ภายในห้องเงียบลงไปทันที
ชิงไต้คุกเข่าลงขอรับผิด “ต้าไหน่ไหน่ ขอท่านโปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ!”
เจินเมี่ยวจึงมีสติคืนมา นางเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าถือไม่ดีเอง ลุกขึ้นเถิด แล้วเก็บเศษถ้วยด้วยเดี๋ยวคนจะเหยียบเอา”
“เจ้าค่ะ” ชิงไต้ก้มลงยื่นมือไปเก็บเศษกระเบื้อง
ไป๋เสาที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงจึงเดินเข้ามาเงียบๆ แล้วก้มลงเก็บเศษกระเบื้องช่วยชิงไต้
มือที่กำอยู่ของนางหลี่ถูกคลายออกอีกครา ฝ่ามือเปียกชื้นไปหมด ในใจรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
หรือเมี่ยวเอ๋อร์จะเป็นคนมีวาสนาเหลือล้นจริงๆ ถึงได้รอดพ้นเคราะห์ครานี้ไปได้
“นี่คืออันใดกัน” ไป๋เสาที่คุกเข่าเก็บเศษกระเบื้องอยู่ตลอดพลันส่งเสียงขึ้น
คนทั้งหลายที่กลับมาพูดคุยกันอย่างรื่นเริงเช่นเดิมต่างหันไปมองนาง ภายในห้องตกสู่ความเงียบสงัดอีกครา
ทุกคนมองไป๋เสาที่มือยังคงถือเศษกระเบื้องอยู่ แต่ท่าทีของนางดูงุนงงสงสัยยิ่ง
“ไป๋เสามีอันใดหรือ” เจินเมี่ยวถาม
ไป๋เสาใช้เล็บเขี่ยอันใดบางอย่างขึ้นมา แล้วพึมพำว่า “แปลกจริง เม็ดเล็กๆ นี่คืออันใดกัน”
“ไป๋เสา?”
ไป๋เสาดุจตื่นขึ้นมาจากฝัน นางเดินเข้าไปใกล้เจินเมี่ยวแล้วเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวพบสิ่งนี้ในถ้วยยา บ่าวคิดว่ามันออกจะแปลกอยู่สักหน่อยเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ คนทั้งหลายก็หันไปมองจึงเห็นว่าบนเล็บนางมีก้อนกลมๆ เม็ดเล็กๆ สองสามเม็ดติดอยู่ ดูท่าคงละลายไปแล้วจึงเล็กพอๆ กับเม็ดงา
นางหลี่หน้าซีดไปทันที เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจ นางจึงใช้เล็บยาวหยิกที่ฝ่ามือตนอย่างแรงจึงสามารถเรียกสติกลับมาได้
นางต้องไม่แสดงพิรุธ ไม่มีใครรู้ว่านางทำ อีกอย่างผู้ใดจะรู้ว่าเม็ดเล็กๆ เท่างานั้นคืออันใด!
ดั่งคาด เจินเมี่ยวมองคราหนึ่งก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “คงเป็นตะกอนของยากระมัง”
นางเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้ว แต่เพราะอยู่ต่อหน้าย่าและมารดาจึงไม่อยากให้พวกเขาเป็นกังวล รอให้คนไปหมดแล้วค่อยตรวจสอบอีกทีคงดีกว่า
นางหลี่ลอบถอนหายใจโล่งอก
“ต้าไหน่ไหน่ ยาที่เคี่ยวให้ท่าน บ่าวกับชิงไต้ ชิงเกอลงมือทำด้วยตนเองทุกขั้นตอน แต่มิเคยเห็นสิ่งนี้เลย ดูเหมือนว่ามันจะปนเปื้อนเข้ามามากกว่าเจ้าค่ะ”
ชิงไต้พลันคุกเข่าลงอีกครา “ต้าไหน่ไหน่ ยาในวันนี้บ่าวเป็นคนเคี่ยวเอง บ่าวมิได้ออกห่างจากมันเลยตั้งแต่เคี่ยวยาจนกระทั่งยกมาให้ท่านเจ้าค่ะ ไม่มีทางที่จะมีสิ่งใดปนเปื้อนลงไปได้แน่”
คนในห้องต่างมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป
มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในยาที่ใช้บำรุงร่างกายเจินเมี่ยว หากมันเป็นสิ่งดีต่างหากจึงเป็นเรื่องแปลก
นางเวินโกรธจนมือสั่น “เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าควรจะต้องจัดการเรือนเจ้าสักหน่อยแล้ว อย่าปล่อยให้คนที่คิดจะฉวยโอกาสตอนเจ้าคลอดบุตรทำเรื่องวุ่นวาย!”
เจินเหยียนก็มีสีหน้าปั้นยากเช่นกัน แต่ในใจกลับเริ่มสงสัยขึ้นมา
หากว่าตามเหตุผลแล้ว ตอนนี้น้องเขยไม่มีสาวใช้ทงฝังสักคน ฮูหยินผู้เฒ่าก็เมตตาน้องสี่ยิ่ง สาวใช้สองคนนี้ก็ไม่มีทางทำผิดแน่ แล้วผู้ใดคิดจำร้ายน้องสี่กันแน่
หรือมีสาวใช้คนใดคิดจะปีนป่ายขึ้นมาบนเตียงนาง
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางจึงหันไปชำเลืองมองไป๋เสาและชิงไต้ด้วยสายตาอันแหลมคม
เวลานี้เองฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วจึงเอ่ยขึ้นว่า “เอามาให้ข้าดูที”
ไป๋เสามองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง
“ท่านย่า…”
“เมี่ยวเอ๋อร์เจ้าไม่ต้องพูด เอามาให้ย่าดูก่อนเถิด”
เจินเมี่ยวจึงพยักหน้าให้ไป๋เสา
ไป๋เสาเอาจึงถือส่วนก้นถ้วยไปให้ฮูหยินผู้เฒ่า
“ท่านย่า ระวังบาดมือเจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวเอ่ยเตือน
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้ม แล้วใช้เล็บเขี่ยเม็ดเล็กๆ นั้นขึ้นมาพินิจอย่างละเอียด
นางหลี่หวาดหวั่นใจขึ้นมา
คนทั้งหลายต่างกลั้นหายใจมองฮูหยินผู้เฒ่า
ท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่ากลับเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย แล้วก้มลงชิมทันที
คนทั้งหลายต่างตกใจยกใจ “ฮูหยินผู้เฒ่า อย่า…”
ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือไปมา “มิเป็นไร”
นางชิมเม็ดเล็กๆ ที่ดูคุ้นตานั้นแล้วสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปปอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านย่า ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” เจินเหยียนอดถามมิได้
ฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง แม้แต่ริมฝีปากก็สั่นเล็กน้อย นางหันไปถามเจินเมี่ยวว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ หมอหลวงยังอยู่ในจวนหรือไม่”
เจินเมี่ยวอึ้งงันไปแล้วพยักหน้าตอบว่า “อยู่เจ้าค่ะ”
วันนี้มีงานเลี้ยงฉลอง คนที่มามีมากหลาย เด็กน้อยทั้งสองยังไม่ครบหนึ่งเดือนด้วยซ้ำจึงต้องเชิญหมอหลวงมาที่นี่เพื่อป้องกันไว้ก่อน
“สิ่งที่อยู่ในถ้วยยานี้ ข้าพอจะทราบแล้วว่าคือสิ่งใด แต่ให้หมอหลวงมายืนยันหน่อยจะดีกว่า”
“ท่านย่า…”
“เมี่ยวเอ๋อร์ เรื่องวันนี้ร้ายแรงยิ่ง ย่าอยู่ที่นี่แล้วอย่างไรก็ต้องช่วยเจ้าสืบให้กระจ่างแจ้ง! เช่นนี้เถิด นอกจากท่านหมอแล้วก็เชิญฮูหยินผู้เฒ่าจวนกั๋วกงมาด้วยเถิด”
สิ่งนี้มันคือยาสำราญอุรา หากเมื่อครู่เมี่ยวเอ๋อร์ดื่มเข้าไปคงไม่เหลือแม้แต่ชีวิต เวลานี้นางยังจะสนหน้าตาอันใดอีก ในเมื่อมีคนในจวนกั๋วกงคิดจะทำร้ายหลานสาวของนาง นางต้องลากตัวมันออกมาให้ได้ เพื่อต่อไปจะไม่เป็นภัยกับเมี่ยวเอ๋อร์อีก!
นางหลี่ได้ยินว่าจะเรียกหมอหลวงมา นางก็เริ่มกลัวเสียแล้วจึงหายใจเข้าลึกๆ แล้วปลอบใจตนเองอย่างสุดกำลังว่าไม่เป็นอันใด
ต่อให้ตรวจทราบว่ามันคือสิ่งใดแล้วอย่างไร จะสืบเสาะเช่นใดก็ไม่มีทางสาวมาถึงตัวนางแน่ นางมิจำเป็นต้องกลัว!
แม้จะคิดเช่นนี้ แต่นางหลี่ก็อดลูบคลำห่อกระดาษที่ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อตนมิได้
แต่นางกลับไม่รู้ว่าชิงไต้ที่เอาแต่ก้มหน้าอยู่นั้นลอบมองนางอยู่ ทั้งยังยกมุมปากขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ที่เรือนด้านหน้า บรรดาบุรุษต่างก็ยังดื่มสุรายังมิแยกย้ายกลับ
หลัวเทียนเฉิงถูกมอมสุราไปนับไม่ถ้วย แม้แก้มทั้งสองจะแดงก่ำเล็กน้อย แต่แววตายังกระจ่างใสอยู่เช่นเดิม
เซียวอู๋ซังเข้ามายกสุราให้เขาอีกแล้ว เขารับไว้ ทั้งสองยกจอกสุราชนกันแล้วเงยหน้าขึ้นดื่ม
“แม่ทัพหลัว ดูท่าวันนี้ท่านคงจะดีใจมากถึงไม่ปฏิเสธผู้ใดเลย”
หลัวเทียนเฉิงชำเลืองมองเซียวอู๋ซังคราหนึ่งแล้วยิ้ม “เซียวอู๋ซัง หากไม่รู้จักพูดก็อย่าพูดจะดีกว่า ผู้ไม่ปฏิเสธใครเลยคือท่านต่างหาก”
เซียวอู๋ซังอึ้งไป ตามด้วยเสียงหัวเราะอันดัง “แม่ทัพหลัวเข้าใจข้าที่สุดเลย ข้าเป็นคนที่ไม่ปฏิเสธใครเลยจริงๆ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจยิ่ง แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่แม่ทัพหลัวคงมิได้สัมผัสกับการซ้ายโอบขวากอดว่าเป็นความรู้สึกเช่นใด”
องค์ชายหกถลึงตาให้เซียวอู๋ซังคราหนึ่ง “อู๋ซัง แม่ทัพหลัวยังมิทันเมา เหตุใดเจ้ากลับเมาก่อนแล้ว พูดจาเหลวไหลอันใดกัน”
ไม่ทราบเหตุใดเมื่อได้ยินเซียวอู๋ซังยั่วยุให้หลัวเทียนเฉิงทำเรื่องไม่ดี เขากลับรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก
หลัวเทียนเฉิงกลับไม่คิดอันใด เขายกกาหยกสีขาวขึ้นพลางเลิกคิ้วหัวเราะ “เซียวอู๋ซัง ท่านพูดผิดแล้ว สามวันก่อนข้าก็ได้สัมผัสกับการซ้ายโอบขวากอดนั้นแล้ว”
เซียวอู๋ซังเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “หา จยาหมิงเซี่ยนจู่จัดหาสาวใช้ทงฝังให้ท่านแล้วหรือ”
เขาส่ายหน้าติดกัน “จยาหมิงเซี่ยนจู่มีหรือจะใจกว้างเช่นนั้น”
องค์ชายหกหน้าดำคล้ำไปทันที ในใจก็กล่าวว่าเจ้าหนุ่มนี่คงว่างเกินไปแล้วกระมัง
หลัวเทียนเฉิงยิ้มตาหยีพลางเอ่ยว่า “เป็นเพราะจยาหมิงแท้ๆ ตอนนี้ข้าถึงได้ซ้ายอุ้มบุตรชายคนหนึ่ง ขวาอุ้มบุตรชายอีกคน เช่นนี้มิใช่ซ้ายโอบขวากอดหรอกหรือ”
เซียวอู๋ซังอึ้งไป ตามด้วยท่าทีโกรธเคือง “แม่ทัพหลัว มิจำเป็นต้องโอ้อวดเพียงนี้กระมัง!”
องค์ชายหกก็มิเบิกบานใจไปด้วยเช่นกัน ในใจก็คิดว่า โอ้อวดอันใด มีบุตรชายสองคนพร้อมกันนั้นเก่งกาจนักหรือไร
หลัวเทียนเฉิงไม่รู้ว่าองค์ชายหกคิดอันใดในใจ เขาเพียงนิ่งตั้งใจฟังเสียงบางอย่าง
“มีอันใด ได้ยินเสียงใดหรือ”
“ชู่ ละครเริ่มแล้ว” เขาพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เซียวอู๋ซังมึนงงเล็กน้อยจึงยกมือขึ้นป้องหูตั้งใจฟัง แล้วก็ได้ยินเสียงกลองแว่วมาจากด้านหลังดั่งคาด
เวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงกำลังดูละครอยู่กับฮูหยินทั้งหลาย
บนเวทีมีตัวละครผู้หนึ่งกำลังร้องรำอยู่ กำลังจะถึงช่วงสำคัญพอดี
หงฝูเดินเข้ามาจากด้านข้างแล้วกระซิบที่ข้างหูฮูหยินผู้เฒ่าสองสามประโยค
ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยแล้วลุกขึ้น
คนที่อยู่บริเวณรอบข้างต่างหันมามอง นางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกท่านเชิญชมไปก่อน ข้าออกไปสักครู่ก็กลับมาแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่ารีบกลับไปที่เรือนชิงเฟิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อไปถึงหน้าประตูก็พบกับหมอหลวงที่ถูกเชิญมาพอดี
ฮูหยินผู้เฒ่าหวั่นใจขึ้นมาจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินยิ่งขึ้น เมื่อเข้าไปในหลังแล้วเห็นสีหน้าเจินเมี่ยวยังคงดีอยู่จึงโล่งอกลงได้
เศษถ้วยกระเบื้องที่แตกอยู่บนพื้นไม่เหลือแล้ว เพราะถูกทำความสะอาดไปเรียบร้อยดั่งไม่เคยมีอันใดเกิดขึ้นมาก่อน
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วทักทายกับฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงแล้วเอ่ยว่า “ท่านหมอรบกวนท่านช่วยตรวจดูหน่อยเถิดว่านี่คือสิ่งใด”
ไป๋เสาเอาเม็ดเล็กๆ เหล่านั้นที่เก็บไว้มาให้ท่านหมอดู
เม็ดเล็กๆ บนผ้าเช็ดหน้าสีขาวยังคงเปียกอยู่เล็กน้อย สีของมันออกดำแกมเขียว
หมอหลวงที่เชิญมาย่อมมีโอกาสเข้าวังอยู่บ่อยๆ และในวังนั้นนอกจากโอรสสวรรค์เพียงพระองค์เดียวแล้ว ผู้มีบรรดาศักดิ์ทั้งหลายต่างเป็นสตรีทั้งสิ้น เพราะเหตุนี้หมอหลวงที่เข้าวังอยู่บ่อยครั้งทุกคนล้วนเชี่ยวชาญในโรคสตรี รวมถึงหมอหลวงผู้นี้ด้วย
เขาเห็นเม็ดเล็กเหล่านั้นแล้วก็รู้สึกคุ้นตาอยู่เล็กน้อย จึงหยิบขึ้นมาดม แล้วใส่ปากชิมรส สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ท่านหมอทราบหรือไม่ว่ามันคือสิ่งใด” ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วเอ่ยถาม
การกระทำอันผิดเพี้ยนในเรือนหลังเช่นนี้หมอหลวงเห็นมานักต่อนักแล้ว จึงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงนิ่งสงบว่า “ยาสำราญอุรา”
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงไม่รู้ว่ามันคือยาอันใดจึงหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋ว
“ขอบคุณท่านหมอยิ่งแล้ว” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วเอ่ยเช่นนี้ สาวใช้ผู้หนึ่งจึงมาเชิญท่านหมอกลับ
กระทั่งหมอหลวงไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงจึงอดถามขึ้นมามิได้ว่า “เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วจึงลุกขึ้น “พี่สาว ขอท่านอภัยที่ข้ากระทำการโดยพลการ เมื่อครู่สาวใช้ยกถ้วยยามาให้เมี่ยวเอ๋อร์แล้วเผลอทำตกแตกจึงพบสิ่งนี้ ข้าดูแล้วเห็นว่ามันคล้ายยาสำราญอุรายิ่งจึงให้ท่านหมอมาที่นี่และมันก็เป็นอย่างที่ข้าคิด ขอพี่สาวช่วยทวงความเป็นธรรมให้เมี่ยวเอ๋อร์ด้วยเถิด”
“ยาสำราญอุรามีอันใดหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงยังมิทันเข้าใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วจึงพลันนึกได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงตามเจิ้นกั๋วกงออกไปรบตั้งแต่ยังเป็นสาวน้อย เกรงว่าคงไม่รู้จักสิ่งของที่สตรีในเมืองหลวงนิยมใช้กันเท่าใด นางจึงพูดออกมาตามตรงว่า “ยาสำราญอุรานี้เคยเป็นยาต้องห้ามมาก่อน เดิมใช้เพื่อลดความเจ็บปวดเมื่อระดูมา แต่กลับส่งผลร้ายอันใหญ่หลวงกับสตรีที่เพิ่งคลอด หากกินเข้าไปอาจทำให้ตกเลือดจนตายได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงถึงกับหน้าเปลี่ยนสีไปทันที
“ฮูหยินผู้เฒ่า เมี่ยวเอ๋อร์เป็นคนซื่อๆ ไม่ใคร่เข้าใจกลลวงต่างๆ เหล่านี้นัก ในเมื่อวันนี้ข้าผู้เป็นมารดาก็อยู่ที่นี่แล้ว ข้ายอมเป็นคนหน้าหนาขอร้องท่านให้ช่วยหาตัวคนทำผิดให้ได้ด้วยเจ้าค่ะ” นางเวินเอ่ยขึ้นด้วยความหวาดหวั่น
นางหลี่เห็นเช่นนั้นก็รีบเอ่ยคล้อยตามด้วยกลัวมีพิรุธ “ใช่เจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านต้องทวงความเป็นธรรมให้เมี่ยวเอ๋อร์ด้วยการคนที่คิดทำร้ายนางออกมาให้ได้นะเจ้าคะ!”
ชิงไต้ที่นิ่งเงียบดั่งไม่มีตัวตนอยู่ในมุมที่ไม่มีผู้ใดสนใจลอบดีดนิ้วเบาๆ คราหนึ่ง
เพราะฮูหยินจวนเจิ้นกั๋วกงมา คนที่อยู่ภายในห้องจึงยืนขึ้นกันหมด นางหลี่พูดด้วยความโกรธเคือง นางสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง สิ่งของบางอย่างจึงหล่นร่วงตกลงมา ไม่ทราบว่าลมมาจากทิศใดจึงพัดของสิ่งนั้นไปตกที่บนหลังเท้าของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกง
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงโน้มตัวไปหยิบมันขึ้นมา “นี่คืออันใดหรือ”
นางหลี่หน้าดำมืดดุจพื้นดินขึ้นมาทันที