ส่วนที่ 5 ตอนที่ 31 ข้อกำหนดบทลงโทษ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

อวิ๋นเยี่ยอยากจะจบการสนทนากับจั่งซุนมาก แต่ช่วยไม่ได้ที่จั่งซุนกำลังสนทนาอย่างออกรสชาติ เมื่อเผชิญหน้ากับซากสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ คาดว่านางคงจะคิดว่านี่เป็นร่างอวตารของนางตั้งแต่แรกแล้ว นางอยากจะเข้าใจสัตว์ประหลาดยุคก่อนประวัติศาสตร์ประเภทนี้ ซึ่งก็เหมือนมนุษย์ที่ต้องเข้าใจตัวเองเช่นกัน

 

 

อาการยามนางลูบโครงกระดูกเริ่มอ่อนโยนขึ้น ทั้งยังดึงปิ่นปักผมออกมาอย่างระมัดระวังเพื่อกำจัดขี้โคลนที่ติดอยู่บริเวณฟันของโครงกระดูก ในซอกฟันมีอะไรติดอยู่คงรู้สึกอึดอัดเป็นแน่ ดูเหมือนว่านางจะรับรู้ได้ จึงไปขยับปากของมันโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

 

ของบางสิ่งมีคุณสมบัติเป็นสัญลักษณ์ได้ เช่น มังกรซึ่งไม่มีตัวตนจริงๆ มีเพียงโครงกระดูกก็เพียงพอที่จะทำให้จั่งซุนรู้สึกภูมิใจอยู่เป็นเวลานาน

 

 

“เจ้าบอกว่ามังกรตัวนี้อดตายหรือว่าตายจากการต่อสู้”

 

 

“มีอะไรแตกต่างกันอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา อย่างไรเสียมันก็ตายแล้ว” ทันทีที่พูดจบอวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่ามันไม่ดีแน่นอน จริงดังคาด คิ้วของจั่งซุนขมวดขึ้น แม้แต่หลี่ไท่ก็วางท่าข่มขวัญมองเขาอยู่ด้านข้าง

 

 

“ก็ได้ ก็ได้ มังกรตัวนี้ตายจากการต่อสู้ ท่านก็เห็นโครงกระดูกของมันว่ามีรูโหว่ขนาดใหญ่หลายจุด ไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้ว่านี่คือบาดแผลที่เกิดจากมังกรตัวอื่นทำร้ายมัน ขอให้ท่านตั้งใจดูให้ดี เมื่อนำฟันวางเข้าไปในช่องว่างนี้มันจะเข้ากันพอดี ซึ่งนี่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามันได้ผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างยิ่ง สัตว์ใหญ่สองตัวที่เข่นฆ่ากันในทุ่งหญ้ากว้าง ต้นไม้ใหญ่ขนาดคนโอบรอบได้ถูกชนล้มอย่างต่อเนื่อง เสียงคำรามของพวกมั่นดังสะเทือนทั่วทั้งพื้นที่ สัตว์อื่นๆ ต่างก็พากันหวาดกลัว โผล่หัวขึ้นมาจากพุ่มหญ้าและเฝ้าดูราชาของตนเองอย่างระมัดระวังว่าแท้จริงแล้วใครเป็นฝ่ายเสียท่า เมื่อมังกรตัวนี้ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดยืนอยู่บนหน้าผา ร้องคำรามเปล่งเสียงดังกึกก้องเพื่อประกาศชัยชนะของมัน ภาพบรรยากาศนั้นจะต้องงดงามและยิ่งใหญ่มากแน่ๆ “

 

 

เพื่อไม่ให้ถูกลงโทษ อวิ๋นเยี่ยได้แต่ต้องแกล้งทำเป็นว่าเขาไม่เห็นร่องรอยของปากแผลที่หายเป็นปกติในภายหลัง

 

 

สองแม่ลูกผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ ดูเหมือนว่าหากไม่เป็นเช่นนี้จะไม่เพียงพอต่อการแสดงให้เห็นถึงอำนาจบารมีของราชวงศ์ ท่าทางหลี่ไท่ในตอนนี้ดูต่ำต้อยมาก ดูค่อนข้างคล้ายขันที ดูเหมือนลูกสุนัขที่ยืนพิงอยู่ข้างกายจั่งซุน ทันใดนั้นแววตาก็เปล่งประกายเจิดจรัส พูดกับมารดาของเขาว่า “เสด็จแม่ คำพูดของอวิ๋นโหวนั้นฟังดูไม่มีพลัง การต่อสู้ที่ดุเดือดสะเทือนเลือนลั่นเช่นนี้กลับอธิบายเพียงคำพูดประโยคเดียวเท่านั้น แล้วจะแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่เช่นนั้นออกมาได้อย่างไร ลูกตั้งใจจะหายอดนักปราชญ์สักท่านมาทำการจัดระเบียบการบรรยายของอวิ๋นโหวใหม่อีกครั้งและแกะสลักไว้ในอนุสาวรีย์หินวางไว้ข้างๆ โครงกระดูกมังกรนี้ เพื่อให้คนใต้หล้าเข้าใจว่ามังกรตัวนี้เก่งกล้าและอาจหาญเพียงไหน”

 

 

เมื่อจั่งซุนได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจมาก ลูบศีรษะหลี่ไท่ด้วยความรักและเอ็นดู หลี่ไท่ยังจงใจโน้มตัวเข้าใกล้มากขึ้นอีกหน่อยเพื่อให้ท่านแม่ลูบศีรษะได้ง่ายขึ้น จนอวิ๋นเยี่ยดูแล้วรู้สึกคลื่นไส้

 

 

“การที่มีความแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่ควรมีศัตรูตามธรรมชาติใดๆ อวิ๋นเยี่ย ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์เจ้าพูดไว้คืออะไร”

 

 

“อุกกาบาต แขกที่มาจากฟากฟ้า อาจารย์บอกว่าใต้หล้านี้ไม่ค่อยสงบสุข ทุกๆ หมื่นปีจะมีหินก้อนใหญ่ลอยมาจากฟากฟ้าและกระแทกกับพื้น เนื่องจากมีความเร็วสูงมาก ทุกครั้งที่กระแทกเข้ามาจะเปลี่ยนโลกของเรา ควันและฝุ่นจากการกระแทกนั้นจะกระจายไปทั่วทั้งท้องฟ้าจนมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ พืชบนพื้นดินจะล้มตายและตามด้วยสัตว์กินพืชที่ล้มตาย สิ่งมีชีวิตสุดท้ายก็คือไทรันโนซอรัสเหล่านี้ ผืนดินอันกว้างใหญ่จะถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งหนาๆ ตามที่อาจารย์กล่าวไว้ ช่วงเวลานี้เรียกว่ายุคธารน้ำแข็ง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะเข้าสู่สภาวะหลับไหล เมื่อรู้ว่าฝุ่นละอองบนท้องฟ้าหายไปเองจนหมดแล้ว ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ชีวิตใหม่จึงจะเกิดขึ้นบนโลกนี้”

 

 

“ช่างเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่อะไรเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ย ในวังหลวงมีเหล็กอุกกาบาตลอยลงมาเป็นเวลาเก้าวัน หยวนเทียนกังกล่าวว่ามันเป็นของขวัญจากสวรรค์ที่มอบให้ต้าถัง แต่เจ้ากลับบอกว่ามันเป็นต้นเหตุของความหายนะ เพราะเหตุใดกัน คำพูดของพวกเจ้าสองคนต้องมีคนใดคนหนึ่งผิด หรือว่าผิดทั้งสองคน”

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาคนตระกูลหลี่นี่ช่างน่ารังเกียจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่พูดคุยกับพวกเขา ไม่ว่าเรื่องอะไรจะต้องแบ่งถูกหรือผิดให้ได้ ความรู้เหล่านี้ในยุคปัจจุบันล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นตอนการสำรวจ เจ้าจะให้ข้าให้คำสรุปได้อย่างไร อวิ๋นเยี่ยบ่นพึมพำอยู่ในใจ แต่ไม่สามารถเอ่ยปากออกมาได้

 

 

“ฮองเฮา ขอให้ท่านทรงมองเป็นว่ากระหม่อมเล่านิทานให้ท่านฟังก็พอแล้ว ท่านอาจารย์หยวนรอบรู้เรื่องโหราศาสตร์ ฉายาฟันธงไม่ผิดพลาด มีหรือที่ขุนนางตัวเล็กๆ อย่างกระหม่อมจะกล้าไปวิพากษ์วิจารณ์สุ่มสี่สุ่มห้าได้ ทุกอย่างที่เขาพูดจะต้องเป็นจริงอย่างแน่นอน ขอท่านอย่าได้คลางแคลงใจอย่างเด็ดขาด”

 

 

ยกยอเหล่าหยวนให้สูงขึ้นอีกหน่อย อย่างไรเสียตระกูลหลี่ก็กำลังยกย่องเขา นักพรตที่สูงส่งนี่นะ จะไม่ให้มีเรื่องแปลกประหลาดสักหน่อยได้อย่างไรกัน หากเผลอไปเปิดโปงความอัศจรรย์ของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ คนแรกที่จะเอาเรื่องกับอวิ๋นเยี่ยต้องเป็นหลี่ซื่อหมินอย่างแน่นอน ถ้าหากด้วยความโกรธชั่ววูบของหลี่ซื่อหมินสั่งให้อวิ๋นเยี่ยไปเป็นนักพรตเข้าทรงลงเจ้าแทนหยวนเทียนกัง เมื่อคิดถึงสภาพหยวนเทียนกังที่ตอนนี้หน้าประตูมีรถม้ามาเยือนไม่หยุดหย่อน อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าหากให้ใช้ชีวิตเช่นนั้นแม้เพียงวันเดียว เขาคงต้องฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน

 

 

 “เจ้ามันเป็นคนไหลลื่น มองหาผลประโยชน์ไปทุกที่ กลัวปัญหาทุกอย่าง หากเจ้ามีความตั้งใจจะเป็นขุนนางให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย ประชาชนใต้หล้าก็จะมีวาสนาเพิ่มขึ้น”

 

 

หากยังเสแสร้งอยู่ต่อหน้าจั่งซุนอีก ไม่เพียงแต่จะผิดต่อตัวเอง แต่ยังผิดต่อจั่งซุนที่คอยถือหางตระกูลอวิ๋นในหลายๆ ด้านอีกด้วย

 

 

“ฮองเฮา กระหม่อมเป็นพวกไม่ได้ความ ไม่ค่อยใส่ใจกับการเป็นขุนนางเท่าไรนัก ข้าได้เป็นโหวเหยียธรรมดาๆ ชั่วชีวิตก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว มีหรือกล้าที่จะคาดหวังเรื่องอื่นอีก กระหม่อมดูแลสำนักศึกษาให้ดีและมีลูกอีกสองสามคน สืบทอดตระกูลอวิ๋นให้คงอยู่ตลอดไปก็เพียงพอแล้ว ในราชสำนักมีเหล่าขุนนางก็ดีแล้ว กระหม่อมขอไม่ไปข้องเกี่ยวดีกว่า”

 

 

“ก็จริงของเจ้า เจ้ามักมีความคิดแปลกๆ ที่คนอื่นคิดไม่ถึง สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ทุกครั้งที่เจ้าแก้ไขปัญหาเรื่องหนึ่งก็มักจะเปลี่ยนแนวปฏิบัติบางอย่างของราชสำนัก ตอนนี้พวกฝางเสวียนหลิงกำลังปวดหัวว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ข้าได้ยินว่าตรอกซิ่งฮว่าฟางนั้นถือว่าพังเละเทะแล้ว ชาวบ้านยังคงบ่นพูดไม่ยอมเลิกรา ไม่รู้ว่าจะปลอบโยนประชาชนอย่างไรดี เกรงว่าตอนนี้พวกเขาก็คงกำลังปวดหัวอยู่”

 

 

“มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าประชาวิจารณ์ เรื่องประชาวิจารณ์นั้นสามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยแนวคิดของผู้คน ท่านเพียงแค่สร้างกระแสเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นเรื่องใหม่ แน่นอนว่าจะไม่มีใครคิดเรื่องตระกูลโต้วอีกต่อไป หากท่านเลือกเรื่องได้ดี แม้แต่สุนัขก็จะไม่ไปที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางอีกเลย จากนั้นท่านค่อยกลับมาหากระหม่อมให้รับผิดชอบดูแลการสร้างอาคารขึ้นมาใหม่ ราชวงศ์ไม่ต้องเสียอะไรเลยแม้สักนิดก็ได้รับตรอกซิ่งฮว่าฟางที่สมบูรณ์แล้วขายอาคารเหล่านั้นออกไป บางทีมันอาจจะทำเงินได้มาก ท่านทรงเห็นเป็นอย่างไร”

 

 

วันแรกที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางถูกเผา เหล่าเหอก็กุลีกุจอมาหาอวิ๋นเยี่ยในวันถัดมา ประการแรกคือกังวลว่าอวิ๋นเยี่ยจะเกิดเรื่อง ประการที่สองเรื่องการฟื้นฟูตรอกซิ่งฮว่าฟาง ขณะที่อวิ๋นเยี่ยเป็นห่วงว่าไม่รู้ว่าจะสอดแทรกจากตรงไหนได้บ้าง ใครจะรู้เว่ยเจิงก็โผล่มาข่มขู่อวิ๋นเยี่ย จ่ายเงินหนึ่งหันห้าร้อยก้วนก็สามารถไล่ชาวบ้านที่ไม่ยอมย้ายออกจากพื้นที่ได้ทั้งหมด เหล่าเหอได้ให้เงินเพิ่มอีกจำนวนหนึ่งแก่ชาวบ้านเหล่านั้นเป็นการส่วนตัวและซื้อที่ดินมาอย่างเงียบๆ

 

 

อวิ๋นเยี่ยใช้ทองคำหนี่ง**บเพื่อติดสินบนหลี่ซื่อหมิน สิทธิในการก่อสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟางใหม่ทั้งหมดก็ตกไปอยู่ในมือของอวิ๋นเยี่ย กรมโยธากำลังเฉลิมฉลองกับการทิ้งภาระขนาดใหญ่และระเบิดออกไปได้ เพื่อเป็นการป้องกันตัวจากอวิ๋นเยี่ยยังได้ยัดเยียดเรื่องแม่น้ำรอบๆ ตรอกซิ่งฮว่าฟางให้อวิ๋นเยี่ยด้วย ถ้าอวิ๋นเยี่ยต้องการสิทธิในการสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟาง ก็จำเป็นจะต้องทำความสะอาดแม่น้ำบริเวณรอบๆ ด้วย หลายปีที่ผ่านมาไม่ได้ทำความสะอาดแม่น้ำเลย ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยดินเลนตกตะกอนในแม่น้ำจนเรือใหญ่ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้

 

 

เหอเซ่าไม่รู้ว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงรับปากอย่างมีความสุข ทั้งยังแสร้งทำเป็นรับดูแลแม่น้ำทั้งเส้นอย่างสะใจอีกด้วย โดยมีเงื่อนไขเพียงอย่างเดียวคือสร้างท่าเรือสิบแห่ง เมื่อถึงตอนนั้นวัสดุก่อสร้างจะได้เคลื่อนย้ายเข้ามาในเมืองได้อย่างง่ายดาย กรมโยธาได้ทำการศึกษาตลอดทั้งคืนและคำตัดสินสุดท้ายคืออวิ๋นเยี่ยต้องทำการชดใช้ เพื่อชื่อเสียงและชีวิตน้อยๆ ของเขาต้องยอมละทิ้งทรัพย์สิน

 

 

ในเวลานี้ไม่ลงมือสังหารตระกูลอวิ๋นให้เต็มทีแล้วจะรอถึงเมื่อไหร่จึงอนุมัติในชั่วข้ามคืน แม้แต่ขนาดของที่อยู่อาศัยก็ถูกกำหนด ซึ่งสามารถสูงกว่ามาตรฐานที่กรมโยธากำหนดได้แต่ห้ามต่ำกว่า

 

 

จากนั้นทุกคนก็ไปที่ร้านอาหารที่ตลาดตงซื่อเพื่อฉลองครั้งใหญ่กัน เตรียมสองมือสอดแขนเสื้อยืนรอดูสภาพที่น่าอนาถของอวิ๋นเยี่ย

 

 

สีหน้าของจั่งซุนค่อนข้างซีดเซียว จึงเลิกสนใจไทรันโนซอรัสตัวนั้นแล้ว นางอาศัยเพียงแค่ลางสังหรณ์ของผู้หญิงก็รู้ได้ว่ากรมโยธาจบสิ้นแล้ว คราวนี้เกรงว่าแม้แต่เหตุผลที่จะใช้รักษาหน้าตาก็หาออกมาไม่ได้

 

 

จึงเร่งอวิ๋นเยี่ยให้กลับไปที่บ้านและอ่านเอกสารของกรมโยธาอย่างละเอียดรอบคอบอยู่หลายครั้ง ตาลายจนจะกลายเป็นขดยากันยุงแล้ว ก็ยังคงดูไม่ออกว่าอวิ๋นเยี่ยคิดหาวิธีทำเงินจากเรื่องนี้ได้อย่างไร แต่ทว่าลางสังหรณ์เช่นนั้นนับวันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่ยๆ ดูเหมือนว่าคราวนี้อวิ๋นเยี่ยจะทำเงินได้มากมายอีกครั้ง

 

 

หลังจากตรึกตรองอยู่นาน จึงได้หยิบพู่กันแล้วเขียนเพิ่มข้อกำหนดลงไปบนเอกสาร พฤติกรรมที่ไม่ดีเช่นนี้ทำให้หลี่ไท่พานรู้สึกละอายเล็กน้อยจนไม่กล้ามองตาอวิ๋นเยี่ย

 

 

ตามหลักการแล้ว นั่นเป็นหนังสือสัญญาที่ทำระหว่างตระกูลอวิ๋นและกรมโยธา คนอื่นไม่ควรแก้ไขตามใจชอบ แต่คนอื่นในที่นี้ไม่ได้รวมถึงจั่งซุนไว้ด้วย

 

 

แม้ว่าตระกูลอวิ๋นจะไปฟ้องที่ต้าหลี่ซื่อ ก็คาดว่าสุดท้ายแล้วข้อกำหนดนี้ก็ยังคงจะต้องเพิ่มอยู่ดี จะไม่มีทางถูกลบอย่างเด็ดขาด การขาดทุนนี้ต้องก้มหน้ายอมรับอย่างเดียว

 

 

“เอ๋ ตำหนักในวังส่วนใหญ่ก็ชำรุดทรุดโทรม โดยเฉพาะตำหนักไท่จี๋ซึ่งอับชื้นและหม่นหมอง เจ้ามักจะบอกอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือว่าสิ่งนี้ไม่เป็นผลดีต่อข้า ทั้งยังมีโรคลมฝ่าบาทอีกด้วย ทำไมไม่ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้สร้างตำหนักใหม่ขึ้นอีกหนึ่งหลังเพื่อใช้ในการหารือราชการระหว่างฝ่าบาทและขุนนาง เจ้าคิดว่าอย่างไร” ในที่สุดจั่งซุนก็หยุดเขียนแล้วถามอวิ๋นเยี่ย

 

 

“ฮองเฮาทรงฉลาดปราดเปรื่องจริงๆ กระหม่อมไม่มีอะไรจะพูด สถานที่สำหรับปรึกษางานราชการยังคงเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจสูงสุดของต้าถังเรา มันจึงต้องโอ่อ่าหรูหรา สูงใหญ่และวิจิตรสวยงาม เรื่องวัสดุต้องไม่ใช้ของที่มีตำหนิใดๆ ในทางปฏิบัติจะต้องทำโดยไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ และไม่ควรออกแบบอย่างขอไปทีด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็จะต้องทำอย่างละเอียดประณีต อาคารจะต้องดูโอ่อ่าหรูหรามีระดับ นี่คือข้อกำหนดเบื้องต้น ฐานรากของอาคารต้องยกสูงจากพื้นอย่างน้อยเก้าจั้ง ตำหนักเก้าประตูจึงจะเหมาะแก่เกียรติของโอรสสวรรค์ ฮองเฮา ตอนนี้ท่านสามารถสั่งให้คนเอาตัวกระหม่อมไปประหารห้าม้าแยกร่างได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

จั่งซุนเองก็รู้สึกว่าเรียกร้องมากเกินไป จึงคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ขณะอยู่ในวังหลวงเราก็รวบรวมเงินไว้ได้ประมาณสามหมื่นก้วน ซึ่งสามารถจัดสรรให้กับเจ้าเพื่อนำมาสร้างตำหนักโดยเฉพาะ คนที่เจียงจั้วเจี้ยนก็ให้เจ้าเรียกใช้ได้ตามแต่ต้องการ เช่นนี้น่าจะไม่มีปัญหาแล้วกระมัง”

 

 

“เวลาเล่า ฮองเฮา ท่านคงไม่ใช่ว่าจะไม่มีกำหนดเวลากระมัง”

 

 

“สามปี เพียงสามปี นี่คือเวลาที่เราอะลุ่มอล่วยมากที่สุดที่เราให้เจ้าได้”

 

 

เมื่อมองดูที่นิ้วมือขาวๆ ทั้งสามนิ้วที่โบกไปมาอยู่เบื้องหน้าต่อ อวิ๋นเยี่ยจึงได้แต่รับปากอย่างขมขื่น

 

 

“ฮองเฮา เรื่องนี้ท่านไม่ต้องทรงปรึกษากับฝ่าบาทก่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ฝ่าบาทคือเจ้าแห่งแผ่นดิน แต่ละวันมีราชกิจสำคัญให้จัดการไม่หยุดหย่อน เราเป็นประมุขของวังหลัง เรื่องเล็กๆ เช่นการสร้างอาคารยังไม่จำเป็นต้องไปรบกวนฝ่าบาท” พูดตอบอย่างเด็ดขาดมาก สองสามีภรรยาคู่นี้ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก

 

 

ล้อรถที่ประทับของจั่งซุนกลิ้งขลุกๆ มุ่งหน้ากลับฉางอันแล้ว

 

 

รอให้จั่งซุนจากไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็พูดกับเหล่าจวงที่พันผ้าขาวไว้ทั้งตัวว่า “ส่งคนไปบอกเหล่าเหอ ไม่ต้องวิ่งเต้นเที่ยวหาเงินแล้ว ราชนิกุลตั้งใจจะจ่ายเงินก้อนแรกให้ เงินของพวกเราเก็บเอาไว้ใช้ทำอย่างอื่น การค้าในทุ่งหญ้านั้นห้ามหยุด โดยเฉพาะที่น่ารื่อมู่แถบนั้น หากพวกเราตัดเงินทุนจุนเจือ พวกนางจะต้องอดตายแน่”