ตอนที่ 1964 โลกวิญญาณ (1)
โลกวิญญาณ
ก็ตามชื่อของมัน มีเพียงวิญญาณเท่านั้นที่สามารถก้าวเท้าเข้าไปที่นั่นได้
สี่ดินแดน มีเพียงโลกวิญญาณเท่านั้นที่เข้าไปได้ยาก
เมื่ออาณาจักรกลางตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่ยังคงสงบสุข ตัดขาดจากโลกภายนอกอื่นๆ จักรพรรดิแห่งความมืดเท่านั้นที่สามารถเข้ามาในโลกวิญญาณได้ นอกนั้นไม่มีผู้ที่มีชีวิตคนใดจะย่างเท้าเข้ามาที่นี่ได้เลย
สี่ดินแดนไม่เคยออกมาง่ายๆ กระทั่งเก้าอารามและสิบสองวิหารก็รู้เรื่องของสี่ดินแดนน้อยมาก ในอาณาจักรกลาง แทนที่จะพูดว่าสี่ดินแดนคือสี่อำนาจ พวกเขาคือสี่ตำนานมากกว่า น้อยคนที่รู้เรื่องพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในใจของผู้คน เต็มไปด้วยความลึกลับและปาฏิหาริย์
ทุกคนรู้เพียงว่าโลกวิญญาณเป็นหนึ่งในสี่ดินแดน แต่ไม่มีใครรู้ว่าเส้นทางไปยังโลกวิญญาณอยู่ที่ไหน
ในโลกวิญญาณนั้นมืดสลัว ไม่เห็นดวงอาทิตย์ ไม่มีแสงสว่าง ไม่เห็นเมฆขาวลอยล่อง และไม่มีทะเลและท้องฟ้าสีคราม มันเป็นเหมือนโลกยามค่ำคืนที่ท้องฟ้ามืดมิดไร้จันทราและดวงดาว
มีบ้านเรือนแปลกๆ และวัสดุที่สร้างก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นอะไร มันดูเหมือนกระจกใสที่ยังคงสามารถบดบังสายตาได้ ไฟสีเขียวและส้มกระจายอยู่ตามท้องถนน แค่มองก็เห็นได้ว่าสถานที่นี้ดูลึกลับมาก
สวยงามและตระการตา
ม้าโครงกระดูกสีดำเหยาะย่างไปบนเปลวไฟสีแดงเข้มทำให้เกิดฝุ่นคลุ้ง เนื้อหรือหนังสีดำมืดจนมองไม่เห็นห้อยลงจากกระดูกสีดำทุกอันที่อยู่บนซี่โครงของพวกมัน ดวงตาสีแดงเลือดที่เต็มไปด้วยความดุร้ายอย่างไม่อาจควบคุมได้นั้นมีทั้งหมดสี่ดวง ด้านหน้าสองและด้านหลังสอง พวกมันลากรถม้าสีดำแล่นผ่านถนนกว้าง
ล้อรถหมุนเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ กระดิ่งทองแดงห้อยลงมาจากหลังคารถม้าส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งกังวานใส
บนถนนเส้นนั้น หากมองดูให้ดีๆ ก็คงทำให้คนตกใจจนไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
ใครเคยเห็นง้าวบิดตัวกระโดดเข้าไปในร้านเล็กๆที่มีป้ายเขียนว่า “สุรา” บ้าง? หรือเคยเห็นกระบองเหล็กยาวสวมผ้ากันเปื้อนของบริกรถือเหยือกเหล้าที่ทำจากทองเดินไปรอบร้านเหล้าอย่างขยันขันแข็งไหม?
ขวานภูเขานั่งอยู่ที่โต๊ะ กำลังสนทนากับโล่ภูเขาหนักด้วยเสียงแปลกๆ ขณะที่กรงเล็บบินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันก็ถือแก้วเหล้าเทราดตัวเอง……
“ให้ตายเถอะ! วันนี้ช่างเปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ!!” ในรถม้าโครงกระดูกที่ลุกเป็นไฟ ดวงตาของเฉียวฉู่เบิกกว้างจ้องมองสิ่งต่างๆในโลกวิญญาณ
อาวุธที่สามารถเคลื่อนไหวและพูดได้และมีจิตสำนึกของตัวเอง
สัตว์ที่พูดภาษามนุษย์ และต้นหลิวที่มีเถาวัลย์ดอกไม้ห้อยระย้าข้ามถนนอย่างสวยงาม……
โตจนถึงป่านนี้ เฉียวฉู่ถึงได้รู้ว่ามีสถานที่ที่มหัศจรรย์และลึกลับเช่นนี้อยู่ในโลก
ภูติอาวุธ, ภูติสัตว์อสูร, และภูติพฤกษา ภูติประจำตัวที่ผู้คนเคยครอบครองใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างอิสระปราศจากการควบคุมของมนุษย์ อยู่ในโลกที่เป็นของพวกเขาด้วยอิสระเสรีอย่างแท้จริงและน่าพิศวง
“น่าทึ่งมาก” หรงรั่วมองทุกอย่างด้านนอกอย่างตกตะลึง พวกเขามาที่นี่ด้วยรถม้าซึ่งลากด้วยม้าโครงกระดูก ตลอดการเดินทาง จวินอู๋เหยาไม่อนุญาตให้พวกเขามองออกไปข้างนอก นานทีเดียวกว่าจวินอู๋เหยาจะอนุญาตให้พวกเขามองออกมา และเพียงมองครั้งเดียว พวกเขาก็พากันตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น
พวกเขารู้สึกว่าตนเพิ่งออกจากสถานที่จัดประชุมสุดยอดของสิบสองวิหารได้แค่ครึ่งวันเท่านั้น พวกเขามาถึงโลกวิญญาณเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?
เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตแปลกๆที่ไม่สามารถปรากฏในชีวิตปกติได้ เด็กๆทั้งกลุ่มก็ไม่สงสัยเลยว่าพวกเขามาอยู่ที่ไหน
จวินอู๋เสียมองโลกวิญญาณที่ลึกลับเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่รู้จัก ท่าทีของนางสงบนิ่งเหมือนปกติ แต่กระนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะจ้องมองดินแดนลึกลับซึ่งไม่เคยมีคนนอกเหยียบย่างเข้ามานี้ด้วยดวงตาเบิกกว้าง
ตอนที่ 1965 โลกวิญญาณ (2)
“พี่ใหญ่อู๋เหยา ตอนตาย วิญญาณของทุกคนจะมาที่โลกวิญญาณงั้นหรือ?” ฟ่านจั๋วหันหน้าไปถามจวินอู๋เหยา ในใจแฝงความคาดหวัง
จวินอู๋เหยาส่ายหน้าและพูดว่า “ตอนที่คนธรรมดาตาย ก็แค่ตายไป วิญญาณจะเข้าสู่วัฏจักรของการเวียนว่ายตายเกิด เฉพาะผู้ที่มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่โลกวิญญาณได้”novel-lucky
หลังจากที่คนตาย วิญญาณจะสลายไปจากร่างกาย ในตอนแรกพวกเขาอาจจะยังมีสติสัมปชัญญะอยู่บางส่วน แต่พลังวิญญาณของคนพวกนั้นอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถคงรูปอยู่ได้ ไม่สามารถเก็บความทรงจำในตอนที่มีชีวิตอยู่ จิตสำนึกจะค่อยๆหายไป จากนั้นก็เข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิด
มีเพียงผู้ที่พลังวิญญาณแข็งแกร่งและมั่นคงเท่านั้นที่จิตสำนึกไม่ถูกทำลาย และจะสามารถก้าวเข้าสู่โลกวิญญาณ กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกเขา
ภูติประจำตัวที่ผู้คนครอบครองล้วนมาจากโลกวิญญาณ แทนที่จะพูดว่าภูติประจำตัวเป็นรูปแบบชีวิตที่ไม่เหมือนใคร พวกเขาเป็นเหมือนวิญญาณที่มีจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งซึ่งไม่ต้องการแตกดับไป ไม่สามารถทำใจจากไปได้ ไม่อยากลืมและเลือกที่จะอยู่ต่อโดยการกลายเป็นภูติประจำตัว เป็นเพื่อนร่วมทางของผู้คน
ในบรรดาภูติประจำตัวจำนวนมากนั้น มีเพียงวิญญาณมนุษย์เท่านั้นที่ได้รับการยกเว้น
เป็นเพราะมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนที่สุดในโลก กระทั่งตายไปแล้ว ความรู้สึกสุขเศร้าโกรธเสียใจก็ยังทำให้เกิดความวุ่นวายทางอารมณ์อย่างที่วิญญาณอื่นไม่สามารถเทียบได้ ความซับซ้อนของพวกเขาทำให้ไม่สามารถยอมรับความจงรักภักดีอย่างแน่วแน่ที่ภูติประจำตัวต้องการได้ และเนื่องจากความเชื่อมโยงกับโลกก่อนหน้านี้ การกลับไปยังดินแดนมนุษย์อีกครั้งก็มีแต่จะทำให้เกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้นจ้าวแห่งโลกวิญญาณจึงปฏิเสธคำแนะนำที่ให้วิญญาณมนุษย์กลายเป็นภูติประจำตัว
“อย่างนี้นี่เอง” ฟ่านจั๋วผิดหวังเล็กน้อย
“ในโลกวิญญาณ ถ้าพลังวิญญาณไม่มั่นคงพอ แม้ว่าจะมาที่นี่ พวกเขาก็จะค่อยๆหายไปเมื่อพลังอ่อนลง หากต้องการอยู่ที่นี่ต่อ ก็ต้องขัดเกลาวิญญาณอย่างต่อเนื่อง” ขณะที่จวินอู๋เหยาพูด เขาก็ยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังมุมถนนที่ซึ่งมีวิญญาณที่ดูเลือนรางและโปร่งใสเกือบหมด
วิญญาณพวกนั้นดูเลือนรางมากราวกับจะหายไปอยู่แล้ว พวกเขาสามารถมองทะลุผ่านร่างของวิญญาณพวกนั้นไปเห็นวิญญาณอื่นที่เดินผ่านไปมาอยู่ด้านหลังได้อย่างชัดเจน
“นั่นคือวิญญาณใหม่ เขาอาจจะมีพลังมหาศาลในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่และมีเจตจำนงที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว แต่ในระยะแรกของการเป็นวิญญาณใหม่ หากจิตใจหวั่นไหวไม่มั่นคง ก็จะหายไปจากที่นี่ในไม่ช้า” จวินอู๋เหยาพูดเสียงเรียบไร้ความรู้สึก
โลกวิญญาณเป็นสวรรค์สำหรับวิญญาณ แต่พวกเขาก็มีกฎของตัวเอง
ที่นี่จำนวนวิญญาณที่หายไปทุกวันมีนับไม่ถ้วน มีเพียงวิญญาณที่แข็งแกร่งจริงๆเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนตนจนมีรูปร่างขึ้นมาได้ และมีเพียงผู้ที่มีรูปร่างแล้วเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเป็นภูติประจำตัวและกลับไปสู่แดนมนุษย์ได้
การได้เป็นภูติประจำตัวและกลับไปแดนมนุษย์นั้นเป็นสิ่งล่อใจอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณอาวุธหรือวิญญาณสัตว์อสูร
รถม้าโครงกระดูกไฟแล่นมาจนสุดถนนแล้วหยุดลง เมื่อมองดูโลกวิญญาณจากที่นี่ มันเป็นความมืดสลัวที่ทอดยาวไปจนสุดสายตา
ปลายถนนเชื่อมต่อกับป่าทึบ ภายในป่าทึบมีบ้านต้นไม้ทั้งเล็กและใหญ่เต็มไปหมด ต้นไม้ในโลกวิญญาณไม่ได้เป็นสีเขียวแต่เป็นสีดำหม่น มีแสงสว่างจางๆอยู่ที่ลำต้น กิ่ง และรากของมัน
ร่างวิญญาณที่น่าอัศจรรย์ทุกรูปแบบเคลื่อนไหวอยู่ภายในบ้านบนต้นไม้ บางส่วนก็ลอยอยู่กลางอากาศ บินเข้าไปในบ้านหลังเล็กๆที่อยู่สูงขึ้นไปบนต้นไม้
ที่ทางเข้าป่าด้านนอกมีบ้านไม้หลังเล็กที่เรียบง่ายหลังหนึ่ง สัตว์อสูรตัวมหึมาที่มีเขี้ยวแหลมคมยื่นออกจากปากนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก ฝ่ามือหนาอ้วนของมันถือกองใบไม้ที่แห้งจนกลายเป็นสีเทา ดวงตาสัตว์ร้ายของมันหรี่ลงอย่างหงุดหงิด ข้างหน้ามันมีโต๊ะไม้วางอยู่ และตรงข้ามโต๊ะมีชายที่มีเสน่ห์คนหนึ่งซึ่งมีเถาวัลย์และดอกไม้สีม่วงอยู่ทั่วร่างกายกำลังถือกองใบไม้อยู่เช่นกัน เขาชันเข่าขึ้นอย่างไม่ใส่ใจขณะมองดูสัตว์อสูรตัวมหึมาที่กำลังสับสน
ตอนที่ 1966 โลกวิญญาณ (3)
“อะไร? เจ้ายังจะสู้ต่ออีกหรือ?” ชายเจ้าเสน่ห์เลิกคิ้วมองสัตว์อสูรตัวมหึมา ต่อหน้าสัตว์อสูรตัวนั้น ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาดูจะเทียบกับนิ้วๆเดียวของสัตว์อสูรไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ชายคนนั้นก็ยังท้าทายและยั่วยุต่อมโมโหของสัตว์อสูรอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
“เงียบ ข้ากำลังคิด!” เสียงของสัตว์อสูรตัวมหึมานั้นแข็งแกร่งและทรงพลัง เมื่อมันพูด โต๊ะตรงหน้าถึงกับสั่นสะเทือน
ชายเจ้าเสน่ห์หัวเราะเยาะเย้ยและยกมือขึ้นอย่างเกียจคร้าน เถาวัลย์บางที่ประดับประดาด้วยดอกไม้สีม่วงเล็กๆพันอยู่รอบแขนของเขา เมื่อเขาโบกแขนจึงทำให้กลีบดอกไม้โปรยปรายลงบนพื้น
“ถึงจะให้เวลาเจ้าอีกวัน หัวทึบๆของเจ้าก็ไม่สามารถคิดหาวิธีแก้ได้หรอก จะดิ้นรนให้ลำบากไปทำไม? ทำไมไม่ยอมรับความพ่ายแพ้แล้วมอบหินวิญญาณมาซะ” ชายเจ้าเสน่ห์ปากร้ายเอาเรื่องทีเดียว ทำให้คนฟังโกรธจนควันออกหู
“โฮก!!!” คำพูดของชายคนนั้นทำให้สัตว์อสูรโกรธมาก มันใช้อุ้งเท้าใหญ่โตทุบลงไปที่โต๊ะไม้ ตัวของมันสูงตระหง่านราวกับภูเขา
มุมปากของชายเจ้าเสน่ห์โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ย เถาวัลย์บนร่างหมุนวนทันที และก่อนที่อุ้งเท้าของสัตว์อสูรตัวนั้นจะทุบลงมา เถาวัลย์นับไม่ถ้วนก็จับแขนของสัตว์อสูรเอาไว้แน่น ไม่ยอมให้มันขยับได้แม้แต่นิ้วเดียว
“แพ้แล้วก็อย่าพาลสิ ข้าพูดอยู่ตลอดว่าไม่ชอบเล่นไพ่กับคนโง่ที่มีแต่กำลังไม่มีสมองอย่างพวกเจ้า โดนยั่วนิดเดียวก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วเราจะเล่นกันต่อได้ยังไง?” ชายเจ้าเสน่ห์กล่าวด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ปากเขาเต็มไปด้วยพิษร้ายจริงๆ
สัตว์อสูรตัวมหึมาถลึงตาจ้องชายเจ้าเสน่ห์แต่ปากร้าย มันขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พ่นลมจากจมูก มันออกแรงจนสุดแต่ก็ไม่สามารถกำจัดเถาวัลย์ให้หลุดออกไปได้
“เจ้าอยากเล่นนอกเกมกับข้าหรือ? ทำไมไม่ชั่งน้ำหนักตัวเองให้ดีซะก่อน? ข้าขอแนะนำให้เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ดีๆจะดีกว่า ไม่งั้นข้าก็รับรองไม่ได้หรอกนะว่าพิษจะไม่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบาย แม้ว่าพิษจะไม่สามารถทำร้ายร่างวิญญาณได้ แต่ก็ยังทำให้เจ้าทรมานได้พักหนึ่ง” ชายเจ้าเสน่ห์ยังคงนั่งบนเก้าอี้อย่างผ่อนคลายพร้อมกับเบะปากอย่างดูถูก
“โอ้โห นี่คือการต่อสู้ระหว่างร่างวิญญาณหรือเนี่ย? สัตว์อสูรยักษ์นั่นดูไม่น่าไปยั่วยุด้วยเลย เสี่ยวเสีย เจ้าว่าผู้ชายคนนั้นเป็นภูติพฤกษาเหมือนกันรึเปล่า?” เฉียวฉู่เฝ้าดูจากในรถม้าอย่างตั้งใจ พอเห็นเถาวัลย์ เขาก็นึกถึงบัวน้อยและอิงซู่ของจวินอู๋เสียขึ้นมาทันที จึงอดถามไม่ได้
จวินอู๋เสียกำลังจะอ้าปากตอบ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงความร้อนที่หน้าอก แล้วแสงสีขาวก็พุ่งออกมา ผ่านหน้าต่างรถม้าตรงไปยังชายเจ้าเสน่ห์ปากร้าย
“ท่านพี่ตู๋เถิง!!” ทันใดนั้น เสียงน่ารักน่าเอ็นดูก็ดังขึ้นเหนือพื้นที่ที่ต่อสู้กันอยู่
ชายเจ้าเสน่ห์ที่มีรอยยิ้มเย็นชาเห็นเงากลมๆลอยตรงมาทางเขา เขาก็ยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณ เถาวัลย์รอบแขนพุ่งออกไปจับ “วัตถุปริศนา” เอาไว้แน่น
“ท่านพี่ตู๋เถิง!! ข้าเอง!” บัวน้อยที่ถูกเถาวัลย์จับไว้กลางอากาศโบกแขนขาป้อมๆสั้นๆพร้อมส่งเสียงโหวกเหวกอย่างดีใจ
“ทำไมเจ้ากลับมาล่ะ? ทำให้เจ้านายตายอีกแล้วหรือ? ข้าบอกเจ้าแล้วว่านิสัยเจ้าไม่มั่นคง ไม่เหมาะจะรับหน้าที่เป็นภูติประจำตัว เจ้าบัวเมาก็คาดเดาไม่ได้ ออกไปก็มีแต่จะก่อปัญหา” ชายเจ้าเสน่ห์ขมวดคิ้วมองบัวน้อย พออ้าปากก็ทำให้คนฟังแทบกระอักเลือด