ส่วนที่ 5 ตอนที่ 34 สายลมอันสดชื่นระลอกใหม่

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

หลังจากรอให้ทั้งสามคนสงบลงแล้ว อวิ๋นเยี่ยวางถ้วยชาในมือลง หยิบม้วนกระดาษม้วนหนึ่งออกมาจากข้างหลังแล้วพูดกับพวกเขา “พวกเจ้าดู เพื่อรักษาการคานอำนาจกันในพระราชวังให้คงอยู่ต่อ ตำหนักนี้จึงสามารถสร้างไว้ข้างๆ สระไท่เยี่ยฉือเท่านั้น แน่นอนว่าทิวทัศน์ที่นี่นั้นสวยงามที่สุด แต่สถานที่นั้นไม่กว้างพอ จำเป็นจะต้องขยายพื้นที่ออกไปด้านนอก ผลของการขยายออกไปก็คือตำหนักนี้จะไปเชื่อมต่อกับตำหนักหานหยวนและกลายเป็นกลุ่มตำหนักหลวง เช่นนี้แล้วภาพรวมของพระราชวังจะยิ่งดูใหญ่โตวิจิตรการตายิ่งขึ้นไปอีกอย่างมาก ข้าคิดว่าพระราชวังจะงดงามมากเพียงไรในยามอาทิตย์อัสดง”

 

 

“แต่ยิ่งงดงามมากเท่าไรพวกเราก็ยิ่งเสียเงินมากขึ้นเท่านั้น” ตอนนี้เหอเซ่ากลัวที่จะได้ยินคำพูดเช่นความใหญ่โตงดงาม เขาแทบอยากจะสร้างพระราชวังเช่นเดียวกับเล้าหมูเพื่อให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป

 

 

“ฮองเฮาเพียงแค่สั่งให้ข้าสร้างตำหนัก แต่ไม่ได้บอกให้ข้าจัดการเรื่องของตกแต่งภายใน พวกเรารับราชโองการเพื่อซื้อวัสดุก่อสร้างทุกชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือไม้จินซือหนานมู่และหินอ่อนสีขาว ทั้งยังมีของจิปาถะอื่นๆ ด้วย เรื่องไม้จินซือหนานมู่และหยกหินอ่อนสีขาว ให้ข้าเป็นคนจัดการเอง วัสดุอื่นๆ ให้เหล่าเหอจัดการ เจ้าดูให้ละเอียดพวกเราจะสั่งซื้อเฉพาะของที่จำเป็นสำหรับการก่อสร้างและสั่งซื้อจากต่างถิ่น ในครั้งนี้ไม่ใช่การจ่ายเงินจากทางราชสำนัก เมื่อร้านค้าต่างถิ่นเห็นว่ามีหนทางในการทำกำไรก็จะเปิดประตูอ้าแขนต้อนรับอำนวยความสะดวกสบายแน่นอน เงินสามหมื่นก้วนที่ฮองเฮาก็เพื่อนำมาใช้ในการนี้

 

 

หากเราไม่ได้นำเงินสำหรับการสั่งซื้อวัสดุไปจ่ายให้ร้านค้าท้องถิ่นแต่จ่ายให้ท้องพระคลังแทน ซึ่งก็หมายความว่าร้านค้าท้องถิ่นไม่ต้องนำส่งเงินภาษีส่งมาที่ฉางอัน เพียงแค่ส่งสินค้ามาก็พอแล้ว และผู้ใช้แรงงานเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำงานเปล่าแต่มีค่าแรง ดังนั้นจะไม่มีเรื่องกดขี่ข่มเหงประชาชน ข้าคิดว่าร้านในท้องถิ่นต้องชอบวิธีการนี้แน่นอน”

 

 

“ไม่เพียงแต่ชอบเท่านั้น ยังจะรู้สึกซาบซึ้งในความดีของโหวเหยียด้วย” ประตูถูกเปิดออก หลี่จิ้งเดินเข้ามาด้านหลังตามมาด้วยเหล่าจวงที่สีหน้ารู้สึกผิด ดูจากสีหน้าความเจ็บปวดของเขาแล้วก็รู้ได้ว่าต้องถูกหลี่จิ้งควบคุมไว้ไม่ให้ออกเสียง

 

 

จึงยิ้มให้เหล่าจวงส่งสัญญาณว่าไม่เป็นไร ให้เขาถอยออกไปก่อน

 

 

หลี่จิ้งนั่งบนเก้าอี้ของอวิ๋นเยี่ย เทชาดื่มเองแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “พูดต่อไป คุยเรื่องแผนการของเจ้าต่อไป ข้าตั้งใจจะลงทุนในบ้านเจ้าเสียหน่อย เมื่อครู่อยู่ด้านนอกประตูได้ยินไม่ค่อยชัด เจ้าลองว่ามาอย่างละเอียดที”

 

 

“ความหมายของข้าก็คือการให้ร้านค้าท้องถิ่นส่งมอบของมาที่นี่ เงินจะจ่ายจากฉางอัน จากนั้นพวกเราจะหักจำนวนหนึ่งส่งไปที่ท้องพระคลังซึ่งถือเป็นส่วนของภาษีที่พวกเขาต้องชำระ เช่นนี้แล้วเราก็ประหยัดเวลาการขนไปขนกลับหนึ่งรอบ พวกเราก็จะสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้สองส่วน ซึ่งก็หมายความว่าในเบื้องต้นเมื่อรวมกับรายได้จากตรอกซิ่งฮว่าฟางแล้วพวกเราสามารถทำให้รายรับและรายจ่ายเสมอตัวแล้ว อย่างมากที่สุดพวกเราก็เพียงแค่เหนื่อยขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น แต่เหล่าเหอในระหว่างการติดต่อนี้ เจ้าจะได้คบค้ากับเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นต่างๆ ภายหน้าหากเจ้าต้องการสินค้าบางประเภท เพียงแค่ส่งจดหมายถึงพวกเขาก็พอแล้ว ด้วยวิธีนี้เจ้าจะประหยัดต้นทุนได้มากกว่าคนอื่นอย่างถาวรซึ่งอย่างน้อยก็สองส่วน พ่อค้าในเมืองฉางอันยังจะมีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้อีก”

 

 

ใบหน้าอันอ้วนกลมของเหล่าเหอเริ่มส่องประกายเปล่งปลั่ง เหงื่อยังคงไหลหยดย้อยไม่ยอมหยุด ปรบมือเต็มแรงด้วยความตื่นเต้นดีใจ ทั้งยังยกนิ้วสองนิ้วชี้จนจะตรงเป็นไม้บรรทัดแล้ว

 

 

“นี่ก็หมายความว่าเงินทุนของข้าจะไม่ได้รับผลกำไรอะไรใช่ไหม” หลี่จิ้งไม่พอใจอย่างมากกับการลงทุนโดยสูญเปล่าของตัวเอง เพราะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย

 

 

“ท่านลุงหลี่ ข้าจะให้ท่านลงทุนโดยเสียเปล่าได้อย่างไรกัน การสร้างตำหนักใช้ไม้จินซือหนานมู่เพียงแปดสิบเอ็ดต้น แต่ข้าตั้งใจจะสั่งซื้อหนึ่งพันต้นจากแดนเสฉวน ผูกพวกมันเป็นแพไม้ลำเลียงมาทางน้ำจนถึงลั่วหยาง ท่านเห็นว่าอย่างไร”

 

 

หลี่จิ้งไม่ใช่หลี่กัง เส้นทางน้ำใต้หล้านี้ล้วนอยู่ในความทรงจำของเขา เพียงแค่ฉุกคิดเล็กน้อยก็เข้าใจได้ กองไม้ใหญ่ลำเลียงไปตามแม่น้ำฉางเจียงไหลลงมายังหยางโจว จากนั้นล่องไปตามทางน้ำจนถึงลั่วหยาง เป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”

 

 

“เจ้าหนุ่ม การค้าของเจ้าหากนำจางเลี่ยงหัวหน้าหน่วยนาวิกโยธินมาร่วมด้วยก็จะสมบูรณ์ไร้ข้อบกพร่องแน่นอน อย่าบอกคนอื่นว่าข้าก็ร่วมหุ้นด้วยห้าพันก้วน ใบหน้าเ**่ยวๆ นี้จะให้เสียหน้าไม่ได้” พูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป

 

 

หลังจากส่งหลี่จิ้งกลับไปแล้ว พวกเฉิงฉู่มั่วก็อำลากลับบ้าน เรื่องเหล่านี้ต้องอธิบายให้คนสำคัญในบ้านฟังให้ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด อวิ๋นเยี่ยมองไปที่เหรียญทองแดงในลานบ้านแล้วรู้สึกกลัดกลุ้ม ท่านย่ายืนอยู่ห่างๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนนำเงินส่งมาที่บ้านเต็มไปหมด หรือจะบอกว่าหลายชายจะมีการค้าครั้งใหญ่อีกแล้ว

 

 

มีบางอย่างที่อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอย่างชัดเจน นั่นก็คือท่าเทียบเรือทั้งสิบที่ตั้งใจขอเป็นพิเศษ ในแดนกวนจงแต่โบราณมาก็มีคำพูดที่ว่าฉางอันมีแม่น้ำล้อมรอบแปดสาย แม่น้ำแปดสายที่ว่าก็คือ แม่น้ำเว่ย จิ้ง เฟิง เล่า อวี้ เฮ่า ฉั่น ป้า ทั้งแปดสายนี้ไหลผ่านทั้งสี่ด้านของเมืองซีอันและถือเป็นแม่น้ำสายย่อยของแม่น้ำหวงเหอ

 

 

 

 

ตั้งแต่ที่ซือหม่าเซี่ยงหรูเขียนไว้ในบทกวีประเภทฉือฟู่ ‘ซั่งหลินฟู่’ ที่โด่งดังว่า “ไหลรินแยกเป็นแม่น้ำแปดสาย แตกกระจายไหลไปเขตต่างๆ” ซึ่งได้บรรยายความงดงามของสวนซั่งหลินในสมัยราชวงศ์ฮั่น ต่อมาจึงได้เกิดการบรรยายว่า “สายน้ำแปดสายรายล้อมฉางอัน” ขึ้น

 

 

ในบรรดาสายน้ำทั้งแปดนั้น มีเพียงแม่น้ำเว่ยที่ไหลไปบรรจบแม่น้ำหวงเหอ อีกเจ็ดสายจะไหลมาบรรจบที่แม่น้ำเว่ย ที่อวิ๋นเยี่ยให้ความสนใจก็คือแม่น้ำสายใหญ่เหล่านี้ พวกมันเกือบจะเชื่อมโยงถึงกันทุกทิศทาง แม้ว่าเรือใหญ่จะไม่สามารถผ่านได้ แต่ด้วยเรือที่ทำจากไม้ในยุคนี้ ขอเพียงแค่เป็นเรือเล็กที่ประกอบจากไม้ไม่ถึงหนึ่งร้อยชิ้นก็สามารถแล่นผ่านได้โดยไม่มีปัญหา

 

 

ไม่รู้ว่าทำไมขุนนางเมืองฉางอันจึงเห็นน่านน้ำเหล่านี้เป็นเพียงต้นกำเนิดแหล่งน้ำ ถึงขั้นเรียกได้ว่ามองข้ามศักยภาพในการขนส่งทางน้ำของแม่น้ำเหล่านี้ ทุกครั้งที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองฉางอันมองดูกองคารวานอูฐและรถเทียมวัวที่หลั่งไหลอย่างคับคั่งแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะวิ่งไปถามเจ้าหน้าที่เมืองฉางอันว่าในหัวของพวกเขาบรรจุอะไรเอาไว้ ต้องรอจนถึงรัชสมัยของจักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียนจึงค่อยให้ความสำคัญกับศักยภาพการขนส่งทางน้ำของแม่น้ำเหล่านี้อย่างจริงจัง

 

 

ทั่วทั้งเมืองฉางอันไม่มีท่าเรือสักแห่ง มองดูน้ำทะเลสีฟ้าใสไหลผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ในเมืองฉางอันทุกวัน อวิ๋นเยี่ยก็จินตนาการถึงใบเรือที่ขวักไขว่ราวกับป่าทึบในสมัยของอู่เจ๋อเทียน

 

 

ช่างเถอะ ในเมื่อไม่มีใครชอบการใช้ช่องทางน้ำ อย่างนั้นก็ให้ฉันเป็นคนเริ่มก็แล้วกัน สำนักศึกษาต้องการแหล่งเงินทุนถาวรเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขั้นพื้นฐานอย่างเร่งด่วน สวรรค์ประทานให้แล้ว หากไม่รับไว้ รังแต่จะต้องรับทุกข์เพราะสิ่งนี้

 

 

ต้องการเพียงแค่สร้างท่าเรืออย่างง่ายไม่กี่แห่งและสร้างคลังสินค้าบางแห่งก็สามารถเสพสุขไปกับเงินปันผลที่มาจากการขนส่งทางน้ำด้วยเงินทุนอันน้อยนิดได้อย่างถาวร เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ไม่มีใครคิดได้เลยหรือ ซีเป่ยเป็นดินแดนแห้งแล้ง ขี่ม้าเป็นมากกว่าการนั่งเรือ เมื่อความคิดถูกกำหนดไปแล้วจะไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้เลยหรือ

 

 

หัวหน้าองครักษ์นำเงินมาห้าพันก้วนมาที่ตระกูลอวิ๋นโดยบอกว่ารัชทายาทให้ส่งมา ขอให้อวิ๋นเยี่ยรับเอาไปเพื่อสร้างตำหนักให้เสด็จพ่อของเขา ตนเองนั้นเป็นลูกชายไม่มีเหตุผลให้นิ่งดูดายจริงๆ

 

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเงินนี้ไม่ต้องชำระคืนซึ่งพูดได้ชัดเจนมาก แต่อวิ๋นเยี่ยพูดกับหัวหน้าองครักษ์ว่า “รบกวนพี่ชายท่านนี้กลับไปทูลรัชทายาทว่าเห็นแก่ที่เขาเป็นผียากไร้ ข้าจะยอมรับเงินห้าพันก้วนของเขาไว้เป็นเงินทุนร่วมหุ้น สองปีให้หลังหลังจากคำนวณรายได้แล้ว อวิ๋นเยี่ยจะไม่ปล่อยให้เงินห้าพันก้วนของเขาต้องหายไปอย่างสูญเปล่าแน่”

 

 

ดวงตาขององครักษ์นั้นเบิกกว้างมาก รูจมูกหุบเข้าหุบออกไม่ยอมหยุด ดูเหมือนไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับอวิ๋นเยี่ยด้วยท่าทีเช่นใด สุดท้ายก็ประสานมือและรีบจากไป เขากลัวจริงๆ ว่าเขาจะไม่สามารถอดกลั้นได้จนใช้กำปั้นของเขาทิ้งเครื่องหมายไว้บนใบหน้าของอวิ๋นเยี่ย

 

 

เคยเจอพวกไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี แต่ไม่เคยเจอใครที่เป็นเช่นอวิ๋นเยี่ยมาก่อนเลย ความหวังดีของรัชทายาทถูกนำไปเลี้ยงสุนัขหมดแล้ว เขารู้สึกแทนรัชทายาทว่าไม่คู่ควรเลยจริงๆ ม้าเร็วส่งเขากลับถึงวังหลังอย่างรวดเร็ว หลี่เฉิงเฉียนกำลังเล่นว่าวกับน้องสาวอยู่ในอุทยาน ว่าวที่ทำจากผ้าไหมปลิวพลิ้วอยู่บนท้องฟ้า หลานหลิงร้องเสียงดังขึ้น ออกแรงไล่พี่ชายให้วิ่งให้เร็วกว่านี้อีกหน่อยเพื่อให้ว่าวสามารถลอยสูงขึ้นไปอีก

 

 

เมื่อเห็นองครักษ์กลับมา หลี่เฉิงเฉียนส่งว่าวไปไว้ในมือของหลานหลิงแล้วหยิบผ้าที่ขันทีส่งให้มาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก น้องสาวของเขานั้นมีจำนวนมากจริงๆ น้องสาวแต่ละคนต้องการให้พี่ชายช่วยปล่อยว่าวของพวกนางให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยบอกว่าเป็นการเตรียมการสำหรับวันที่สามเดือนสาม เขารู้สึกว่าตัวเองวิ่งมาหนึ่งวันแล้ว เพียงแต่เมื่อคิดว่าอวิ๋นเยี่ยก็มีน้องสาวแปดคน ในใจก็รู้สึกเสมอภาคขึ้นในทันที คนเราก็เป็นเช่นนี้ ไม่กังวลว่ามีทรัพย์น้อย แต่กังวลว่าจะแบ่งทรัพย์ไม่เท่ากัน ขอเพียงแค่มีคนที่สภาพย่ำแย่กว่าตัวเองในใจก็จะรู้สึกดีขึ้นมาก

 

 

 “เป็นอย่างไรบ้าง อวิ๋นเยี่ยคงต้องซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากแน่ ร้องไห้หรือไม่” หลี่เฉิงเฉียนเคยถูกมิตรภาพที่ไม่เห็นแก่ตัวทำให้ซาบซึ้งมาหลายครั้งแล้ว เมื่อเขาคิดว่าหากอวิ๋นเยี่ยเห็นเงินหลายคันรถ จะต้องซาบซึ้งใจจนร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล ทำให้คิดถึงที่คราวก่อนตนเองกล่าวขอบคุณต่อผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งที่สร้างผลงานเพียงคำเดียว ชายร่างกำยำคนนั้นก็ร้องไห้เหมือนเด็กทารกที่อยู่ในเดือน อวิ๋นเยี่ยได้รับความช่วยเหลืออันมากมายของตนเอง น่าจะต้องมีอะไรตื่นเต้นกว่านี้กระมัง!

 

 

หลังจากรอเป็นเวลานานก็ไม่ได้ยินคำตอบจากองครักษ์ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นสีหน้าองครักษ์เหมือนคนมีอาการท้องผูก ใบหน้าย่นจนดูไม่ได้

 

 

เพียงแค่เห็นก็รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยต้องไม่ได้ตอบอะไรที่ดีแน่ เพียงแต่องครักษ์คนนี้เป็นคนสนิทของเขาไม่ต้องกังวลมากนักจึงถามขึ้นตรงๆ ว่า “เจ้างี่เง่านั่นพูดอะไร บอกเรามาให้หมด”

 

 

องครักษ์กัดฟันแล้วคุกเข่าลงพูดกับหลี่เฉิงเฉียนว่า “อวิ๋นเยี่ยไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เขาบอกว่าเห็นแก่ที่รัชทายาทเป็นผียากไร้ เขาจะยอมรับเงินทุนร่วมหุ้นของท่านไว้ ทั้งยังบอกว่าอีกสองปีให้หลังท่านค่อยไปรับเงินปันผล”

 

 

“โอหังถึงเพียงนี้เชียว เดิมคิดว่าเขาถูกเสด็จแม่บีบหอคอยจนแทบหายใจไม่ได้แล้ว ไม่น่าเล่นลวดลายอะไรได้อีก คิดไม่ถึงว่าเขาจะตอบเช่นนี้ รู้ว่าผิดพลาดแล้วยังไม่คิดจะแก้ไขหรือ

 

 

ไม่ถูก ผู้ชายคนนี้ไม่เคยทำอะไรที่ไม่มีความมั่นใจ กล้าเช่นนี้แสดงว่าจะต้องมีไพ่อะไรอยู่ในมือแน่ เขาอยู่ในทางตันแล้วยังจะทำอะไรได้อีก”

 

 

คนที่คิดเช่นนี้ไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียว หลี่ซื่อหมินก็กำลังถามจั่งซุน “กวนอินปี้ โจทย์ข้อนี้เจ้าตั้งขึ้นมาได้เจ้าเล่ห์มาก หรือเจ้าหนุ่มนั่นจะเสกหินให้เป็นทองคำได้”

 

 

“เอ้อร์หลาง หม่อมฉันรู้สึกว่าเรื่องนั้นมันไม่ง่ายเช่นนี้ หม่อมฉันมักจะรู้สึกว่าขณะที่เขาสัญญาว่าจะสร้างตำหนักนั้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน ราวกับว่าเขามีวิธีแก้เงื่อนตายข้อนี้ได้จริงๆ ตอนนั้นหม่อมฉันก็เพียงแค่อยากทำให้เขาอึดอัดใจเสียหน่อย ทำให้เขาล้มเลิกการสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟางไปเอง ไม่ใช่เพราะโลภอยากได้เงินจำนวนนั้นของเขา หม่อมฉันยังรู้สึกอีกว่ากรมโยธาจะต้องตกหลุมพรางครั้งใหญ่ของเขา เพื่อรักษาหน้าตาของราชสำนัก หม่อมฉันจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ดีถ้าใครคนหนึ่งจะโดดเด่นจนเกินไป หม่อมฉันกังวลว่าอวิ๋นเยี่ยจะได้รับอันตราย”

 

 

หลี่ซื่อหมินพูดกับจั่งซุนด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ว่า “สถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นภายใต้การปกครองของกษัตริย์ผู้ชาญฉลาด ยิ่งเป็นผู้ที่มีความสามารถมากยิ่งสมควรต้องนำมาใช้งานจึงจะถูก เพียงแต่ว่าใต้หล้านี้ก็ยังคงไม่อนุญาตให้ผู้ที่เฉลียวฉลาดเกินคนสามารถดำรงอยู่ได้”

 

 

สองสามีภรรยานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง

 

 

หลี่ซื่อหมินมองดูฮองเฮาที่ขมวดคิ้วไม่เลิกแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้น “กวนอินปี้ เจ้าไม่ต้องกังวลไม่ว่าเรื่องนี้จะดีหรือไม่ดี ก็เป็นเรื่องดีที่ประเทศได้รับประโยชน์ ผู้คนได้ผลกำไร สำหรับปัญหาหน้าตาของเจ้าหน้าที่กรมโยธานั้นเจ้าไม่ต้องใส่ใจ หรือจะบอกว่าใต้หล้านี้จะไม่อนุญาตให้มีใครที่ฉลาดกว่าพวกเขาอยู่อีกแล้ว ขอเพียงเป็นผลดีต่อต้าถัง เราไม่สนใจเรื่องหน้าตา ไปเจรจากับข่านเจี๋ยลี่ที่สะพานบนแม่น้ำเว่ยเหอ พวกขุนนางกรมโยธายังจะรักษาหน้าอะไรกันอีก เราหวังว่าอวิ๋นเยี่ยจะชนะและหวังว่าเขาจะพัดพาสายลมอันสดชื่นระลอกใหม่มายังตำหนักที่หงอยเหงาเศร้าสร้อยแห่งนี้”