ตอนที่ 436 จุดจบของนางหลี่

วาสนาบันดาลรัก

ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วพาตัวสุกรตายอย่างนางหลี่กลับจวนเจี้ยนอานปั๋วไปอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงก็ให้คนไปเชิญซื่อจื่อ นางเจี่ยงและนายท่านรอง ส่วนบุตรชายคนเล็กหรือ แค็กๆ …นั่นเป็นแค่ไม้ทุบผ้า มิใช่คนที่จะไปปรึกษาหารืออันใดได้

 

 

“ท่านแม่ เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ สีหน้าท่านมิใคร่ดีนัก หรือว่าเหนื่อยเกินไป” ซื่อจื่อจวนเจี้ยนอานปั๋วก็เพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงฉลองในพิธีอาบน้ำทารกเช่นกัน ยามเอ่ยวาจาจึงมีกลิ่นสุราออกมาด้วย

 

 

แม้นายท่านรองจะดื่มสุรามาเช่นกัน แต่ท่าทีกลับดูนิ่งขรึมปราศจากราคีทั้งปวง

 

 

ปกติแล้วฮูหยินผู้เฒ่าจะรักเอ็นดูบุตรชายคนรองที่สุด แต่เมื่อเห็นท่าทีอันเพียบพร้อมงดงามของเขาในเวลานี้กลับโมโหขึ้นมาจึงด่าทอเขาทันที “เจ้ารอง เจ้าช่างรู้จักหาสะใภ้แสนดีให้ข้านัก รู้หรือไม่ว่านางทำเรื่องอันใดลงไป”

 

 

นางเจี่ยงที่นั่งอยู่ด้านข้างหรี่ตาลงด้วยรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมต่อน้องรองเอาเสียเลย

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่า ภรรยาผู้นี้น้องรองหามาที่ใดกัน ท่านเป็นคนเลือกเฟ้นมาเองแท้ๆ นางก็ทำเรื่องโง่งมเช่นนี้มาตลอดมิใช่หรือ จะรู้ได้อย่างไรว่าเอ่ยถึงเรื่องไหนกันแน่

 

 

นายท่านรองถูกด่าเช่นนี้ก็ไม่รู้จะทำฉันใดจึงเพียงลูบจมูกตนอย่างจนใจ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ อย่าโมโหอีกเลย มีอันใดค่อยๆ พูดเถิด นางหลี่ทำอันใดไม่ถูกต้อง ท่านบอกลูกมาได้เลย เดี๋ยวลูกจะไปต่อว่านางเอง”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าถูกตบหน้าอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกงเช่นนั้นจึงโมโหเกรี้ยวกราดยิ่ง แต่เมื่อได้ยินบุตรชายเอ่ยเช่นนี้ก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา จึงเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “นางทำอันใดไม่ถูกต้องงั้นหรือ นางมิเคยทำเรื่องที่ถูกต้องเลยสักคราต่างหาก”

 

 

ครั้นเอ่ยวาจานี้จบ ฮูหยินผู้เฒ่าก็เริ่มรู้ตัวว่าตนกำลังทำตัวไร้เหตุผลอยู่

 

 

ปกตินางหลี่ก็เป็นคนจิตใจคับแคบ ไม่ว่าวาจาท่าทางต่างทำให้คนรู้สึกทนดูมิได้ แต่หากพูดถึงเรื่องชั่วช้าสารเลวแล้ว นางกลับมิเคยทำให้เห็นเลยสักครั้ง

 

 

อุปนิสัยเช่นโคลนน้อยนิดมิอาจเกาะติดกำแพงได้ของนางนั้น แม้เป็นบิดามารดายังท้อใจที่จะสั่งสอน นับประสาอันใดกับเจ้ารองที่เป็นเพียงสามีเท่านั้น

 

 

โชคดีที่เจ้ารองเป็นคนดี หลายปีมานี่จึงยอมรับชะตากรรมตนมาตลอด หากเขาเป็นคนโมโหร้าย เอาแต่ใจ ทั้งสองคงทะเลาะกันทุกวันจนคนแก่อย่างนางโมโหตายเป็นแน่

 

 

คงได้แต่พูดว่าแม้นางหลี่จะใจคอคับแคบเช่นใด ก็มิอาจยัดกลับเข้าไปหลอมใหม่ในเตาได้ ผู้ใดให้นางโชคร้ายแต่งนางหลี่เข้ามาเองเล่า

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่ตำหนิตนเอง สุดท้ายจึงตัดสินใจเล่าเรื่องของนางหลี่ออกมา

 

 

นางเจี่ยงที่สุขุมอยู่เสมอถึงกับอ้าปากค้างอยู่เป็นนาน ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ โชคดีที่นางตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ให้หลานชายแต่งกับเจินปิง นางคิดถูกจริงๆ การมีมารดาเช่นนี้…แม้เจินปิงจะเป็นทองฝังเพชรนางก็ไม่ต้องการ!

 

 

เจินซื่อจื่อถึงกับตบโต๊ะเสียงดัง “สตรีโง่! สตรีอสรพิษ! สตรีชั่วช้า!”

 

 

เพราะเขาพูดว่า ‘สตรี’ ติดกันถึงสามครา ทำเอาฮูหยินผู้เฒ่าและนางเจี่ยงต้องถลึงตาใส่เขาเลยทีเดียว

 

 

เจินซื่อจื่อจึงกระแอมไอคราหนึ่งแล้วหันไปพูดกับนายท่านรองว่า “น้องรอง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าอย่าเก็บนางหลี่ไว้อีกต่อไปเลย”

 

 

เมื่อเห็นนายท่านรองเลิกคิ้วขึ้น เขาจึงเอ่ยขึ้นอีกคราด้วยสีหน้าบึ้งตึง “น้องรอง เจ้าอย่าใจอ่อนเด็ดขาด หากเรื่องนี้เกิดขึ้นในจวนเราก็ยังพอปกปิดไปได้ แต่นางหลี่ไปก่อเรื่องถึงจวนเจิ้นกั๋วกง อย่างไรเราก็ต้องมีคำตอบที่ดีให้กับจวนกั๋วกงด้วย มิเช่นนั้นต่อไปจะไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงได้อีกหรือ ผู้อื่นเห็นคนในตระกูลเราคงเอาแต่คิดถึงเรื่องโง่งมที่นางหลี่ทำแล้วลอบด่าว่าอยู่ในใจเป็นแน่”

 

 

เมื่อเห็นนายท่านรองไม่เอ่ยอันใดจึงพูดต่อว่า “มิต้องพูดถึงผู้อื่นในจวนเราก็ได้ แต่เรื่องงานมงคลของเจ้าห้าเรามิอาจปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปได้อีกแล้ว หากเจ้าหย่ากับนางหลี่คงส่งผลกระทบกับนางอย่างใหญ่หลัว ดังนั้นก็ให้บอกว่านางหลี่ป่วยหนัก แล้วอาศัยช่วงที่นางป่วยอยู่นี้จัดการเรื่องงานมงคลของเจ้าห้าเสีย”

 

 

หลังจากนางแต่งออกไปแล้ว นางหลี่ก็สามารถตายได้แล้ว

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากับนางเจี่ยงมองหน้ากัน

 

 

ว่าไปแล้วก็ช่างบังเอิญนะ อีกไม่นานแม่ทัพเซียวก็จะมาสู่ขอแล้ว…

 

 

“เจ้ารอง เจ้าเห็นอย่างไรหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าแข็งใจเอ่ยถามออกไป แต่น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นแฝงไปด้วยการยอมรับกับความคิดของเจินซื่อจื่อ

 

 

นางมิใช่คนโหดร้าย แต่คงต้องโทษที่นางหลี่เลือกลงมือกับหลานสาวที่นางรักมากที่สุด นางจึงให้อภัยมิได้จริงๆ

 

 

อีกอย่างการที่เจินปิง เจินอวี้มีมารดาเช่นนี้มาคอยฉุดขาไว้ก็สู้ไม่มีจะดีกว่า!

 

 

ในที่สุดนายท่านรองก็เอ่ยว่า “อย่างไรนางหลี่กับลูกก็เป็นสามีภรรยากัน ทั้งยังมีปิงเอ๋อร์กับอวี้เอ๋อร์อีก คงไม่มีบุตรสาวคนใดที่จะออกเรือนอย่างเบิกบานใจในขณะที่มารดาป่วยหนักอยู่แน่”

 

 

“น้องรอง เวลานี้แล้ว เจ้ามิควรใจอ่อนกับนางอีก!”

 

 

นายท่านรองเอ่ยเสียงเรียบว่า “ท่านแม่ ต่อไปก็ให้นางปฏิบัติธรรมอยู่ในอารามของจวนเราเถิด”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง “ให้ไปปฏิบัติธรรมในอารามได้เช่นกัน แต่ต่อไปเจ้าจะทำอย่างไรเล่า”

 

 

นางหลี่ปฏิบัติธรรมอยู่ในอาราม นางก็ยังมีตำแหน่งเป็นภรรยาเอก เช่นนี้บุตรชายตนมิต้องโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิตหรือ

 

 

นายท่านรองยิ้ม “ลูกอยู่คนเดียวก็มิได้มีอันใดย่ำแย่ แต่หลี่เกอนั้นคงต้องให้ท่านแม่ดูแลแล้ว”

 

 

อย่างไรก็เป็นชีวิตหนึ่งชีวิต ทั้งยังมีบุตรสาวถึงสองคน เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังนายท่านรองพูดเช่นนี้ก็พยักหน้ารับ มิได้ดึงดันอีกต่อไป

 

 

สุดท้ายนางหลี่จึงต้องเข้าไปปฏิบัติธรรมในอาราม แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุขึ้นอีก

 

 

ไม่ทราบว่าน้องชายผู้หนึ่งของหันซวงสาวใช้คนสนิทของนางหลี่ออกมาจากจวนปั๋วได้อย่างไร เขาเอาเรื่องที่นางหลี่บีบบังคับสาวใช้ให้ซื้อยามาเพื่อทำร้ายคนมาป่าวประกาศ ไม่ถึงครึ่งวันคนก็รู้กันไปทั่ว

 

 

ด้วยเหตุนี้นางหลี่ที่เพิ่งเข้าไปอยู่ในอารามได้เพียงครึ่งวันก็ถูกรับออกมาและต้องหย่าขาดกับสามีกลับไปอยู่ตระกูลมารดาตนเช่นเดิม

 

 

ภายในเรือนชิงเฟิง

 

 

เจินเมี่ยวมองหลัวเทียนเฉิงแล้วถอนหายใจออกมา “ซื่อจื่อ มิจำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย ข้ารู้ว่าท่านโกรธแทนข้า แต่ในเมื่อนางก็ถูกส่งไปอยู่ในอารามแล้ว ต่อไปคงมิอาจออกมาทำร้ายคนได้อีก เท่านั้นก็พอแล้ว ตอนนี้นางถูกทิ้ง ผู้อื่นไม่เท่าใด แต่น้องห้าเล่า นางจะทำอย่างไร”

 

 

ชิงไต้คว่ำถ้วยยา ตามด้วยท่าทีแปลกๆ ของนางหลี่ ตอนนั้นนางก็รู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว

 

 

มิใช่นางฉลาดอันใด แต่เพราะนางรู้ถึงฝีมือของชิงไต้ดี องครักษ์ลับฝีมือดีผู้หนึ่งจะทำถ้วยหลุดจากมือได้อย่างไร

 

 

นางมิได้ถามชิงไต้แต่รอให้หลัวเทียนเฉิงกลับมาแล้วค่อยถามเขา เขาก็ยอมรับอย่างเบิกบานใจทันที

 

 

หลัวเทียนเฉิงแค่นยิ้มเย็นแล้วเอ่ยอย่างไม่มีความเสียใจใดๆ สักนิดว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ข้ามิได้ใจกว้างถึงเพียงนั้นที่จะปล่อยคนที่มันคิดจะทำร้ายภรรยาข้า อย่าว่าแต่นางหลี่เลย ต่อให้เป็นอ๋อง เป็นองค์ชายข้าก็ไม่ละเว้น!”

 

 

วาจาที่เอ่ยออกมานี้เต็มไปด้วยไอสังหารจนทำให้เจินเมี่ยวหวาดหวั่นใจขึ้นมา ทั้งยังเผลอคิดไปว่าหากมีท่านอ๋องคนใดทำผิดต่อนางจริงๆ เขาจะกล้าเอาชีวิตท่านอ๋องผู้นั้นจริงๆ หรือ

 

 

เมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนก็พบว่าเขาเหมือนจะเคยทำเรื่องเช่นนั้นมาแล้วจริงๆ จนนางถึงกับเหงื่อซึมไปทั่วร่างเลยทีเดียว

 

 

“ทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ออกมาได้ คิดว่าหลบอยู่ในอารามอย่างเงียบสงบแล้วจะจบหรือ หากบุตรสาวที่ออกเรือนไปพาบุตรกลับไปเยี่ยมที่จวน นางก็ยังได้เห็นได้พบหน้า เหอะๆ เหตุใดต้องใจดีกับนางเพียงนั้น”

 

 

สำหรับคนอย่างนางหลี่นั้น การหย่าร้างนั้นยังทรมานกว่าการตายเสียอีก เขาถึงกับส่งคนไปคอยจับตาดูไว้ อย่างไรก็มิยอมให้นางตายเด็ดขาด

 

 

“ส่วนน้องห้า เจ้ามิต้องเป็นห่วง อีกไม่นานก็จะมีคนไปสู่ขอนางที่จวนปั๋วเอง”

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกตกใจเล็กน้อย “ผู้ใด”

 

 

หลัวเทียนเฉิงระบายยิ้มจางๆ “เซียวมั่วอวี่”

 

 

เมื่อได้ฟังเขาเล่าความเป็นมาเป็นไปแล้ว เจินเมี่ยวก็อดถามมิได้ว่า “นางหลี่ถูกหย่าไปเช่นนี้ จวนหย่วนเวยโหวยังจะไปสู่ขออยู่อีกหรือ”

 

 

“เลิกกังวลได้แล้ว เจ้าคอยดูก็จะรู้เองว่าข้าพูดถูกหรือไม่”

 

 

ด้านจวนเจี้ยนอานปั๋วนั้นเมื่อเห็นแม่สื่อที่จวนหย่วนเวยโหวส่งมาก็ทั้งตกใจและดีใจ