เท้าของอวิ๋นเยี่ยเพิ่งจะเหยียบเข้าฉางอัน จดหมายของน่ารื่อมูก็มาถึงฉางอัน ตัวอักษรเป็นระเบียบงดงามไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่เป็นลายมือของฮ่วนเหนียง ในจดหมายบอกว่าน่ารื่อมู่ไม่แตะข้าวปลาอาหารเลยเพราะอวิ๋นเยี่ยจากมา ยืนมองแดนไกลจากที่สูงทุกวันและหวังว่าคนรักจะกลับมา นางนั้นผอมไปมาก ดูท่าทางแล้วจะมีชีวิตอยู่รอดเกินฤดูใบไม้ผลินี้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ ผู้ที่จะรักษาโรคคิดถึงได้ก็มีแต่อวิ๋นเยี่ย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอวิ๋นเยี่ยจะกลับมาที่ทุ่งหญ้าอีกครั้ง
คนโกหก! ด้วยความคึกคักอย่างมากของน่ารื่อมู่ เพิ่งจะถูกผูกไว้กับแผ่นกระดานไม้กำลังจะถูกใช้สิ่วคว้านกะโหลกศีรษะเพื่อทำแก้วเหล้า เพียงชั่วพริบตาก็รู้จักแต่อยู่ด้านหลังผลักอวิ๋นเยี่ยร่ำร้องอยากจะกิน ผู้หญิงเช่นนั้นมีหรือจะกินข้าวไม่ลงเพราะโรคคิดถึง
ท่านย่าอยากรู้อยากเห็นมาก นางเหล่มองอวิ๋นเยี่ยที่กำลังอ่านจดหมาย เห็นเขาประเดี๋ยวส่ายศีรษะยิ้มเจื่อนๆ ประเดี๋ยวมีสีหน้าตกใจ ทั้งยังเขกศีรษะตัวเองไม่ยอมหยุด ดูเหมือนจะเสียใจภายหลังกับคำพูดของตัวเองมาก จดหมายนั้นส่งมาจากกองทัพ แต่ท่านย่ารู้ดีว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการทหารเลย ตัวอักษรด้านบนไม่ใช่ลายมือของผู้ชายและซองจดหมายยังส่งกลิ่นหอมอ่อนของแป้งผัดหน้าด้วย ในกองทัพจะมีสิ่งแปลกประหลาดเหล่านี้ได้อย่างไร
ท่านย่าเดาว่าน่าจะเป็นจดหมายจากผู้หญิงคนหนึ่งส่งมา นางอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังตั้งครรภ์หรือไม่ สำหรับเรื่องที่ว่านางคือใคร มีฐานะอะไร ท่านย่าไม่ได้อยากสนใจเลย
“หลานรัก ถ้าผู้หญิงคนนั้นมีเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลอวิ๋นอยู่ เจ้าก็รับนางกลับมา ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ซินเย่ว์ก็จะไม่โกรธด้วย หากในบ้านใครกล้าปากเสีย ย่าจะถลกหนังคนคนนั้นเสีย”
ท่านย่าอยากจะอุ้มเหลนจนบ้าไปแล้ว ถ้าหากผู้หญิงที่ส่งจดหมายมามีเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลอวิ๋นจริงๆ ยกเว้นเรื่องที่ว่าจะให้เป็นภรรยาหลวงแล้ว เรื่องอื่นจะว่าอย่างไรก็ได้ขอเพียงได้อุ้มเหลน
อวิ๋นเยี่ยยิ้มเจื่อนๆ แล้วส่งจดหมายให้ท่านย่าและพูดว่า “ก็มีผู้หญิงเช่นนั้นจริงๆ เป็นชาวเผ่าทูเจวี๋ย หลานไม่ได้คาดหวังในตัวนางสักเท่าไร เพียงแต่คาดหวังกับชนเผ่าของนางเป็นอย่างมาก ตระกูลอวิ๋นนั้นต่างจากตระกูลอื่นๆ บ้านเรามีเพียงหลานที่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียว อยากจะให้แตกกิ่งก้านสาขาคงไม่ได้ จึงได้แต่ต้องลองเสี่ยงที่ผู้หญิงคนนี้เพื่อดูว่าเป็นไปได้ไหมที่จะหาที่อยู่สักแห่งสำหรับตระกูลอวิ๋นบนทุ่งหญ้า”
หลังจากอ่านจดหมายจบ ท่านย่าก็โยนจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วทุบโต๊ะดังปัง โกรธจนไม่มีที่ระบาย “ล้วนแล้วแต่เป็นพวกไม่เอาไหนทั้งนั้น ไม่มีแม้แต่การตั้งครรภ์แล้วยังกล้าเอ่ยปากมาขอเงินทุนจุนเจืออีกสมควรแล้วที่ต้องอดตาย”
ตอนนี้คงคุยด้วยเหตุผลต่อไปไม่ได้แล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่เคยแม้แต่สัมผัสน่ารื่อมู่ จะให้ตั้งครรภ์ได้อย่างไร หากตั้งครรภ์อวิ๋นเยี่ยจึงจะพิจารณาความสัมพันธ์กับน่ารื่อมู่ใหม่อีกครั้ง ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะกลับไปดูแลเรื่องที่ทุ่งหญ้าหรือไม่นั้น ก็ดูแค่ผลประโยชน์ว่าจะได้มากน้อยเพียงไหนเพียงเรื่องเดียวแล้ว จะไม่ได้ไปให้ความสำคัญอะไรของทุ่งหญ้าเพิ่มเติมเพราะเรื่องความสัมพันธ์อะไรเหล่านั้นอีกแน่
“หลานชาย ชาวเผ่าทูเจวี๋ยล้วนแล้วแต่เป็นพวกไร้น้ำใจไร้รัก ถ้าผู้หญิงคนนี้มีเชื้อสายของตระกูลอวิ๋น พวกเราให้การสนับสนุนนางก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว ตอนนี้ไม่มี เช่นนั้นก็ต้องว่ากันใหม่ ย่าไม่ยินดีที่จะลงทุนลงแรงช่วยคนอื่นเปล่าๆ โดยไม่ได้อะไรเลย”
“ท่านย่า นี่ไม่ใช่เพียงแค่การค้าของครอบครัว หลานยังต้องการใช้นางเพื่อค้นหาวิธีใหม่ในการควบคุมทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่แห่งนี้เพื่อถ้าตังเราอีกด้วย ตอนนี้ต้าถังเราเอาชนะชาวเผ่าทูเจวี๋ยได้แล้ว หากไม่สามารถหาวิธีการที่เหมาะสมมาควบคุมทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่นี้ได้ ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะกลายเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติอีกเช่นเคย ตระกูลอวิ๋นวางรากฐานการค้าเล็ก ๆ ในทุ่งหญ้าและค้นหาหนทางจึงจะเป็นเรื่องใหญ่ หากสูญเสียการควบคุมพวกนางไป หลานก็จะกำจัดพวกเขาให้สิ้นซากโดยไม่ให้เป็นปัญหาในอนาคต”
“หลานรัก ไปทำงานใหญ่ของเจ้าเถอะ ย่าไม่เข้าใจเรื่องในกองทัพ ขอเพียงเจ้ารู้สึกว่าเหมาะสมก็ทำไป ไม่มีตระกูลไหนที่ตั้งตัวขึ้นได้อย่างราบรื่นหรอก เหตุผลข้อนี้ย่ายังพอรู้อยู่ หากไม่ทุ่มเทอะไรไปก็ไม่มีเหตุผลที่จะได้รับอะไรมา ย่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปีกัน เพียงแค่อยากจะเห็นเจ้าปลอดภัยก่อนที่จะหลับตาลง ถ้าหากมีเหลนสักหลายๆ คน ต่อให้ย่าต้องตายตอนนี้ก็มีความสุขแล้ว”
“ต้องมีเหลนแน่นอน กลัวแต่ว่าท่านจะอุ้มไม่ทันเอา ถึงตอนนั้นท่านห้ามบ่นรำคาญนะ” อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าท่านย่าค่อนข้างเศร้าซึม จึงยืนข้างหลังนางแล้วกดนวดต้นคอเบาๆ ตอนนี้นางมักจะรู้สึกหนักศีรษะตัวลอยๆ ซึ่งนี่คือสาเหตุที่เกิดจากการครุ่นคิดอย่างหนักมากเกินไปในช่วงเวลานี้
เรื่องการแต่งงานกับซินเย่ว์นั้นท่านย่าได้กำหนดวันแล้ว โอกาสเหมาะคราวที่แล้วถูกอาจารย์อวี้ซันทำพังไป ท่านย่ายังคงฝังใจเรื่องนี้อยู่และคิดว่าชายชราเป็นดาวแห่งความอับโชค ระยะนี้จึงไม่ค่อยสนใจไปมาหาสู่อะไรกับเขานัก
หลายวันก่อนอาจารย์มาพูดคุยกับตระกูลอวิ๋นเรื่องที่จะนำผ้าปักมาแลกเปลี่ยนน้ำหอม เรื่องราวเรียบร้อยดี มีความสุขมาก เห็นแก่หน้าซินเย่ว์ ตระกูลอวิ๋นก็ไม่ได้สร้างความลำบากใจอะไรให้กับญาติตนเอง ให้ราคาที่ดีที่สุดและอำนวยความสะดวกอย่างที่สุด ถึงจะนำน้ำหอมไปก่อนแล้วค่อยส่งผ้าปักมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้
ท่านย่ามองซินเย่ว์แล้วยิ้มแย้มเบิกบาน เมื่อหันไปมองอาจารย์อวี้ซันก็โกรธจัด ทำให้เขาคิดไม่ตกว่าตัวเองไปล่วงเกินหญิงชราผู้นี้ให้ขุ่นเคืองได้อย่างไร ซินเย่ว์เอาแต่หน้าแดง ก้มหน้าไม่พูดอะไร อาหญิงเมื่อเดินออกมาก็หัวเราะจนแทบจะขาดอากาศหายใจแล้ว
เมื่อได้รับผลประโยชน์จากตระกูลอวิ๋นแล้วก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้าง ท่านย่าจึงขอให้อาจารย์หลี่กังไปแจ้งวันจัดพิธีสมรสแก่ฝ่ายหญิง ทั้งยังมอบของขวัญมากมายรวมถึงห่านป่าใหญ่อีกหนึ่งตัวด้วย เหล่าจวงลากสังขารบาดเจ็บของตนนำคนไปเฝ้าอยู่ริมแม่น้ำสองวันกว่าจะเหวี่ยงแหจับได้มาสิบกว่าตัว จากนั้นเลือกหนึ่งตัวที่แข็งแรงที่สุดและส่งมาให้ การทำงานของอาจารย์หลี่กังนั้นรวดเร็วฉับไว ไปตอนเช้าและกลับมาตอนเย็น ไปกลับยังใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อย บอกท่านย่าว่าวันที่สองเดือนสี่เป็นวันที่ดี เช่นนั้นก็ใช้วันนี้ก็แล้วกัน
อวิ๋นเยี่ยเคยเห็นหนิวเจี้ยนหู่ไปแจ้งฤกษ์ฝ่ายหญิง พิธีรีตองต่างๆ วุ่นวายมากมาย ใช้เวลาสองวันกว่าจะเสร็จสิ้น ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อถึงคราวของเขาจึงจัดการเสร็จอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาหนึ่งชั่วยามก็จัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย
อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเมื่อเหลาหลี่ไปถึงตระกูลซิน ก็เอาห่านป่าตัวใหญ่ยัดเยียดใส่ในมือของอวี้ซัน แล้วบอกให้เขาเตรียมแต่งหลานสาวของเขาในวันที่สองเดือนสี่ จากนั้นพวกเขาก็นั่งลงเพื่อดื่มน้ำชา ฝากงานเล็กๆ น้อยๆ จากนั้นก็ประสานมือกล่าวลา เพียงแต่คนแบกของขวัญของตระกูลอวิ๋นไปอยู่ที่ไหนแล้ว ไม่เห็นมีใครกลับมาสักคน ถูกโจรป่าปล้นหรือ
คำพูดเหล่านี้ไม่กล้าถามหลี่กัง ระยะนี้เขาไม่พอใจอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพฤติกรรมการสอนหนังสือที่ลุ่มๆ ดอนๆ ในสำนักศึกษาของเขาอย่างที่สุด สวี่จิ้งจงนั้นปรับตัวเข้ามามีบทบาทอย่างรวดเร็ว มีเพียงอวิ๋นเยี่ยที่กลับเมืองหลวงมาทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ที่สามารถโค่นล้มตระกูลโต้วได้มันก็แค่เหตุบังเอิญ หากไม่เป็นเพราะการจลาจลของชาวบ้าน ศีรษะของอวิ๋นเยี่ยก็คงได้แขวนอยู่ที่ประตูเมืองให้ชาวประชาได้ชื่นชม
“เจ้าหนุ่ม สำนักศึกษาต้องการความเสถียรภาพ อย่าสร้างพายุฝนฟ้าคะนองให้บ่อยนัก นี่ไม่ใช่สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ การอยู่อย่างสงบสุขรักใคร่ปรองดองจึงจะเป็นวิถีแห่งการเรียนรู้ คราวนี้ข้ารีบร้อนตัดสินใจการแต่งงานก็หวังว่าหลังจากแต่งงานแล้วเจ้าจะทำตัวสงบเสงี่ยมขึ้นบ้าง อย่าได้เข้าไปคลุกคลีกับข้อพิพาทในราชสำนักให้บ่อยนัก เพราะที่นั่นคือบ่อโคลนที่เลอะเทอะ ไม่มีถูกหรือผิด ท่ามกลางเสียงที่ถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เจ้าจะพบว่าอายุได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงเวลาที่เจ้าหันหลังกลับช่วงเวลาที่ดีที่สุดได้หายไปอย่างเงียบๆ แล้ว และมันก็สายเกินไปที่จะทำอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้ข้ามองย้อนกลับไปในอดีตเกี่ยวกับความโง่งมในการเข่นฆ่ากันในวงการราชการในสมัยวัยหนุ่ม รู้สึกเสียใจภายหลังเจ็บปวดเหลือคณา ข้าไม่อยากให้เจ้าเดินตามรอยเท้าข้า”
หากบอกว่าตอนนี้สำนักศึกษาคือรากฐานชีวิตของอวิ๋นเยี่ย เช่นนั้นสำหรับหลี่กังแล้วสำนักศึกษาก็คือทุกสิ่งสำหรับเขา อายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วจึงได้พบกับสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง อุดมคติและหยาดเหงื่อแรงใจของเขาได้ทุ่มเทลงไปจนหมดสิ้น หวังเพียงว่าจะได้เห็นดอกไม้ที่เบ่งบาน
“อาจารย์หลี่ ข้าเองก็ต้องการซ่อนตัวอยู่ในสำนักศึกษาไปตลอดชีวิต สั่งสอนและให้การศึกษาแก่ศิษย์ ยามว่างก็หาเรื่องสนทนาอย่างสนุกสนาน นั่งดูฟ้าคำรามที่น่าหวาดกลัว ชื่นชมการต่อสู้ของเหล่าผู้กล้า สัมผัสรสชาติหลังจากลิ้มชิมรสเหล้า เมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้ข้าเองก็อยากทำเช่นนั้นมาก แต่ฝ่าบาทไม่ทรงอนุญาต คราวก่อนเรื่องตระกูลโต้ว อาจารย์เองก็เป็นผู้มากด้วยน้ำใจ ข้ามีช่องว่างที่จะปฏิเสธด้วยหรือ”
เมื่อพูดจบ ก็หยิบสัญญาที่เขาทำขึ้นกับกรมโยธาออกมาให้หลี่กังดู
แรกเริ่มที่อ่านสีหน้าหลี่กังดูสงบนิ่ง คนในกรมโยธาเป็นคนประเภทไหนเขาย่อมรู้ดี เรื่องเช่นนี้ไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับอวิ๋นเยี่ย แต่เมื่อเขาเห็นข้อตกลงเพิ่มเติมที่ฮองเฮาเขียนลงไป จึงโกรธขึ้นในทันใด นี่เป็นสัญญาที่ไร้ความยุติธรรมให้กล่าวถึงเลยฉบับหนึ่ง ในใต้หล้านี้ไม่มีใครที่สามารถใช้เงินสามหมื่นก้วนเพื่อสร้างตำหนักขึ้นมาได้หรอก ไม่มีอย่างเด็ดขาด
“เจ้าไปล่วงเกินฮองเฮาเมื่อไหร่กัน”
“ไม่ได้ล่วงเกิน ในทางกลับกัน ฮองเฮามีแต่รักและเอ็นดูข้ามากกว่าเดิมมาโดยตลอด นางไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อข้าเลย ไม่เคยเลย ข้าคิดว่าต่อไปก็จะไม่มีด้วย ต้องบอกว่าบุคคลผู้ที่คู่ควรให้ข้าเคารพมากที่สุดในวังก็คือฮองเฮา”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมถึงมีเงื่อนไขนี้ในสัญญา”
“ข้าคงพูดได้แค่ว่าฮองเฮาทรงเข้าใจข้ามากจริงๆ กลัวว่าข้าจะกำไรมากเกินไปและถูกคนอื่นเกลียดแค้น หน้าตาของกรมโยธาคงดูไม่ได้ ถ้าหากข้าทำเงินจำนวนมากด้วยวิธีการที่เรียบง่าย ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างของกรมโยธานอกจากพร้อมใจกันยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง ท่านคิดว่าพวกเขามีทางเลือกที่สองที่จะเดินหรือไม่”
จนถึงตอนนี้อวิ๋นเยี่ยก็ยังคงประหลาดใจมาก ทำไมขุนนางกรมโยธาจึงคิดว่าจะไม่สามารถทำเงินในการสร้างอาคารหนึ่งหลังบนถนนที่คึกคักในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้านี้ได้ หากนักธุรกิจในยุคปัจจุบันรู้ว่ามีโอกาสเช่นนี้ จะต้องแย่งกันจนเลือดตกยางออกตั้งนานแล้ว ยังจะมีโอกาสที่จะให้อวิ๋นเยี่ยถูกคนอื่นดัดหลังได้อีกหรือ
“เจ้าหนุ่ม เจ้าคงไม่คิดว่าจะสามารถสร้างตำหนักหลักได้ด้วยเงินสามหมื่นก้วนจริงๆ หรอกนะ” หลี่กังได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้รู้สึกร้อนรนอะไร เพียงแต่เป็นห่วงเท่านั้น
“ไม้หนานมู่ที่ดีที่สุด เพียงแค่เสาคานอย่างน้อยก็ต้องมีแปดสิบเอ็ดต้น ทั้งยังต้องเป็นขนาดใหญ่ขนาดเท่าคนโอบด้วย ตรงกลางห้ามมีรอยต่อ ห้ามมีตำหนิ เพียงแค่ของสิ่งนี้ก็มีราคาหลักหมื่นก้วนแล้ว ยังไม่แน่ว่าจะหาต้นที่เหมาะสมจะใช้ได้ด้วย”
ไม้หนานมู่ขึ้นชื่อว่าเป็นไม้พันปีไม่ผุพัง สีของมันเป็นสีส้มเหลืองอ่อนค่อนไปทางสีเทา เนื้อไม้ลวดลายเป็นเส้นละเอียดดังไหมทอง คุณสมบัติเป็นไม้เนื้ออ่อนและชุ่มชื่น ไม่มีการหดตัว หากโดนฝนจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมา ซึ่งเป็นวัสดุที่ดีที่สุดในการใช้เป็นเสาคานตำหนักในพระราชวัง ไม้หนานมู่ที่คุณสมบัติที่ดีที่สุดคือไม้จินซือหนานมู่ ซึ่งเป็นไม้หนานมู่ที่แปลกประหลาด บางต้นมีลายสีทองด้านบนตามธรรมชาติ ซึ่งก็คือที่บอกว่าหาได้ยากมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนเท่านั้นเอง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งไปยังฉางอันนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นที่น่าตกใจ มันมีราคาหลักหมื่นก้วนอย่างที่ท่านบอกจริงๆ”
“แล้วเจ้ายังจะกล้ารับงานชิ้นนี้อีกหรือ เกรงว่าแม้ทุ่มเงินทั้งหมดที่เจ้าได้กำไรมาจากตรอกซิ่งฮว่าฟางก็ยังขาดอีกมากมาย” หลี่กังเริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง
“อาจารย์กังวลเกินไปแล้ว ไม้จินซือหนานมู่ที่แดนเสฉวนนั้นมีอยู่จำนวนมาก มากจริงๆ อย่าว่าแต่ต้องการร้อยกว่าต้นเลย หากอยากได้สักหนึ่งพันต้นก็ไม่ได้ยากอะไร ข้ายังคาดหวังว่าจะขนไม้จินซือหนานมู่ไปฉางอันให้มากขึ้นอีกสักหน่อยเพื่อไปค้นหาคนร่ำรวยเหล่านั้นแลกเปลี่ยนเป็นเงิน เอามาเป็นค่าใช้จ่ายในการสร้างตำหนักเพิ่มเติม”
“เจ้าหนุ่ม เจ้าบ้าไปแล้ว แม้ว่าเจ้าจะพบต้นหนานมู่หนึ่งพันต้น แล้วจะขนต้นไม้เหล่านั้นออกมาจากภูเขาได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าจะต้องบุกป่าปีนเขาและขนมันกลับมาจากสะพานไม้ทางเดินแคบๆ บริเวณหน้าผาจากแดนเสฉวน เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้องมีคนตายมากมายเท่าไร ข้ายินดีให้เจ้าไปขอพระราชทานอภัยโทษจากฮองเฮา ก็ไม่อนุญาตให้เจ้าทำเรื่องที่ชวนให้ฟ้าพิโรธชาวประชาโกรธเช่นนี้แน่”