที่สามารถดำรงตำแหน่งนี้ได้นั้น อย่างน้อยที่สุดก็จำเป็นต้องอยู่ในด่านผลาญจิตวิญญาณหรือสูงกว่า เพราะอย่างไรเสียหน้าที่คุ้มกันผู้ครองสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลก็คืองานของพวกเขา เป็นงานที่ต้องจัดการอย่างระมัดระวัง

ทูตมังกรยิ้ม “ใช่ ถูกต้องตามนั้น ข้าถังหลี่เฟิง ยินดีที่ได้พบคุณหนูกู่ การหาตัวท่านนับว่าเป็นงานยากไม่น้อย”

หลังจากที่สายเลือดของกู่ชิงลั่วตื่นขึ้น ถังหลี่เฟิงก็สังเกตเห็นมันและรีบมุ่งหน้าไปที่ตระกูลกู่ในทันที แต่เมื่อเขามาถึง กู่ชิงลั่วก็ได้ออกเดินทางไปยังเมืองกระเรียนแล้ว เขาจึงทำได้แค่เปลี่ยนจุดหมายไปที่นั่นแทน แต่เมื่อมาถึงเมืองกระเรียน เขาก็พบว่ากู่ชิงลั่วได้ออกไปแล้วอีกครั้ง มันจึงเป็นอีกครั้งที่เขาทำได้เพียงไล่ตามเส้นทางที่เปลี่ยนไป แม้จะต้องพลังงานอย่างมากในการตามหาอีกฝ่าย แต่ถังหลี่เฟิงก็ยังสามารถยิ้มและพูดคุยได้แบบสบาย ๆ บ่งบอกว่าเขาเป็นคนง่าย ๆ อย่างชัดเจน

กู่ชิงลั่วกล่าวว่า “ข้าเพิ่งจะหมั้นหมายกับคู่หมั้นของข้าแต่ยังไม่ทันได้แต่งงานกันเลย เนื่องจากท่านถังอยู่ที่นี่แล้ว ท่านจะช่วยเป็นพยานให้ได้หรือไม่ว่า ข้ากู่ชิงลั่ว เต็มใจที่จะแต่งงานกับซูเฉิน ?”

ถังหลี่เฟิงชะงักไปชั่วครู่ เขาไม่ได้คาดคิดว่าหญิงสาวจะพูดแบบนี้เลยสักนิด

แม้แต่ซูเฉินเองก็ยังตกตะลึงไปเล็กน้อย “ชิงลั่ว ?”

กู่ชิงลั่วกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ “ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกให้ข้าเชื่อว่าไม่มีอะไรจะมาขวางเราได้หรอกหรือ ? เช่นนั้นเหตุใดเราไม่แต่งงานกันวันนี้ไปเลยเล่า ข้าอยากจะเห็นนักว่าสวรรค์จะหยุดเราอย่างไร ไม่เช่นนั้น นับแต่วันนี้ไปข้าจะเป็นภรรยาของเจ้า ทว่านั่นจะไม่ใช่การแต่งงานเฉกเช่นผู้อื่น ข้าไปที่ใดเจ้าก็ต้องไปด้วย”

หัวใจของซูเฉินสั่นไหว เขากอดกู่ชิงลั่วไว้แน่น

หลังจากนั้นไม่นานนัก เขาก็กระซิบเบา ๆ ว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าควรจะบอกเจ้านานแล้ว แต่ข้าก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไป เพราะเกรงว่าเจ้าคงจะไม่มีทางยกโทษให้ข้า”

กู่ชิงลั่วชะงัก นางจ้องมองเขาด้วยดวงตาคู่งามของนาง ความรู้สึกไม่สบายใจเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของนาง

“เจ้าจำจูเซียนเหยาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้หรือไม่… ?” ซูเฉินค่อย ๆ อธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เขาไปยังปราสาทโบราณ …ทีละเรื่อง

ยิ่งกู่ชิงลั่วได้ฟังมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งตกใจมากขึ้นเท่านั้น

สายตาของนางจับจ้องไปที่ซูเฉินด้วยความตกตะลึง “เจ้า … ”

“เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่ได้บอกเจ้าตั้งแต่แรก ข้าสาบานได้ว่ามันเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ ?” กู่ชิงลั่วมองเขาทั้งน้ำตา ก่อนจะเริ่มตะโกนโวยวายด้วยความโกรธ “ซูเฉิน ไอ้สารเลว !”

เหตุใดซูเฉินจึงเลือกที่จะบอกเรื่องทั้งหมดนี้ในเวลานี้กัน ?

เหตุใดถึงต้องเป็นตอนนี้ ?

หัวใจของกู่ชิงลั่วรู้สึกขมขื่นอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ไม่มีที่ไหนให้นางได้ระบายมันออกมา

หญิงสาวทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

เดิมทีกู่ชิงลั่วคิดว่า นี่จะเป็นเพียงการจากลาที่แสนหวาน คิดว่ามันจะเป็นการจากลาที่ทั้งสองจะมอบความรักอันเป็นนิรันดร์ให้แก่กันก่อนจะแยกจากกันไป คิดว่ามันจะเป็นการจากลาที่ท้ายที่สุดแล้วชะตาความรักของพวกเขาจะสามารถกลับมาบรรจบกันได้ในที่สุด นางไม่เคยคิดเลยว่าทุกอย่างจะพลิกกลับจนเกินคาดฝันเช่นนี้

กู่ชิงลั่วใจหาย

สวรรค์พยายามที่จะแยกพวกเขาออกจากกันจริง ๆ หรือ ?

“ทำไม ? ทำไมเจ้าถึงต้องมาบอกข้าเอาปานนี้ ?” กู่ชิงลั่วถามทั้งน้ำตา

“เพราะข้าไม่สามารถซ่อนมันไว้ตลอดไปได้ ข้ายังไม่ได้แต่งงานกับจูเซียนเหยา เจ้าเป็นภรรยาที่ข้าเฝ้าคอยเสมอ ทว่าข้าก็ไม่อาจซ่อนเจ้าเอาไว้ให้ไม่รู้ไม่เห็นเรื่องของนางได้” ซูเฉินตอบอย่างจริงจัง

กู่ชิงลั่วจ้องมองเขาด้วยความโกรธ “แล้วเจ้าไม่คิดถึงความรู้สึกของข้าเลยหรือ ? เหตุใดจึงมาพูดเรื่องเช่นนี้กับข้าในตอนนี้ ?”

“เจ้าอยากให้ข้าเก็บมันซ่อนเป็นความลับจากเจ้ามากกว่าหรือ ?” ซูเฉินโต้กลับ

นางไม่สามารถตอบได้

นางไม่รู้

นางไม่รู้คำตอบของคำถามนี้

บางทีถ้าเป็นไปได้ กู่ชิงลั่วคงไม่อยากรับรู้เรื่องนี้

ถึงอย่างนั้นตอนนี้นางก็รู้ทุกอย่างแล้ว

แล้วนางควรจะทำอย่างไร ?

หัวใจของกู่ชิงลั่วตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายพักใหญ่ นางรู้สึกหมดหนทางและทำได้เพียงนิ่งเงียบ

หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดนางก็ลุกขึ้นและเดินไปหาถังหลี่เฟิง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ปล่อยให้ผู้อาวุโสถังรอนานมากแล้ว ข้าพร้อมที่จะไปแล้ว”

โดยที่ไม่ได้หันไปมองซูเฉินแม้แต่ครั้งเดียว

นางตั้งใจที่จะจากไปอย่างชัดเจนแล้ว

“ชิงลั่ว !” ซูเฉินตะโกน

เมื่อเขาตัดสินใจที่จะบอกความจริงกับกู่ชิงลั่ว ซูเฉินหวังว่าอย่างน้อยนางก็จะยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ”

อย่างไรก็ตามความจริงมันโหดร้ายกว่าที่คิด แม้ในยุคสมัยนี้การมีภรรยา 3-4 คนจะเป็นเรื่องปกติของสังคม แต่ผู้หญิงก็ยังคงมีจินตนาการถึงความรักที่มอบให้เพียงแค่พวกนางเท่านั้นอยู่เสมอ

สิ่งที่ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่นี้กำลังโต้เถียงกัน ไม่ได้เกี่ยวกับสังคมหรือขนบธรรมเนียม แต่เป็นความรัก

เนื่องจากมันเป็นเรื่องของอารมณ์ ซูเฉินจึงเป็นฝ่ายผิด และกู่ชิงลั่วก็ไม่ยอมรับมัน

นางยังรับมันไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ในตอนนี้

กู่ชิงลั่วพูดขึ้นโดยไม่หันกลับไปมอง “ยังไม่เข้าใจอีกหรือ ? นี่คือชะตากรรม เจ้าเองก็เป็นเพียงตัวเบี้ยของโชคชะตา ในเมื่อเจ้าไม่สามารถทำลายพันธนาการจากโชคชะตาได้ แล้วเจ้าจะแต่งงานกับข้าได้ยังไง ?”

“ข้าทำลายมันได้ !” ซูเฉินตะโกน

“งั้นก็ไปทำลายมันซะ แต่ข้าจะไม่ให้สัญญาอะไรกับเจ้าทั้งนั้น บางทีวันหนึ่งเจ้าอาจจะช่วยอาจารย์ของเจ้าได้ ก้าวข้ามขีดจำกัดของสายเลือด ประสบความสำเร็จไปถึงด่านสู่พิสดารหรือสูงกว่านั้น และมาหาข้าด้วยความมั่นใจว่าปัญญาของมนุษย์สามารถเอาชนะลิขิตสวรรค์ได้ก็ตาม ข้าไม่สามารถสัญญาได้ว่าข้าจะยังคงรักเจ้าอยู่ ข้าไม่สามารถสัญญาได้ว่าความรู้สึกของข้าจะไม่เปลี่ยนไป … ”

ชายหนุ่มชะงัก

ในที่สุดกู่ชิงลั่วก็หันกลับมามองซูเฉิน

ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา “นี่คือโชคชะตา เจ้าเลือกทางของเจ้าได้ แต่เจ้าเลือกทางของข้าไม่ได้ ในเมื่อเจ้าเลือกหญิงอื่นแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะเลือกชายอื่น”

ซูเฉินสูดหายใจเข้าช้า ๆ “เจ้าจะไม่ทำเช่นนั้น”

กู่ชิงลั่วพ่นลมหายใจอย่างดูถูก “ซูเฉิน อย่าได้มั่นใจในตัวเองมากเกินไปนัก… ”

ซูเฉินพุ่งมาด้านหน้าและเพื่อคว้าตัวกู่ชิงลั่วเอาไว้ “ข้าบอกเรื่องของจูเซียนเหยากับเจ้าไม่ใช่เพื่อให้เจ้าทิ้งข้า แต่เพื่อให้เจ้าเต็มใจที่จะแต่งงานกับข้า”

“อะไรนะ ?” กู่ชิงลั่วสับสนอย่างรุนแรง แต่เมื่อนางเห็นอีกฝ่ายพุ่งเข้าหา นางก็ถอยกลับอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ซูเฉินรวบตัวนาง เขาตะโกนขึ้น “ทูตมังกรถัง ข้าขอรบกวนให้ท่านมาเป็นพยานให้พวกเราได้หรือไหม ? ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปกู่ชิงลั่วจะเป็นภรรยาของข้า”

“นี่ เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ !” กู่ชิงลั่วทุบซูเฉินด้วยหมัดเล็กๆ ของนางอย่างสิ้นหวัง “ปล่อยข้านะ ! ข้าไม่อยากจะแต่งงานกับเจ้า !”

“เจ้าจะต้องแต่งงานกับข้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หากวันนี้เจ้าไม่ตกลงที่จะเป็นผู้หญิงของข้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปไหนทั้งนั้น”

“ไอ้สารเลว ! คนชั่ว ! ช่วยข้าด้วย ! ปล่อยนะไอ้บ้ากาม !” กู่ชิงลั่วตะโกนอย่างสิ้นหวัง

ถังหลี่เฟิงขมวดคิ้ว

เมื่อต้องมาเผชิญกับการทะเลาะวิวาทของคู่รักตรงหน้า เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร

ในฐานะผู้ชาย เขาไม่คิดว่าการที่ซูเฉินจะมีหญิงอื่นจะเป็นเรื่องผิดปกติอะไร

แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกของกู่ชิงลั่ว มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมรับเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้อย่างกะทันหันเช่นนี้

ปัญหาคือนางไม่ได้มีเวลามากพอให้คิดทบทวนหรือปรับตัวยอมรับเลย

ซูเฉินรู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะลงมืออย่างรวดเร็ว

นี่เป็นวิธีการที่ชาญฉลาด แต่มันก็สร้างปัญหาให้กับถังหลี่เฟิงเช่นกัน

เขาควรแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไร หรือสอดมือเข้าไปยุ่งยามในเรื่องนี้ดี ?

ถ้าตอนนี้เขาไม่ช่วยนาง กู่ชิงลั่วอาจจะเกลียดเขา

แต่ถ้าตอนนี้เขาช่วยกู่ชิงลั่วให้เป็นอิสระ บางทีนางอาจจะเกลียดเขามากขึ้นไปอีก…

ช่างเป็นทางเลือกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริง ๆ

อย่างไรก็ตาม ถังหลี่เฟิงก็นึกขึ้นได้ถึงบางอย่าง สายเลือดที่ทรงพลังของกู่ชิงลั่วได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ถ้าเช่นนั้นซูเฉินจะสามารถข่มเหงนางได้อย่างไร ?

เมื่อเขาตระหนักถึงตระหนักถึง ถังหลี่เฟิงก็ส่ายหัว “ช่างมันเถอะ เรื่องระหว่างเจ้า 2 คนไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้า ข้าจะไปหาที่พักผ่อนสักหน่อย”

ขณะที่พูด เขาก็ปลีกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว