ส่วนที่ 5 ตอนที่ 33 ต่อติดเป็นตับ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เมื่ออวิ๋นเยี่ยเห็นว่าชายชรานั้นเป็นกังวลจริงๆ ก็ไม่ได้ยั่วให้ชายชราโกรธอีกต่อไป หยิบแผนที่แผ่นหนึ่งออกมาจากชั้นวางหนังสือ ซึ่งแผนที่นี้อวิ๋นเยี่ยคัดลอกมาจากแผนที่แผ่นนั้นของเขาเองเพียงแต่แค่เปลี่ยนชื่อ เขาชี้ไปที่ทางน้ำสายหนึ่งแล้วพูดกับหลี่กังว่า “อาจารย์ ท่านดูนี่ ท่อนไม้จะลอยน้ำได้ นี่คือหลักการที่ทุกคนรู้แล้ว เหตุใดจึงไม่ใช้มัน ข้าตัดไม้จินซือหนานมู่บนภูเขาริมแม่น้ำฉางเจียง เอากิ่งเล็กๆ ออก จากนั้นตัดมันให้มีความยาวตามที่ต้องการใช้ แล้วจึงมัดรวมกันเป็นแพ โยนลงไปบนแม่น้ำฉางเจียง หาผู้ที่ว่ายน้ำเก่งมาถ่อแพให้ล่องลงไปตามกระแสน้ำของแม่น้ำเจียงซีไปยังหยางโจว เมื่อถึงหยางโจวข้าจะให้พวกเขาข้ามร่องน้ำหานโกว จากนั้นขนส่งไปตามลำน้ำให้ถึงเหอเป่ย เรือยังสามารถผ่านไปได้ แล้วทำไมแพขอบข้าจะผ่านไม่ได้ เมื่อถึงลั่วหยางเมืองหลวงที่อยู่ทางตะวันออก ท่านคิดว่าข้าจะขนไม้จินซือหนานมู่เหล่านั้นกลับไปที่ฉางอานไม่ได้อีกหรือ”

 

 

“เก็บไว้สักต้นเพื่อทำโลงศพดีๆ ให้ข้าด้วย อวี้ซัน หลีสือ หยวนจางแล้วก็ตาเฒ่ากงซูก็ดูแล้วน่าจะต้องใช้เช่นกัน จะให้ดีที่สุดคือเจ้าเตรียมโลงศพให้เรียบร้อยแล้วส่งมาให้ข้าเพื่อที่พวกเราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเอง ยังมีเรื่องการรับสมัครนักเรียนใหม่ของปีนี้ที่ต้องให้เจ้าไปจัดการด้วย ตอนนี้ไม่ขาดแคลนอาจารย์แล้วแต่นักเรียนมีแค่สามร้อยคนมันน้อยเกินไปจริงๆ นอกจากนี้ขณะที่เจ้าก่อสร้างตำหนักก็ให้นักเรียนบางส่วนได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย นี่จะเป็นการดีสำหรับพวกเขา เรื่องสำนักศึกษาเจ้าสามารถวางมือชั่วคราวได้ รีบหาเงินเข้ามาก่อน ส่วนข้าจะช่วยดูแลเรื่องสำนักศึกษาให้เอง ไม่เกิดปัญหาอะไรแน่นอน”

 

 

เหลาหลี่สาบานว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะมาหาอวิ๋นเยี่ยเพื่อพูดคุยเรื่องเงิน ทั้งยังรู้สึกเวทนาเหล่าพ่อค้าผู้ที่ทำงานหนักเพื่อนำไม้จินซือหนานมู่มาจากสะพานไม้เล็กๆ บนหน้าผาในแดนกวนจงกลับมาที่ฉางอัน ไม้จินซือหนานมู่กำลังจะมีราคาเช่นเดียวกับรำข้าวแล้ว หวังว่าจะมีคนไม่มากที่จะได้รับผลกระทบ

 

 

หลี่กังคิดมากเกินไปแล้ว ของดีที่อวิ๋นเยี่ยทุ่มเทขนกลับมามีอย่างที่ไหนที่เขาจะขายในราคาถูก ถ้าไม่ปั่นมูลค่าของสิ่งเหล่านี้ให้สูงที่สุด อวิ๋นเยี่ยจะสามารถสร้างตำหนักใหญ่ด้วยเงินสามหมื่นก้วนได้อย่างไร ตอนนี้ตำหนักหลินเต๋อยังไม่มีแม้แต่เงา ส่วนวังต้าหมิงกงนอกจากอวิ๋นเยี่ยแล้วคงไม่มีใครรู้ว่าคือสถานที่อะไร

 

 

ไม่จำเป็นต้องซ่อมแซมตำหนักหลินเต๋อให้หลี่ซื่อหมินจนหรูหราจนเกินไป ตำหนักที่แม้ไม่ต้องไปยุ่มย่ามมากก็ยังเป็นตำหนักอันดับหนึ่งในโลก รอเอาไว้ให้หลี่เฉิงเฉียนหรือหลี่จื้อไปสร้างก็แล้วกัน ทำให้หลี่ซื่อหมินดีใจในระดับกลางก็พอแล้ว สร้างอีกหนึ่งตำหนักตามแบบตำหนักไท่จี๋ก็แล้วกัน อย่างน้อยก็จะไม่เกิดข้อผิดพลาดแน่ ไป พลิกไปพลิกมาอ่านกฎระเบียบของหน่วยโครงสร้างของกรมโยธา ถูกกดข้อกำหนดรายละเอียดยิบย่อยที่ระบุออกมาเป็นข้อๆ ทำให้ตกใจอยู่ไม่น้อย อย่าตัดสินใจอะไรเองจะดีกว่า เขาทำมาอย่างไรก็ทำตามเขาไปเช่นนั้น หากเกิดความคิดของตนเองออกแนวหัวรุนแรงเกินไปจนท้ายที่สุดไปกระตุ้นให้เหล่าขุนนางทั้งวิจารณ์และถวายฎีกาคงไม่ดีแน่ เมื่อครู่อาจารย์หลี่ก็เพิ่งจะตักเตือนตัวเองว่าอย่าได้ทำอะไรออกนอกกรอบจนเกินไปไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นตนก็จะไม่ออกนอกกรอบ

 

 

ไม่รู้ว่ากรมโยธานั้นคิดจะทำอะไรจึงส่งหนังสือและเอกสารจำนวนมากเกี่ยวกับการก่อสร้างมาให้อวิ๋นเยี่ย ซึ่งทั้งหมดเป็นม้วนหนังสือที่ต้องใช้รถม้าลากมาถึงสามคันรถ เจ้าหน้าที่ของกรมโยธามารยาทเรียบร้อยแต่น้ำเสียงโอ้อวดนัก

 

 

“โหวเหยีย นี่เป็นรูปแบบการก่อสร้างอาคารและตำหนักต่างๆ ที่กรมโยธาเก็บรวบรวมไว้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แบบก่อสร้างของตำหนักไท่จี๋ที่ท่านต้องการอยู่ในนั้น ทั้งหมดมีหนึ่งพันสองร้อยสามสิบหกแบบก่อสร้างตั้งแต่ฐานของอาคารไปจนถึงหลังคาไม่มีขาดแม้แต่ใบเดียว โหวเหยีย ท่านดูว่ามีแบบก่อสร้างที่ขาดหายไปหรือไม่ หากขาดไปท่านสามารถบอกได้ตามสบาย ข้าน้อยจะกลับไปเตรียมให้ จะไม่ให้กระทบกระเทือนการสร้างตำหนักของท่านให้ล่าช้าอย่างแน่นอน”

 

 

ในตอนนี้เข้าใจความคิดของพวกเขาแล้ว ซึ่งก็คือไม่เปิดโอกาสให้อวิ๋นเยี่ยได้เสียใจภายหลังแล้วไปหาข้อผิดพลาดได้เลย ขอเพียงแค่พวกเขาสามารถทำได้ก็จะเตรียมให้อย่างพร้อมสรรพ หากอวิ๋นเยี่ยอยากจะหาข้อแก้ตัวว่าพวกเขาเป็นเหตุนั้นก็เป็นเพียงแค่ความฝัน

 

 

ก็นั่นน่ะสิ ตอนเช้าเพิ่งจะส่งผู้ดูแลที่บ้านไปที่กรมโยธาเพื่อขอยืมแบบก่อสร้าง ตอนบ่ายก็ส่งมาถึงสามคันรถ ให้ความร่วมมือดีมากจนน่าตกใจ สัญญานั้นฮองเฮาเป็นคนแก้ไข ไม่มีใครสามารถชี้ความผิดของกรมโยธาออกมาได้ เห็นแก่ความน่าสงสารของอวิ๋นเยี่ย กรมโยธาจึงไม่อยากเป็นตัวถ่วงให้เขา

 

 

เจ้าหน้าที่ของกรมโยธาก็ได้ไปเฉลิมฉลองครั้งใหญ่อีกครั้ง ได้ยินว่าคราวนี้ยังเรียกนางรำมาด้วย มาตรฐานก็เปลี่ยนจากร้านอาหารในเขตตงซื่อเป็นหอเอี้ยนไหลโหลว

 

 

เฉิงฉู่มั่วนำเงินเหรียญทองแดงห้าคันรถเต็มๆ มาส่งให้อวิ๋นเยี่ย เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ก็รีบขนเงินเหรียญทองแดงทั้งหมดที่มีในบ้านมาให้ทันที ได้ยินเขาพูดว่าแม้แต่เงินซื้อกับข้าวที่บ้านก็ไม่เหลือไว้เลยด้วยซ้ำ

 

 

“เสี่ยวเยี่ย ตอนนี้ที่บ้านมีเพียงเท่านี้ รออีกสักระยะข้าขายทรัพย์สินหลายๆ แห่งก่อนจะมีเพิ่มอีกบางส่วน ข้ารู้ว่าไม่พอ แต่ว่าถ้ามีเพิ่มอีกหน่อยก็จะดี”

 

 

อวิ๋นเยี่ยก้มหน้าก้มตาเขียนแบบก่อสร้างโดยไม่เงยหน้าขึ้น พูดกับเฉิงฉู่มั่วว่า “เงินเหล่านี้ถือว่าเจ้านำมาเข้าหุ้น เอาไปที่ฝ่ายบัญชีตรวจนับให้เรียบร้อยแล้วค่อยเอามาให้ข้า ภายหน้าจะได้คิดบัญชีได้ถูก นอกจากนี้ในเมื่อเจ้าก็มาแล้วก็อย่าอยู่เฉย ไปที่บ้านของจางเลี่ยงจ้างผู้ที่ว่ายน้ำเก่งมาให้ข้าจำนวนหนึ่ง ข้ามีเรื่องใหญ่จำเป็นต้องใช้ เงินเดือนไม่น่าเกลียด”

 

 

เฉิงฉู่มั่วกระโดดโหยงและตะโกนว่า “เสี่ยวเยี่ย เจ้าอย่าได้พูดเรื่องชดใช้เงินอะไรเด็ดขาด พวกเราเป็นพี่น้องกัน เงินนี้ข้าตัดสินใจจะมอบให้เอง ขอเพียงแค่เราผ่านพ้นด่านนี้ไปได้ มีหรือจะกลัวว่าภายหน้าจะไม่มีเงิน”

 

 

“เจ้าโวยวายอะไรของเจ้า ใครบอกว่าข้าจะคืนเงินครั้งนี้ให้ ข้าเคยบอกเจ้าหรือ ทำไมข้าจำไม่ได้”

 

 

“ตอนนี้ภายนอกเล่าลือกันมั่วไปหมดแล้ว บอกว่าคราวนี้ตระกูลอวิ๋นจบเห่อย่างแน่นอน จะต้องล้มละลายแน่ ฮองเฮานั้นรังแกกันมากเกินไป ตำหนักที่ต้องสร้างด้วยเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นก้วนแต่กลับให้เจ้าเพียงสามหมื่นก้วนเท่านั้น แล้วเจ้ายังต้องลอกแม่น้ำ สร้างตรอกซิ่งฮว่าฟางขึ้นใหม่อีก หากมีไม่ถึงสองแสนก้วนก็เลิกคิดได้เลย เจ้าจะไปเอามาจากไหนอีกหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นก้วน”

 

 

เห็นท่าทางเฉิงฉู่มั่วที่เดินถูมือวนเวียนไปมารอบๆ จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็หัวเราะขึ้น มีเพื่อนเช่นนี้สักคนหนึ่งตนเองยังมีอะไรให้โอดครวญกันอีก ตระกูลเฉิงบางทีอาจจะพอมีเงินอยู่บ้าง โดยส่วนใหญ่เป็นอสังหาริมทรัพย์และบ้าน เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็มอบเงินออกมาได้แปดพันก้วน นี่คงเป็นกำลังที่มากที่สุดของตระกูลเฉิงแล้วจริงๆ

 

 

“แน่นอนว่าต้องช่วยเพื่อน แต่ก็ไม่ควรนำออกมาจนหมดบ้านในครั้งเดียว ข้ารับไว้ห้าพันก้วนถือเป็นเงินทุนร่วมหุ้น ที่เหลืออีกสามพันก้วนเจ้านำกลับไป ที่บ้านไม่ต้องใช้ชีวิตกันต่อแล้วหรือ การใช้ชีวิตของคนในตระกูลใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย หากถึงตอนนั้นจวนกั๋วกงไม่มีแม้แต่เงินรางวัลที่จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชา จะไม่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะตายหรือ”

 

 

เฉิงฉู่มั่วยังไม่ทันกลับ หนิวเจี้ยนหู่ก็ลากเงินสามคันรถมายังตระกูลอวิ๋น บ้านเขาไม่ได้ร่ำรวยอะไรมีเพียงห้าพันก้วน มาถึงก็ทิ้งเงินไว้แล้วก็เตรียมจะกลับ แต่ถูกอวิ๋นเยี่ยเรียกไว้

 

 

“พี่เจี้ยนหู เจ้าเห็นว่าข้ากำลังจะรวยแล้ว จึงได้ทุ่มเต็มที่ในการมามีส่วนร่วมหรือ ทำไมจู่ๆ ก็เริ่มหัวใสกันจังเลยเล่า” อวิ๋นเยี่ยพูดล้อเล่นกับหนิวเจี้ยนหู่

 

 

เสี่ยวหนิวนั้นอารมณ์ไม่ดีเลย คว้าแล้วก็ยกอวิ๋นเยี่ยขึ้นเขย่าแล้วพูดกับเขาว่า “นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้ายังคงแก้นิสัยเสียฝีปากกล้าและเหน็บคนเก่งไม่ได้อีกหรือ คราวนี้ข้าจะดูว่าเจ้าจะสามารถสร้างตำหนักด้วยเงินอันน้อยนิดนี้ได้อย่างไร”

 

 

อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันได้อ้าปาก เหอเซ่าก็วิ่งร้องไห้ตลอดทางเข้ามาในบ้านตระกูลอวิ๋น เมื่อเจอหลายๆ ท่านนี้ยามของตระกูลอวิ๋นจะไม่เข้าขวางเลย เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยถูกหนิวเจี้ยนหู่กระชากคอเสื้อลอยอยู่กลางอากาศ ก็พุ่งเข้าไปกอดขาอวิ๋นเยี่ยแล้วร้องคร่ำครวญ “ท่านปู่ข้า เจ้าช่วยเพลาๆ หน่อยได้หรือไม่ พวกเราเพียงแค่ตกลงกันว่าจะสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟางขึ้นใหม่ไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้าถึงจะสร้างตำหนักด้วย เจ้าจะให้ลูกเด็กเล็กแดงในครอบครัวข้าอยู่รอดได้อย่างไร”

 

 

เจ้างี่เง่านี่ไม่เพียงแต่เช็ดน้ำตาและน้ำมูกของเขาบนเสื้อของอวิ๋นเยี่ยเท่านั้น แต่ยังอ้าปากกัดขาอวิ๋นเยี่ยไปหลายครั้งด้วย

 

 

เมื่อเห็นเหล่าเหอร้องไห้อย่างน่าสงสาร หนิวเจี้ยนหู่ก็มีอาการน้ำตาซึมเช่นกัน เฉิงฉู่มั่วนั้นกำลังเช็ดน้ำตาอยู่

 

 

“หุบปากให้หมด เหล่าเหอ ถ้าเจ้ายังไม่เอาปากเจ้าออกไป ตอนจ่ายเงินปันผลเจ้าจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วย”

 

 

เมื่อเหล่าเหอได้ยินเรื่องการจ่ายเงินปันผลก็ได้สติกลับมาในทันใด กระโดดขึ้นมาจ้องมองอวิ๋นเยี่ยตาปริบๆ สีหน้านี้กินเวลาเพียงชั่วครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็กลับสู่สภาพร้องไห้คร่ำครวญดังเดิม

 

 

“ฮองเฮานั้นโหดเ**้ยมเกินไป การสร้างตำหนักหลักนั้นต้องการอย่างน้อยหนึ่งแสนก้วน ราคานี้ยังรวมค่าอิฐและก้อนหินเพราะตระกูลอวิ๋นสามารถแก้ไขเรื่องเหล่านี้ได้ ถ้านับรวมทั้งหมดแล้วได้ไม่ถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นก้วนก็เลิกคิดเสียเถอะ”

 

 

นี่คือความแตกต่างระหว่างพ่อค้าและคุณชายจอมเสเพล ใบเสนอราคานั้นถูกว่าของเฉิงฉู่มั่วถึงห้าหมื่นก้วนเต็มๆ ต้องให้ทั้งสามคนกินยาสงบจิตใจ มิฉะนั้นทุกคนต่างก็มีแต่ความคิดที่จะจบสิ้นเพียงอย่างเดียว ยังจะปล่อยให้เขาได้ทำงานให้เรียบร้อยอีกหรือ

 

 

“ไปที่ห้องกันเถอะ ข้าจะให้พวกเจ้าดูอะไรบางอย่าง น่าขายหน้า ชายร่างใหญ่เอาแต่เกาะขากางเกง ข้าไม่ได้สงสารน้ำตาของเจ้า แต่ข้าสงสารเสื้อผ้าข้า มีแต่น้ำมูกน้ำตาเต็มไปหมดจะให้ใส่ได้อย่างไร“ จากนั้นเตะเหล่าเหอไปหนึ่งที เจ้างี่เง่าคนนี้มีความกล้าหาญน้อยลงเรื่อยๆ นี่คงจะเป็นปัญหาทั่วไปสำหรับคนรวย

 

 

อวิ๋นเยี่ยให้เหล่าจวงเฝ้าอยู่หน้าห้องหนังสือไม่ให้ใครเข้ามา

 

 

แล้วนำแบบก่อสร้างที่วาดในหลายวันนี้ให้ทั้งสามคนดูหมดทุกใบ

 

 

“เสี่ยวเยี่ย นี่คือตรอกซิ่งฮว่าฟางหรือ ตำหนักเซียนกงก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร มีต้นไม้สีเขียว กำแพงสีแดงศาลาพักร้อนและหออาคาร แล้วก็มีสวน เพียงแต่สวนนั้นใหญ่เกินไปส่วนตัวบ้านก็เล็กเกินไปหน่อยหรือเปล่า” เหล่าเหอสูดน้ำมูกพลางถามอวิ๋นเยี่ย

 

 

“บ้านทุกหลังมีสามชั้น นี่คือภาพสำรวจย่อๆ ซึ่งเป็นภาพที่มองจากบนลงล่าง ในความเป็นจริงบ้านนั้นไม่เล็กเลย มันเป็นแค่การใช้ประโยชน์สูงสุดจากที่ดินที่จำกัดจึงทำการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย นำบ้านที่กระจายออกไปในแนวราบเปลี่ยนเป็นรูปทรงกระบอก เจ้าดูนี่ ชั้นแรกเป็นห้องรับแขก ชั้นสองเป็นห้องหนังสือและห้องพักและชั้นที่สามเป็นบ้านด้านใน มันเข้าใจยากตรงไหน”

 

 

 “เสี่ยวเยี่ย บ้านนี้พวกเราต้องขายอย่างน้อยหลังละสองพันก้วนจึงจะได้ แล้วก็ต้องสั่งอุปกรณ์ตกแต่งบ้านจากพวกเรา” เพียงพริบตาเดียวเหล่าเหอก็ก้าวเข้าสู่บทบาทของพ่อค้า เขารู้ราคาต้นทุนของบ้านหลังนี้ หากขายสองพันก้วนจะต้องมีคนจำนวนมากมาซื้ออย่างแน่นอน

 

 

“มีบ้านเช่นนี้อยู่ห้าสิบหลังและเงินทุนที่จะหมุนเวียนคืนมาให้เราจะมากถึงหนึ่งแสนก้วน หากตัดค่าใช้จ่ายในการสร้างสวนส่วนกลาง พื้นที่สีเขียว ศาลาพักร้อนและหออาคารจะได้กำไรหกหมื่นก้วน นี่เป็นเพียงการประมาณการเบื้องต้น ซึ่งยังไม่นับรวมผลกำไรอื่นๆ เช่น ค่าอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ที่อยู่อาศัยประเภทนี้เหมาะสมที่สุดสำหรับเจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ ในเมืองหลวงจะซื้ออยู่กัน ข้าเคยถามแล้ว เจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ เหล่านั้นยังเป็นตระกูลที่มีฐานะมีชื่อเสียงในท้องถิ่นเช่นกัน มิฉะนั้นคงไม่ได้รับการแนะนำให้รับราชการ ดังนั้นบ้านประเภทนี้ไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออก”

 

 

“แต่ถึงแม้ว่าพวกเราจะทำทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อยแล้วก็ได้กำไรเพียงหนึ่งแสนก้วน ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มการสร้างตำหนักในวัง” แม้ว่าเหอเซ่าจะพูดเช่นนี้ แต่ใบหน้าเกิดรอยยิ้มขึ้นแล้ว เมื่อรวมกับเงินสามหมื่นก้วนที่ฮองเฮาประทานให้ก็จะขาดอีกเพียงสองหมื่นก้วนเท่านั้น ก็เป็นแรงกดดันไม่มากเท่าไรแล้ว คราวนี้เพียงแค่อ้างชื่อการสร้างตำหนักให้ราชวงศ์ แม้จะไม่ได้กำไรเลยก็ยังได้ผลประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล

 

 

“อันที่จริงเรื่องตรอกซิ่งฮว่าฟางเป็นเพียงเงินเล็กน้อยเท่านั้น ความเป็นจริงรายได้ที่ใหญ่ที่สุดมาจากการสร้างตำหนักเองนั่นล่ะ” เมื่ออวิ๋นเยี่ยเห็นชายสามคนเริ่มผ่อนคลายลง จึงเทชาดื่มไปหนึ่งถ้วย

 

 

“สร้างตำหนักให้เปล่าๆ ยังจะมีข้อดีอะไรกัน” หนิวเจี้ยนหู่แทบจะกระโดดขึ้นมาถามอวิ๋นเยี่ย

 

 

“เจ้าปล่อยให้เสี่ยวเยี่ยพูด อย่าเพิ่งร้อนรนขัดจังหวะ เจ้าว่าใช่ไหม เสี่ยวเยี่ย” เหอเซ่าต่อว่าหนิวเจี้ยนหู่พลางช่วยอวิ๋นเยี่ยจัดคอปกเสื้อที่ถูกหนิวเจี้ยนหู่กระชากจนเบี้ยวอย่างระมัดระวัง สำหรับเฉิงฉู่มั่ว เมื่อตอนที่อวิ๋นเยี่ยคำนวณออกมาว่าเหลือส่วนต่างเพียงสองหมื่นก้วนนั้นเขาก็ไม่ใส่ใจอีกต่อไป เงินสองหมื่นก้วนตระกูลอวิ๋นและตระกูลเฉิงสามารถหามารวมกันได้อย่างง่ายดาย

 

 

ในเมื่อสามารถรวบรวมออกมาได้ ก็หมายความว่าเรื่องนี้ไม่ได้ร้ายแรงสักเท่าไรแล้ว ส่วนที่เหลือก็มอบให้อวิ๋นเยี่ยจัดการก็พอ ตนเองช่วยเขาทำงานในส่วนที่ตัวเองทำได้ให้เสร็จและกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวแต่งงานจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ