ตอนที่ 437 ความกลัดกลุ้มของเจินเมี่ยว

วาสนาบันดาลรัก

เมื่อแม่สื่อมาถึงก็เชิญไปดื่มน้ำชาที่ห้องโถง นางเจี่ยงเป็นผู้ออกมาต้อนรับ แต่เจินปิงกลับคุกเข่าอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋ว

 

 

“อันใดกัน เจ้าไม่ยินยอมหรือ”

 

 

เจินปิงคุกเข่าหลังตรงอยู่ตรงนั้น ในหัวก็มีภาพของเซียวมั่วอวี่ปรากฏขึ้นอยู่ตลอด

 

 

ตอนที่เขาช่วยนางไว้นั้น สีหน้าเขานิ่งสงบยิ่ง ไม่มีความตะลึงลานอย่างคนเจอรักแรกพบอันใด ตอนที่พูดคุยกันอยู่ในโรงน้ำชาก็ดูตรงไปตรงมา มีความเป็นสุภาพชนแต่มิได้ดูล้าหลัง บุรุษเช่นนี้นั้นดีเหลือเกินจริงๆ

 

 

ดังนั้นตอนที่เอ่ยวาจานี้ออกไปหัวใจของนางก็คล้ายถูกเส้นด้ายเล็กๆ รัดดึงไว้จนเจ็บร้าวไปหมด “ท่านย่า ท่านแม่ท่านพ่อหย่าร้างกัน หลานจะมีหน้าอันใดแต่งเข้าจวนหย่วนเวยโหวเล่า”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเงียบไป แล้วพิจารณาหลานสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ผ่านไปนานจึงเอ่ยว่า “ปิงเอ๋อร์ เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าหากพลาดครั้งนี้ไป ชีวิตของเจ้าก็จะผิดพลาดเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วภายหน้าเจ้าจะทำฉันใด”

 

 

เจินปิงเจ็บปวดแปลบในใจขึ้นมา แล้วกัดฟันเอ่ยว่า “หากท่านย่ารังเกียจที่หลานทำให้ขายหน้า ภายหน้าหลานยินดีเป็นสตรีแก่ทึนทึกอยู่แต่ในเรือน…”

 

 

“เหลวไหล!” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยตัดบทเจินปิงทันที “เจ้าคิดว่าเป็นหญิงทึนทึกนั้นง่ายหรือ มารดาเจ้ากลับตระกูลตนไปแล้ว บิดาเจ้าก็มิคิดแต่งงานใหม่ หากภายหน้าแยกจวนออกไป ในจวนไม่มีผู้อาวุโสอยู่เลย เจ้าใช้ชีวิตอยู่กับน้องชายที่เกิดจากอนุที่อายุสิบกว่าปี เจ้าคิดว่ามันดีแล้วหรือ”

 

 

เจินปิงฟังแล้วก็อึ้งไป

 

 

มารดาทำผิดจนต้องหย่าร้างกับบิดา นางทั้งเสียใจ รู้สึกผิดและอับอายจึงไม่อยากแต่งออกไปให้ผู้คนขบขัน แต่กลับมิได้คิดไปถึงอนาคตภายหน้าอันยาวไกลสักนิด

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าพลันถอนหายใจออกมา นางดึงเจินปิงให้ลุกขึ้นนั่งแล้วตบหลังมือนางคราหนึ่ง “เด็กโง่ รอให้เจ้าอายุมากเท่าย่าแล้วก็จะรู้เองว่าศักดิ์ศรีและหน้าตาที่มิจำเป็นอันใดนั่นมิอาจกินแทนข้าวได้ เชื่อย่าเถิด อย่าทำเรื่องโง่ๆ แล้วแต่งออกไปอย่างมีความสุขเถิด ยามตกยากจะเห็นน้ำใจคน ในสถานการณ์เช่นนี้แม่ทัพเซียวกลับยังมาสู่ขอเจ้าตามสัญญา แค่จุดนี้ก็ยากเหลือคณาแล้ว ควรค่าที่เจ้าจะแต่งกับเขาและใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข”

 

 

เมื่อเห็นเจินปิงเริ่มคล้อยตาม ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “เป็นหญิงแก่ทึนทึกไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น ย่ารู้ว่าเจ้าไม่อยากแต่งเพราะหนึ่งรู้สึกผิดต่อแม่ทัพเซียว สองคิดว่ายามที่มารดาตกที่นั่งลำบาก ตนกลับได้แต่งงานอย่างมีความสุขจึงรู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากเจ้าอยู่ในจวนต่อไป วันหน้าผู้อื่นพูดถึงเจ้าก็ย่อมต้องเอ่ยถึงเหตุการณ์นี้ขึ้นมาอีกหน เช่นนั้นกลับยิ่งล้างไม่ออกลืมไม่ลงแล้ว”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าพูดเสียจนเจินปิงคิดเปลี่ยนใจ นางจึงพยักหน้ารับอย่างเขินอาย

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ายกมือขึ้นเก็บปอยผมตน ในใจก็คิดว่าเด็กน้อยเอ๋ย คิดจะสู้กับย่าหรือ เจ้ายังอ่อนหัดนัก!

 

 

ด้านนางเจี่ยง เมื่อได้รับข่าวจากสาวใช้น้อยนางก็ผลิยิ้มออกมาแล้วตกลงรับปากเรื่องงานมงคลทันที

 

 

แม่สื่อรับซองสีแดงแล้วกลับไปด้วยความเบิกบาน

 

 

เรื่องต่อไปก็เป็นการเตรียมพร้อมกับพิธีการต่างๆ ที่มิอาจขาดตก งานมงคลของนางล่าช้ามาจนอายุสิบเจ็ด สินเดิมต่างๆ นั้นถูกจัดเตรียมไว้นานแล้ว ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงนับว่าเป็นหนุ่มสาวที่อายุมากสักหน่อยเช่นกัน งานมงคลจึงถูกกำหนดขึ้นในเดือนสิบเอ็ดปีนี้

 

 

เสียงกลองระฆังดังระงมไปทั่วฟ้า คุณหนูห้าจวนเจี้ยนอานปั๋วได้แต่งออกไปในวันนี้เอง

 

 

ท่ามกลางฝูงชนทั้งหลายมีสตรีผู้หนึ่งคอยวิ่งตามเกี้ยวบุปผาด้วยความตื่นเต้น แต่กลับถูกบ่าวสองคนจับตัวไว้

 

 

“ข้าว่าท่านหยุดเถิด หากเสื้อผ้าสกปรกขึ้นมาก็ต้องซักอีก”

 

 

สตรีผู้นั้นพยายามดิ้นรนสุดชีวิต “พวกเจ้าปล่อยข้า คุณหนูที่แต่งออกไปนั้นคือบุตรสาวข้า!”

 

 

หนึ่งในสาวใช้จึงหัวเราะออกมา “กูไหน่ไหน่ ท่านอย่าได้พูดเลย ตอนนี้ท่านถูกไล่กลับมาอยู่ตระกูลมารดาแล้ว กลัวผู้อื่นไม่รู้หรือไร”

 

 

“ใช่แล้ว” สาวใช้อีกผู้หนึ่งหัวเราะจนหน้าสั่นไปหมด “อืม เมื่อวานฮูหยินใหญ่พูดกับฮูหยินผู้เฒ่าว่ามีพ่อหม้ายผู้หนึ่งทำงานในกรมโยธาอยากจะแต่งกับท่าน เขาเป็นขุนนางขั้นหกแล้ว หากท่านแต่งกับเขาก็จะได้เป็นฮูหยินขุนนางเช่นกัน”

 

 

“เอ๊ะ เหตุใดข้าจึงได้ยินว่าภรรยาคนแรกและคนที่สองต่างตายแล้วทั้งสิ้น”

 

 

สาวใช้อีกผู้หนึ่งจึงผลักนางแล้วเอ่ยว่า “อย่าพูดเหลวไหล เพราะพวกนางไม่มีวาสนาไม่เหมือนกูไหน่ไหน่ของเราต่างหากเล่า…”

 

 

สตรีผู้นั้นคว้ามือสาวใช้ไว้ น้ำเสียงที่เอ่ยไม่ต่างอันใดกับคนบ้า “พ่อหม้ายอันใด ใครพูด”

 

 

สาวใช้สะบัดมือนางออก “ดูกูไหน่ไหน่ท่าทางดีใจยิ่ง เรื่องนี้ยังไม่แน่นอนเสียหน่อย ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังใคร่ครวญอยู่ พวกบ่าวไพร่ก็แค่ฟังมาเท่านั้น”

 

 

สตรีผู้นั้นได้ยินแล้วก็คลุ้มคลั่งวิ่งฝีเท้าสับสนออกไปทันที

 

 

สาวใช้ทั้งสองต่างมิได้รีบร้อนตามไป หนึ่งในนั้นถึงกับถุยน้ำลายบ่นว่า “โถ่เอ๊ย หากเป็นข้าคงเอาหัวมุดบ่อตายไปแล้ว คงมิอยู่ให้ขายหน้าเช่นนี้แน่!”

 

 

“รีบตามไปเถิด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรให้นางเกิดเรื่องตอนที่อยู่กับเรา”

 

 

แม้จะพูดเช่นนี้ แต่สาวใช้ทั้งสองกลับมิได้กลัวอันใด

 

 

นางหลี่ถูกสามีทิ้งจนต้องกลับมาอยู่ตระกูลเดิม ทั้งยังเป็นเพียงบุตรอนุ เดิมฮูหยินผู้เฒ่าก็มิได้ชมชอบอยู่แล้ว ตอนนี้ยังทำเรื่องขายหน้าให้คนในจวนต้องอับอายอีก ยอมให้ข้าวให้น้ำนางก็นับว่าไม่เลวแล้ว

 

 

นางหลี่ไปถามแม่ใหญ่ตนจึงถูกแม่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่อบรมไปคราหนึ่ง เมื่อกลับถึงห้องจึงปลดสายรัดเอวตนผูกเข้ากับคานห้องเพื่อแขวนคอ

 

 

ครั้นลืมตาขึ้นอีกคราก็พบว่าตนร่วงตกลงมาบนพื้นแล้ว ข้างกายไม่มีผู้ใดสักคน มีแต่สายรัดเอวที่ขาดไปแล้วเส้นหนึ่ง นางรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างที่สุดแต่กลับไม่มีความกล้าพอที่จะฆ่าตัวตายอีกแล้ว

 

 

ตั้งแต่นั้นข่าวคราวของนางหลี่ก็ค่อยๆ เงียบหายไป

 

 

พริบตาก็เป็นรัชศกจิ้งเต๋อที่สิบเจ็ด เดือนเจ็ด บุตรชายฝาแฝดของเจินเมี่ยวอายุครบหนึ่งปีแล้ว

 

 

ปีนี้ทุกบ้านเมืองสงบสุข ไม่มีภัยพิบัติจากธรรมชาติและจากมนุษย์ เมื่อหลัวเทียนเฉิงกลับมาจากลาดตระเวนที่ชิงเป่ยก็ย่อมต้องจัดงานเลี้ยงฉลองสักหน่อย แต่เจินเมี่ยวกลับมีความกังวลใจบางอย่าง

 

 

สิ่งที่นางเป็นกังวลอยู่นั้นคือเรื่องของอี้เกอบุตรชายคนเล็กนั่นเอง

 

 

เมื่อเด็กทั้งสองอายุครบหนึ่งปี พวกเขาก็เริ่มโตขึ้น หน้าตาท่าทางก็เริ่มแตกต่างกันมากขึ้น เสียงเกอนั้นดูฉลาดเก่งกาจอยู่สักหน่อย โครงหน้าออกจะคล้ายเจินเมี่ยว ส่วนอี้เกอคนรองกลับคล้ายหลัวเทียนเฉิงมากกว่า

 

 

เสียงเกอสามารถพูดคำว่า ‘ท่านพ่อ’ ‘ท่านแม่’ และคำง่ายๆ ได้อย่างชัดเจน ทุกคนต่างรู้สึกได้ว่าเวลาพูดกับเขา แม้เขาจะยังพูดไม่ได้แต่ก็เข้าใจความหมายและตอบโต้ด้วยท่าทางง่ายๆ ได้

 

 

ทว่าอี้เกอนั้น กระทั่งตอนนี้ก็ยังพูดไม่ได้ แค่ส่งเสียงที่ไม่มีความหมายออกมาเท่านั้น ยามพูดกับเขา หากเขามิตั้งใจกินอยู่ก็กำลังตั้งใจหาของกินอยู่นั่นเอง

 

 

ส่วนรูปร่างของทั้งสองก็ต่างกัน เมื่อจับทั้งสองมานั่งบนเตียงพร้อมกันจะเห็นว่าอี้เกอตัวใหญ่กว่าเสียงเกออยู่เล็กน้อย

 

 

เจินเมี่ยวเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา ตอนแรกเกิดอี้เกอหยุดหายใจไปแต่หมอหลวงช่วยกลับมาได้ มิใช่ได้รับบาดเจ็บภายในศีรษะจนเกิดผลกระทบในยามนี้กระมัง

 

 

นางกังวลในจุดนี้ก็มิกล้าพูดออกมา เพราะกลัวว่าหากพูดออกมาแล้วเรื่องอันน่ากลัวเช่นนั้นมันจะเกิดขึ้นจริงๆ เมื่ออยู่ในสภาวะกลัดกลุ้มแต่มิอาจพูดได้ จึงผ่ายผอมลงไปอย่างรวดเร็ว ในงานเลี้ยงฉลองครบหนึ่งปีนั้นนางดูอ้อนแอ้นเอวบางเหมือนก่อนตั้งครรภ์ไม่มีผิด มีเพียงหน้าอกที่อวบอั๋นขึ้นเพราะยังคงให้นมบุตรอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงยิ่งขับให้หน้าอกดูใหญ่แต่เอวบางยิ่งจนเป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คนมากกว่าเดิมเสียอีก

 

 

ครั้งนี้คนที่เจ็บใจมากที่สุดคงเป็นเจินจิ้งแล้ว นางมีโอกาสได้มาร่วมงานนี้ในฐานะพระชายารอง เดิมตั้งใจแต่งตัวให้งดงามเฉิดฉายเพื่อข่มพี่น้องที่มิได้เจอกันมานานเหล่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อพบหน้ากันแล้ว ท่านหมอก็มาตรวจพบว่าจ้าวเฟยชุ่ยตั้งครรภ์ขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้ความเด่นของนางต้องถูกกดลงจนแทบไม่เหลือ มันน่าโมโหจริงๆ เชียว

 

 

ไม่นานก็มาถึงการละเล่นอันสำคัญที่สุดในวันนี้ นั่นคือการจับของเสี่ยงทายเมื่อครบขวบปี