นี่คืออันใดหรือ
ในสถานการณ์อันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ คนทั้งหลายทั้งยืดคอเข้ามาดู
เห็นชัดว่ามันเป็นห่อกระดาษที่ถูกคนขย้ำไปแล้ว
เดิมทีแค่ห่อกระดาษแผ่นเดียวหรือผ้าเช็ดหน้าร่วงก็ไม่มีคนสนใจอยู่แล้ว แต่เพราะนางหลี่มีสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วจึงถึงกับใจหายวาบคราหนึ่ง นางคลี่ห่อกระดาษนั้นออก นัยน์ตาหรี่เล็กลงทันที
ห่อกระดาษนี้ไม่มีอันใดพิเศษ แต่เมื่อคลี่ออกกลับมียาเม็ดเล็กๆ ขนาดเท่าเมล็ดข้าวติดอยู่หลายเม็ด
หากพูดถึงยาที่ละลายในน้ำจนเล็กเท่างานั้น ฮูหยินผู้เฒ่ายังต้องครุ่นคิดอยู่นานจึงดูออกว่ามันคือสิ่งใด แล้วสิ่งนี้ยังมิทันละลายด้วยซ้ำ ทั้งอยู่ในสถานการณ์อันตึงเครียดเช่นนี้ แค่ตรวจดูให้แน่ชัดสักหน่อย ฮูหยินฮูเฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วก็ดูออกในทันที
สีหน้านางเปลี่ยนไปทันควัน ทั้งย่ำแย่ยิ่งกว่าใบบัวแห้งแตกในสระยามเดือนสิบเสียอีก
“นางหลี่ นี่คืออันใด”
หน้านางหลี่ไม่มีสีเลือดอยู่แล้ว ริมฝีปากก็ขาวซีด นางพูดตะกุกตะกักออกมาว่า “ฮู…หยิน…ผู้เฒ่า”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วคนทั้งหลายในห้องมีหรือจะไม่เข้าใจ ใบหน้าแก่ชราของฮูหยินผู้เฒ่าดั่งถูกคนตบเสียงดังสนั่นกระนั้น ไม่รู้ว่าบวมเป่งจนมีสภาพเช่นใดแล้ว นางชี้นิ้วไปที่นางหลี่ด้วยโทสะ “นางหลี่ เจ้าทำเพื่ออันใดกัน!”
ใช่แล้ว ที่แท้เพื่อสิ่งใดกันเล่า
ความแปลกใจของคนในห้องมีมากกว่าโทสะเสียอีก ไม่ว่าผู้ใดจะคิดจนศีรษะแทบแตกก็คิดไม่ออกว่านางหลี่ผู้เป็นป้าสะใภ้รองจะลงมือทำร้ายหลานสาวที่แต่งออกเรือนไปแล้วด้วยเหตุใด
เวลานี้เองนางหลี่จึงเรียกสติกลับคืนมาได้ นางหันไปเผชิญหน้ากับฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วที่เอ่ยถามด้วยความโกรธแค้น และสายตาทั้งแปลกใจและโมโหของคนทั้งห้องแล้วพยายามเอ่ยแก้ตัวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า สะใภ้ไม่ทราบว่าเกิดรู้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรจริงๆ เจ้าค่ะ!”
เมื่อนางพูดประโยคนี้ขึ้นมาได้ ประโยคต่อไปจึงไหลลื่นยิ่ง “ท่านคิดดูเถิด สะใภ้มิใช่คนบ้าหรือคนโง่เสียหน่อย เหตุใดต้องทำร้ายเมี่ยวเอ๋อร์ด้วยเล่าเจ้าคะ ทำร้ายนาง สะใภ้ได้ประโยชน์ที่ตรงใดเล่า”
“แล้วห่อกระดาษนี้มิได้หล่นออกมาจากแขนเสื้อเจ้าหรอกหรือ” ฮูหยินจวนเจี้ยนอานปั๋วโกรธเกรี้ยวยิ่ง น้ำเสียงที่เอ่ยถามจึงดุดันอย่างที่สุด
“คือ…คือ” นางหลี่กระทืบเท้าเร่าๆ “สะใภ้ไหนเลยจะทราบ ไม่แน่ว่าอาจมีคนคิดร้ายต่อเมี่ยวเอ๋อร์แล้วฉวยโอกาสตอนที่สะใภ้ไม่รู้ตัวยัดมันเข้ามาในแขนเสื้อก็เป็นได้…”
คนทั้งหลายต่างใช้สายตาดั่งมองคนบ้ามองนางหลี่ เจินเหยียนจึงอดแค่นยิ้มเย็นออกมามิได้ นางเอ่ยว่า “ป้าสะใภ้รอง ท่านคงอ่านตำราละครมากไป ทุกคนที่อยู่ที่นี่มีผู้ใดเป็นยอดฝีมือกระทั่งมาไม่เห็นเงาไปก็ไร้ร่องรอยงั้นหรือ”
นางเองก็โมโหยิ่งกระทั่งไม่สนแล้วว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วยังอยู่ที่นี่ด้วย นางหันไปเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงว่า “ท่านย่า เรื่องนี้ตรวจสอบไม่ยากเลย ของสิ่งนี้อย่างไรก็ต้องไปซื้อ ในเมื่อพบที่ตัวป้าสะใภ้รอง เราก็เอาตัวสาวใช้คนสนิทของนางมาสอบถามดูเถิดเจ้าค่ะ”
“กูไหน่ไหน่เป็นสตรีที่ออกเรือนไปแล้ว ฮูหยยินผู้เฒ่ายังมิได้เอ่ยอันใดแต่เจ้ากลับสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องในตระกูล อย่างไรข้าก็อาวุโสกว่า หากข้าขายหน้า คนทั้งจวนปั๋วจะยังเหลือเกียรติอันใด ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านต้องเชื่อสะใภ้นะเจ้าคะ สะใภ้จะทำร้ายผู้อื่น ทำร้ายตนเองเช่นนี้ไปด้วยเหตุใดกัน” นางหลี่เริ่มหวั่นใจขึ้นมาแล้วแต่ยังคงฝืนทำสีหน้าปกติ
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วยังคงโกรธจนหน้าร้อนเห่ออยู่เช่นเดิม นางหันไปเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างไม่ไยดีต่อนางหลี่เลย “พี่สาว เรื่องนี้ช่างผิดความคาดหมายจริงๆ ทำให้จวนท่านต้องวุ่นวายแล้ว แต่ในเมื่อวันนี้ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นก็จะสืบเรื่องให้แจ้งกระจ่างต่อหน้าท่านเสียเลย”
ตั้งแต่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงเดินเข้ามาก็ได้แต่ดูละครฉากใหญ่ ฉากแล้วฉากเล่า ยามนี้ยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย เมื่อได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วเอ่ยเช่นนี้จึงพยักหน้าคอยดูละครฉากต่อไป
หันซวงสาวใช้ใหญ่ที่ติดตามนางหลี่มานั้นพักอยู่ในห้องด้านข้าง ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วจึงสั่งคนให้ไปตามนางมา
ตอนที่หันซวงเดินเข้ามาก็รู้สึกทันทีว่าบรรยากาศภายในห้องนั้นดูแปลกๆ นางเริ่มกังวลขึ้นมาหลายส่วน กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วโยนห่อกระดาษแผ่นหนึ่งใส่หน้านาง แล้วถามหนึ่งคำว่า “นี่คืออันใด” นางถึงกับเข่าอ่อนไปเลยทีเดียว
แค่เห็นท่าทีของหันซวง ความเบิกบานยินดีเส้นสุดท้ายของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วก็ขาดลง ริมฝีปากที่สั่นระริกอยู่นั้นเอ่ยขึ้นว่า “บ่าวชั่ว วันนี้หากเจ้าไม่พูดจาให้ชัดเจน ข้าจะตัดลิ้นเจ้าเสีย!”
“หันซวง เจ้าบอกฮูหยินผู้เฒ่าไปตามจริงเถิด ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนยุติธรรมยิ่ง ไม่ต้องกลัว…” นางหลี่เอ่ยปากเตือน
“เจ้าหุบปาก!” ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วหันไปตำหนิ
นางหลี่ปิดปากเงียบ แม้ในใจจะหวาดหวั่นแต่กลับมิได้สิ้นหวังอันใด
นางตัดสินใจแล้วว่าเป็นตายอย่างไรก็จะไม่ยอมรับ ห่อกระดาษนั่นจะร่วงออกมาจากแขนเสื้อนางแล้วอย่างไร นางแค่บอกว่าตนไม่รู้ว่ามันมาอยู่บนตัวนางได้อย่างไรก็พอ ทั้งนางก็มิได้มีผลประโยชน์ขัดแย้งอันใดกับเจินเมี่ยว ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมต้องครุ่นคิดในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน
หันซวงเป็นคนที่นางอบรมมากับมือ ทั้งตอนที่สั่งให้นางให้ทำเรื่องนี้ก็ได้ข่มขู่ไปแล้วด้วยว่าหากเรื่องนี้ถูกเปิดโปงออกมา นางต้องห้ามยอมรับเด็ดขาด มิเช่นนั้นมารดาและน้องสาวน้องชายของนางก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีได้!
หันซวงคุกเข่าลงดังพลั่ก นางเงยหน้าขึ้นมองนางหลี่คราหนึ่ง แววตาดูสับสนยิ่ง สุดท้ายก็เอ่ยออกมาด้วยอาการตัวสั่นงันงกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดไว้ชีวิตด้วย มันคือยาสำราญอุราเจ้าค่ะ ฮูหยินรองสั่งบ่าวไปซื้อ…”
“บ่าวชั่ว!” นางหลี่ตกใจยิ่ง นางกำลังจะเข้าไปสั่งสอนหันซวง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วกลับยกถ้วยชาขึ้นขว้างใส่หน้านางหลี่ด้วยความโกรธเกรี้ยว
นางหลี่ร้องขึ้นเสียงหนึ่งแล้วล้มคว่ำลงไป ถ้วยชาสีเขียวนอนกลิ้งอยู่ด้านข้าง ใบหน้านางมีลายถ้วยขนาดใหญ่ติดอยู่ ดูแล้วช่างน่าขันนัก
แต่เวลานี้กลับไม่มีใครใส่ใจกับความเป็นความตายของนางแล้ว
สาวใช้คนสนิทของนางหลี่เห็นห่อกระดาษนั้นก็บอกว่าเป็นยาสำราญอุราทันที ยังต้องให้พูดอีกหรือว่าผู้ใดคิดร้ายกับเจินเมี่ยว
นางหลี่ถูกเขวี้ยงด้วยถ้วยชาจนมึนงงไปหมด ส่วนคนอื่นภายในห้องก็มิทราบจะเอ่ยอันใดในเวลาอันกระอักกระอ่วนนี้
ทุกคนต่างเงียบงันกันอยู่ครู่ใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดนางหลี่จึงทำเช่นนี้…”
ผู้ใดจะคิดออกเล่า! ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วอดกลอกตาตนมิได้
เจินหนิงมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง สีหน้านางเปลี่ยนไปเล็กน้อย อีกครู่กลับเข้าใจบางอย่างขึ้นมา นางขยับปากเล็กน้อยแต่กลับมิได้เอ่ยอันใด
ต่างกล่าวกันว่าหากใจคิดอันใด ย่อมต้องมองผู้อื่นเป็นเช่นนั้น หากนางพูดถึงสาเหตุนั้นขึ้นมา แม้จะถูกชมว่าฉลาดหลักแหลม แต่กลับมิเป็นผลดีกลับภาพลักษณ์อันดีงามของนางเลย
“ข้ามิได้ถามเพียงเพราะแค่สงสัย แต่หลานสะใภ้ใหญ่ถูกกระทำเช่นนี้จากญาติในตระกูลตน อย่างไรก็ต้องสืบเรื่องให้กระจ่างแจ้ง” ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงเอ่ยเสียงเรียบ
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากเป็นญาติทางฝั่งอื่นต่อไปคงมิอนุญาตให้เข้าจวนอีก มิต้องสืบเรื่องให้กระจ่างก็มิเป็นอันใด แต่นี่เป็นคนในตระกูลของหลานสะใภ้เอง วันหน้ายังต้องพบปะกันอยู่บ่อยครั้ง แล้วหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีกจนหลานทั้งสองไร้มารดา ต้าหลังคงบ้าคลั่งไม่หยุดแน่
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วอับอายจนแทบอยากจะมุดดินหนีไปเสีย แต่ในใจกลับรู้สึกซาบซึ้งต่อฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงยิ่ง นางช่างให้ความสำคัญกับเมี่ยวเอ๋อร์จริง
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วหันไปมองหันซวงด้วยแววตาคมกริบ
หันซวงกัดริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “บ่าวบังเอิญได้ยินฮูหยินรองพูดว่า…ว่าหากเกิดเรื่องขึ้นกับกูไหน่ไหน่สี่ก็จะให้คุณหนูห้ามาดูแลคุณชายทั้งสองแทนกูไหน่ไหน่สี่เจ้าค่ะ”
เมื่อวาจานี้ถูกเอ่ยออกไป คนทั่วทั้งหกก็ทั้งโมโหทั้งแค้นเคือง ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วนั้นแทบจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แม้แต่ครึ่งเค่อ จึงให้นางเวินอยู่ปลอบเจินเมี่ยว ส่วนตนก็ให้คนแบกนางหลี่ดั่งแบกสุกรตายแล้วตัวหนึ่งกลับจวนไป