ส่วนที่ 5 ตอนที่ 30 อยู่นอกกฎระเบียบ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ก่อนออกจากห้อง อวิ๋นเยี่ยเหล่มองจั่งซุนด้วยหางตา เป็นจริงดังคาด สีหน้าจั่งซุนเต็มไปด้วยความสุขโดยไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ายังอยากจะปรบมือโห่ร้องอีกด้วย เดิมนั้นก็หน้าตางดงามเป็นอย่างมาก ตอนนี้ยังแสดงกิริยาดั่งสาวน้อย ทำให้อวิ๋นเยี่ยเกือบจะสะดุดธรณีประตูล้ม

 

 

จั่งซุนเห็นเข้าจึงยิ่งหัวเราะดังกว่าเดิม เดิมทีนางก็มีเชื้อสายของชาวเผ่าหู เปิดเผยและวางอำนาจจึงจะเป็นนิสัยที่แท้จริงของนาง เสแสร้งเป็นคนที่ปราดเปรื่องมาหลายปีคงเบื่อหน่ายอย่างที่สุดมาตั้งนานแล้ว ในสำนักศึกษานางใหญ่ที่สุด ลูกชายกตัญญู ชีวิตเป็นไปตามต้องการ หากไม่หาเรื่องที่ทำให้ตนเองมีความสุขเสียหน่อยไม่เท่ากับผิดต่อตัวเองหรือ

 

 

เมื่อเดินเลยมุมกำแพงไป อวิ๋นเยี่ยมอบชามข้าวในมือให้เสี่ยวยาที่กำลังหลบซ่อนอยู่ที่นั่น เสี่ยวยารับชามข้าวใบใหญ่มา ยิ้มจนตาหยีราวกับจันทร์เสี้ยวแล้ว นั่งหมอบอยู่บนโต๊ะหินและเริ่มลงมือจากขาหมูอันใหญ่ขานั้นก่อน

 

 

เขาเทน้ำหนึ่งแก้วให้เสี่ยวยา อวิ๋นเยี่ยเริ่มลูบหนวดบางๆ ที่ใต้คางแล้วแอบซุ่มมองจั่งซุนที่อยู่ในห้องนางส่งเสียงหัวเราะดังไม่ขาดสาย บางทีคงมีแต่อยู่ที่นี่เท่านั้นจึงจะได้เห็นจั่งซุนที่ไม่ต้องระมัดระวังการวางตัวกระมัง

 

 

อวิ๋นเยี่ยกล้ารับประกันว่าในวันพรุ่งนี้ ฮองเฮาผู้สง่างามและสูงส่งจะกลับมาสู่โลกอีกครั้ง

 

 

จั่งซุนได้ส่งทหารอู่เว่ยฝ่ายซ้ายห้าร้อยคนมาคอยดูแลตระกูลอวิ๋น อวิ๋นเยี่ยรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก หากอยากจะก่อเรื่องก็เชิญเถอะ ตระกูลอวิ๋นทั้งครอบครัวจะเล่นกับเจ้า แม้ว่าเจ้าอยากขึ้นสวรรค์ ขอเพียงเจ้ามีความสุขข้าก็จะไปคิดหาวิธีมาให้

 

 

อวิ๋นเยี่ยเดินเล่นเป็นเพื่อนจั่งซุนในสำนักศึกษาตลอดทั้งวัน ฟังอวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่เล่าเรื่องสนุกในสำนักศึกษาให้นางฟัง หวงสู่กลับได้กลายเป็นตัวเอก หลี่ไท่ตั้งใจเรียกหวงสู่มาโดยเฉพาะและถามมารดาว่าเขาดูเหมือนหนูจริงๆ หรือไม่

 

 

หลี่ไท่ละทิ้งการระมัดระวังตัวทั้งหมดไปจนดูเหมือนกับเด็กที่ได้สร้างผลงานขึ้นคนหนึ่ง พยายามจะแสดงความสำเร็จทั้งหมดของเขาให้มารดาเขาเห็นอย่างไม่คิดชีวิต เขาเห็นสีหน้าประหลาดใจของมารดาที่เห็นเขายกของหนักห้าร้อยกว่ากิโลกรัมได้อย่างง่ายดายก็ตื่นเต้นดีใจจนริมฝีปากสั่น

 

 

หวงสู่สองสามีภรรยาโขกศีรษะคำนับจั่งซุนอยู่บนพื้น เมื่อเห็นว่าภรรยาของหวงสู่เองก็กำลังตั้งครรภ์ จึงให้ขันทีไปพยุงอิงเหนียงขึ้นมา ตรัสถามด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่านางตั้งครรภ์มากี่เดือนแล้ว รู้สึกไม่สบายหรือไม่ ปกติประกอบอาชีพอะไร มีทานอาหารบำรุงหรือไม่

 

 

อิงเหนียงเข่าอ่อนจนยืนไม่ติดแล้ว หากไม่มีขันทีช่วยพยุงไว้ไม่แน่ว่าอาจจะล้มก้นกระแทกพื้นแล้ว ตอบคำถามไม่ตรงคำถามที่จั่งซุนถามไปหลายประโยค จู่ๆ ก็ผละออกจากขันทีแล้ววิ่งไปที่ร้านของนาง หยิบชามกระเบื้องเคลือบสีขาวต้มน้ำให้เดือด ไม่นานนักเหล้าหมักใส่เก๋าคี่ พุทราและกุ้ยฮวาก็ถูกอิงเหนียงยกออกมา ส่งให้จั่งซุนด้วยความเคารพ

 

 

อวิ๋นเยี่ย หลี่ไท่ห้ามไว้ไม่ทัน ขันทีเหล่านั้นยิ่งกว่าเห็นปีศาจเสียอีก จั่งซุนรับเหล้าหมักและจิบไปหนึ่งคำแล้วพูดกับอิงเหนียงว่า “รสชาติดี ทำอย่างไร อร่อยกว่าเหล้าหมักในวังหลายส่วนเลย”

 

 

ทันใดนั้นก็มองไม่เห็นดวงตาบนใบหน้ากลมๆ ของอิงเหนียง สองมือบิดไปมาอย่างเงอะงะ ไม่รู้ว่าจะวางมือที่ไหนดี

 

 

ขันทีก็ได้มอบเครื่องประดับไม้จันทน์เล็กๆ หนึ่งอันให้กับอิงเหนียง อิงเหนียงพยุงสามีนางขึ้นมา ทั้งสองโค้งคำนับแล้วก็ถอยกลับออกไป

 

 

ตั้งแต่ต้นจนจบหวงสู่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น สายตาเอาแต่จับจ้องอยู่บนพื้น ในความรู้สึกของเขาหลี่ไท่เป็นมังกรร้ายที่กินคน ไม่รู้ว่ามารดาของเขามีความทรงพลังอะไรแฝงอยู่ กลัวว่าใบหน้าที่น่าเกลียดของตัวเองจะทำให้ฮองเฮาตกใจ จากนั้นต้องถูกหลี่ไท่สับเป็นหมื่นๆ ชิ้น เขากลัวหลี่ไท่จริงๆ

 

 

หลังจากหวงสู่สองสามีภรรยาจากไป จั่งซุนก็ดื่มเหล้าหมักต่อโดยไม่ได้วางท่าทีใดๆ ดื่มพลางพูดกับอวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ว่า “ใต้หล้านี้มีคนที่ต้องการเอาชีวิตเราอยู่ แต่ไม่ใช่สามีภรรยาคู่นี้อย่างแน่นอน ดูพวกเจ้าแต่ละคนท่าทางร้อนรนกัน คิดว่าไม่ว่าใครนำอาหารอะไรมาเราก็กินอย่างนั้นหรือ”

 

 

อวิ๋นเยี่ยหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งอก หลี่ไท่ตัดสินใจว่าจะต้องไปต่อยหวงสู่อีกครั้งเพื่อระบายความแค้นในใจ

 

 

ในสำนักศึกษาไม่ได้มีดอกไม้และต้นไม้ที่งอกปนเปกันจนยุ่งเหยิง มีเพียงพื้นหญ้าสีเขียวขนาดใหญ่ ตอนนี้เป็นเวลาเข้าเรียน ไม่มีคนว่างที่ออกมาเดินเล่นเตร็ดเตร่ จั่งซุนรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย อวิ๋นเยี่ยจึงให้คนปูพรมบนพื้นหญ้า หลี่ไท่นำขันทีไปหลายคนเพื่อไปนำผีเสื้อออกมาจากห้องเพาะเลี้ยงผีเสื้อให้มารดาของเขาได้ชม ทั้งยังเน้นหนักไปที่การแนะนำผลงานของตัวเอง โดยบอกว่าผีเสื้อรักแร้ขาวหลายตัวนี้ตนเองไปจับมาจากเขาฉินหลิ่งซึ่งกว่าจะจับได้ไม่ใช่เรื่องงายเลย สำหรับความเหนื่อยยากขององครักษ์นั้น เขาไม่ได้กล่าวถึงแม้แต่คำเดียว

 

 

แน่นอนว่าผีเสื้อนั้นมีความสวยงามของมัน เมื่อผีเสื้อที่มีหลากสีสันอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ก็ยิ่งมีสีสันมากขึ้น แต่ละตัวถูกผึ่งลมจนแห้ง แล้วใช้ด้ายและเข็มเย็บยึดเอาไว้บนกระดานไม้เนื้ออ่อน เมื่อถูกลมพัดก็ดูราวกับว่าพวกมันฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา จั่งซุนมองดูด้วยแววตาที่เปล่งประกาย อวิ๋นเยี่ยรู้ว่านางเกิดความคิดที่อยากจะได้เป็นของตัวเอง ใครจะรู้ว่าฮองเฮาพูดขึ้นก่อนว่า “อวิ๋นเยี่ย เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ราชวงศ์ก็มีกฎของราชวงศ์  ถ้าของดีทุกอย่างต้องถูกส่งเข้าวัง นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไรนัก เมื่อมีผีเสื้อเหล่านี้ก็จะเกิดอยากได้ผีเสื้อเพิ่มขึ้นอีกและขุนนางท้องถิ่นก็จะพยายามนำมามอบให้อย่างไม่คิดชีวิต ในหนังสือประวัติศาสตร์ก็มีบันทึกไว้ว่าเจ้าของตัวเล็กๆ นี้ก็กินคนเช่นกัน ผีเสื้ออยู่ในสำนักศึกษานั้นถือเป็นความงามอย่างหนึ่ง รวมถึงเป็นความรู้แขนงหนึ่งด้วย แต่หากนำมันเข้าวัง เราเข้าใจดี มันจะกลายเป็นความหายนะในภายหลัง หากไม่ไปยับยั้งปัญหาเล็กๆ เหล่านี้ แล้วต้าถังเราจะสามารถสร้างรากฐานนับหมื่นปีได้อย่างไร”

 

 

เมื่ออวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่เห็นฮองเฮาพูดเช่นนี้ จึงได้แต่ค้อมกายน้อมรับคำสอน

 

 

การอยู่นอกกฎระเบียบเป็นบางครั้งนั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าเครียดอะไร เพราะมันสามารถปรับเปลี่ยนสภาพรอบข้างเราให้เหมาะสมได้ จากการแนะนำของอวิ๋นเยี่ย จั่งซุนก็เริ่มปรับตัวเข้าสู่สภาพรอบกายได้อย่างรวดเร็ว ภายในห้องที่จัดวางโครงกระดูกมังกร จั่งซุนใช้มือตบกระดูกฟอสซิลของโครงกระดูกเบาๆ และถามอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นเยี่ย สัตว์ที่ดุร้ายเช่นนี้เคยมีอยู่ในโลกนี้จริงๆ หรือ”

 

 

“กราบทูลฮองเฮา เคยมีตัวตนอยู่จริง โครงกระดูกนี้ก็คือหลักฐานว่ามันเป็นเจ้าของของโลกนั้นในสมัยโบราณอันห่างไกลมาก โลกทั้งโลกอบอุ่นและชุ่มชื้นเต็มไปด้วยพืชพรรณที่เขียวชอุ่ม มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนอาศัยในดินแดนแห่งนี้ ไทรันโนซอรัสจะซ่อนกายอยู่หลังพืชพรรณที่มีลำต้นสูง รอเวลาที่ดีที่สุดเพื่อล่าเหยื่อ

 

 

สัตว์ดุร้ายตัวเตี้ยตัวหนึ่งเดินเงอะงะเข้ามา บนหัวของมันมีเขาแหลมที่แหลมคมสามอัน ซึ่งมันก็ถือเป็นสัตว์ร้ายที่ดุร้ายมากชนิดหนึ่ง โดยปกติไทรันโนซอรัสจะไม่สนใจสัตว์ร้ายชนิดนี้ แต่ตอนนี้จำเป็นต้องสนใจแล้วลูกๆ สองตัวของมันยังคงรอคอยที่จะให้มันนำอาหารกลับไปให้ ไทรันโนซอรัสเพศเมียตัวนี้พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ใช้ฟันอันแหลมคมของมันฉีกท้องของสัตว์ที่ดุร้ายตัวนั้นจนเปิดเป็นแผลกว้าง เบื้องหน้าก็ดูเหมือนจะได้ชัยชนะ ใครจะคิดว่าสัตว์ดุร้ายตัวนั้นยังไม่ตายและก่อนที่มันจะตายมันแทงเขาที่แหลมคมเข้าไปในหน้าอกของไทรันโนซอรัสเพศเมียตัวนั้น ถึงแม้ว่าไทรันโนซอรัสจะเป็นราชาแห่งสัตว์ป่า แต่หัวใจของมันก็บอบบางเหมือนกับสัตว์ทุกชีวิต

 

 

สัตว์ดุร้ายตัวนั้นตายแล้ว ไทรันโนซอรัสดึงร่างของสัตว์ดุร้ายกลับมา หน้าอกก็มีเลือดสดๆ ไหลออกมาไม่หยุด ลูกๆ ของมันยังไม่สามารถที่จะยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง ถ้าหากมันตาย ลูกๆ ของมันก็จะกลายเป็นอาหารของสัตว์อื่นๆ”

 

 

ดูเหมือนว่าจั่งซุนจะไม่ได้ฟังสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยพูด เดินไปรอบๆ โครงกระดูกอยู่หลายรอบ ในที่สุดก็หยุดลง ลูบฟันมังกรขนาดใหญ่และพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ทำไมไม่พูดต่อล่ะ เรายังรอฟังตอนจบอยู่นะ แต่ถึงเจ้าจะไม่พูด ข้าก็สามารถเดาได้ว่าตอนจบต้องไม่ดีแน่ ไม่พูดถึงก็ดีเหมือนกัน ราชาแห่งสัตว์ร้ายต้องมีชีวิตอยู่ หากตายไปแล้วก็ไม่นับว่ายิ่งใหญ่ มังกรตัวนี้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องลูกๆ ของมัน ไม่กลัวแม้แต่ความตาย ผู้เป็นแม่ย่อมมีความรู้สึกนี้เช่นเดียวกันทุกคน อวิ๋นเยี่ย ข้าอยากฟังตอนจบที่ดี”

 

 

“ตอนจบที่ดีที่สุดก็คือไทรันโนซอรัสลากสัตว์ดุร้ายกลับไปที่รังของมันและเสียชีวิต ลูกๆ ของมันอาศัยกินเนื้อสัตว์ดุร้ายตัวนั้นและศพของมันจึงเอาชีวิตรอดจากวัยเยาว์จนสามารถออกหาเหยื่อเองได้ ในที่สุดก็กลายเป็นไทรันโนซอรัสตัวใหม่”

 

 

“ตอนจบที่ไม่ดีอาจเป็นไปได้ว่าพวกมันแม่ลูกตายกันหมดใช่ไหม”

 

 

“ฮองเฮาทรงฉลาดปราดเปรื่อง กล่าวมาไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย”

 

 

“อวิ๋นเยี่ย ทำไมเจ้าถึงเล่าเรื่องเกี่ยวกับชะตาชีวิตความเป็นตายของไทรันโนซอรัสให้เราฟังด้วย ข้ากำลังจะตายหรือ”

 

 

“ฮองเฮา กระหม่อมเพียงแต่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการคาดเดาเรื่องหนึ่งเท่านั้น ขอท่านอย่าได้เอามันไปเกี่ยวพันถึงพระองค์เองอย่างเด็ดขาด สิ่งที่กระหม่อมพูดคือกฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง เข้มแข็งรอดอ่อนแอม้วย เป็นเช่นนี้มาแต่โบราณกาล”

 

 

“สัตว์ร้ายที่ทรงพลังเช่นนี้ มีเวลาแห่งความตายแล้วผู้คนจะหลีกหนีไปได้อย่างไร อวิ๋นเยี่ย ทำไมตอนนี้จึงไม่เห็นสัตว์พวกนี้แล้ว พวกมันไปไหนหมด ทำไมถึงสูญพันธ์ไป เจ้าเป็นคนแรกที่ได้สิ่งนี้มา จะต้องรู้เรื่องดีอย่างแน่นอน บอกข้าที”

 

 

“มีนักวิจัยที่ไม่ใช่กระหม่อมแต่เป็นอาจารย์ อาจารย์เดาว่ามีเหตุผลสองประการ ประการหนึ่งคือสภาพอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลง ในเวลานั้นโลกอบอุ่นมาก มีป่าเขียวชอุ่มทั่วทุกที่ มีสัตว์เล็กๆ จำนวนมากอาศัยอยู่ ดังนั้นไทรันโนซอรัสจึงมีอาหารที่เพียงพอ ต่อมาสภาพอากาศหนาวเย็นลงและสัตว์เล็กๆ จำนวนมากล้มตายไป เมื่อไม่มีอาหาร ไทรันโนซอรัสจึงต้องอดตายไป”

 

 

เขาไม่สามารถบอกจั่งซุนเกี่ยวกับรูปร่างของโลกได้ ดังนั้นจึงได้แต่รับมืออย่างขอไปทีเช่นนี้

 

 

“อวิ๋นเยี่ย นี่เจ้ากำลังกล่าวทัดทานอยู่หรือ เจ้าควรจะพูดเรื่องเหล่านี้ให้ฝ่าบาทฟัง การปฏิบัติต่อประชาราษฎร์ด้วยความเมตตาจึงจะเป็นสิ่งที่ต้องทรงตระหนักไว้เสมอ เจ้าก่อความหายนะครั้งใหญ่ในฉางอัน ทำจนเกิดความสับสนอลหม่าน ฝ่าบาททรงตรัสว่า น้ำช่วยพยุงเรือได้ ก็สามารถจมเรือได้ หากพวกเราไม่ปฏิบัติต่อประชาราษฎร์ให้ดี ช้าเร็วก็จะต้องเหมือนราชวงศ์สุย ถูกประชาชนลุกฮือขับไล่จนต้องล่มสลาย

 

 

ฝ่าบาททรงตระหนักถึงความจริงข้อนี้ก็มีค่าดั่งทองคำนับหมื่น ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่เจ้าสามารถเอาตัวรอดออกมาได้อย่างง่ายดายในคราวนี้ เจ้านึกว่าในราชสำนักไม่มีฎีกาเรียกร้องให้ตัดศีรษะเจ้าเพื่อสร้างความสงบสุขให้ไพร่ฟ้าหรือ”

 

 

นางเหล่มองอวิ๋นเยี่ยและพูดอีกว่า “คราวนี้ทุกคนต่างก็อยู่นอกกฎระเบียบ เจ้าอยู่นอกกฎระเบียบ ตระกูลโต้วอยู่นอกกฎระเบียบ ฝ่าบาททรงอยู่นอกกฎระเบียบ ข้าก็ได้แต่อยู่นอกกฎระเบียบอยู่ที่สำนักศึกษาแห่งนี้ ทำอะไรโดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังสักครั้ง สามีว่าเช่นไรภรรยาก็ว่าตามนั้น หากข้าไม่อยู่นอกกฎระเบียบ ไพร่ฟ้าจะกล่าวหาว่าข้าสงบนิ่งกว่าฝ่าบาทหรือไม่ “

 

 

จั่งซุนเป็นฮองเฮาที่เหนื่อยเกินไปแล้ว ฮ่องเต้ทำผิดนางก็ต้องทำผิดตามไปด้วย ก้าวหน้าและล่าถอยไปด้วยกัน มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมนางจึงไม่เคยสูญเสียความโปรดปรานจากหลี่ซื่อหมินเลย

 

 

ตอนนี้มีเด็กหญิงน่ารักตัวน้อยที่อายุแปดขวบกำลังเตรียมจะโจมตีตำแหน่งฮองเฮาที่มั่นคงดุจขุนเขาของนางอยู่ ไม่รู้ว่าจั่งซุนจะรับมืออย่างไร อวิ๋นเยี่ยมองดูจั่งซุนผู้งามสง่าที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

 

 

สุขภาพร่างกายของจั่งซุนจะแย่ลงมากหลังจากให้กำเนิดลูกสาวคนนี้แล้ว อวิ๋นเยี่ยและซุนซือเหมี่ยวได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับโรคลมชักและโรคหอบหืดมาแต่เนิ่นๆ แล้ว ด้วยความสามารถของเหล่าซุน คิดว่าใช้เวลาไม่นานก็จะคิดหาวิธีที่ดีให้นำมาใช้ได้ จั่งซุนตายไม่ได้และไม่ตายได้

 

 

อวิ๋นเยี่ยอยากจะเห็นการต่อสู้แย่งชิงระหว่างฮองเฮาผู้โด่งดังนับพันปีกับฮ่องเต้หญิงแห่งยุคว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อวานนี้อู่ซื่อเยวียเข้าเมืองหลวงแล้วในฐานะนักรบ ลูกหลานของเขาแน่นอนว่าต้องมาเรียนที่สำนักศึกษาแห่งนี้ ลูกสองคนของเขาต้าอู่และเสียวอู่ดูไปแล้วช่างโง่เขลา เพียงแต่ไม่เห็นลูกสาวของเขา ไม่รู้ว่าจะเป็นหญิงงามมากความสามารถหรือจะเป็นนางปีศาจกันแน่