ตอนที่ 438 การเสี่ยงทายอันวุ่นวาย

วาสนาบันดาลรัก

การเสี่ยงทายนี้จะมีพู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึก ธนู ลูกคิด สมุดบัญชี เครื่องประดับ ของเล่น ของกิน หากเป็นเด็กผู้หญิงก็จะเพิ่มผ้าปักลายต่างๆ เครื่องประทินผิว ไม่ว่าจะเป็นราษฎรทั่วไปหรือตระกูลมั่งมีก็จะมีสิ่งของเหล่านี้ทั้งสิ้น ต่างแค่ความประณีตละเอียดของสิ่งของแต่ละชิ้นเท่านั้น

 

 

แต่จวนของเสียงเกอและอี้เกอนั้นมีตราประทับ เชือกรัดตราสัญลักษณ์และสิ่งของที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจบารมีต่างๆ

 

 

เสียงเกอเป็นบุตรคนโตจึงถูกอุ้มไปวางบนพรมก่อน

 

 

ในบรรดาเด็กหนึ่งปี เขาถือว่ามีรูปร่างสมส่วนกำลังดีดูเป็นเด็กฉลาดยิ่ง เขายกมือขึ้นจับแก้มไว้หันหน้าไปมา แล้วคลานไปบนโต๊ะที่มีของวางอยู่เต็มด้วยความคล่องแคล่ว ภายใต้สายตาคนทั้งหลาย เขาหยิบจับไปมาอยู่สองสามคราแล้วคว้าเชือกรัดตราสัญลักษณ์เอาไว้ พลันเสียงร้องตื่นเต้นดีใจก็ดังขึ้น

 

 

เห็นชัดว่าเสียงเกอนั้นมีลักษณะของแม่ทัพใหญ่อย่างชัดเจนยิ่ง เสียงร้องเหล่านั้นทำอันใดเขาไม่ได้เลย เขามองอีกครู่ค่อยคว้าตำราเล่มหนึ่งขึ้น

 

 

ครานี้เสียงชื่นชมกลับยิ่งดังกว่าเดิม

 

 

หลัวเทียนเฉิงพยายามทำสีหน้าเคร่งขรึมไว้ แต่ในใจกลับเบิกบานประหนึ่งบุปผาแย้มบาน เขายื่นมือไปอุ้มเสียงเกอขึ้นแล้วส่งให้แม่นม

 

 

อย่างไรก็เป็นบุตรคนโต ภายหน้าควรต้องเก่งกาจสักหน่อยอยู่แล้ว เขาจึงไม่ควรแสดงอาการดีใจให้ออกนอกหน้านัก

 

 

เจินจิ้งมองบุตรชายที่อยู่ด้านข้างตนแล้วในใจก็เกิดโมโหขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

ผิงเกอเป็นบุตรชายคนโตของท่านอ๋องแต่เพราะเขาไม่ใช่บุตรของภรรยาเอก สิ่งของเช่นตราประทับหรือเชือกรัดตราสัญลักษณ์ย่อมไม่อาจวางไว้บนโต๊ะได้

 

 

หากมิเป็นเช่นนั้น ผิงเกอของนางก็ไม่มีทางด้อยไปกว่าผู้อื่นแน่!

 

 

เมื่อเห็นว่าอี้เกอถูกวางลงไปบนพรม เจินจิ้งก็คิดอันใดขึ้นมาได้จึงอุ้มผิงเกอไว้

 

 

ตั้งแต่จ้าวเฟยชุ่ยตั้งครรภ์ นางก็คิดในใจไว้แล้วว่าครั้งนี้นางคงมีโอกาสได้มาแน่จึงตั้งใจฝึกให้ผิงเกอคุ้นชินกับหารหยิบเล่นพวงผกาของนาง

 

 

ครานี้ผลของการฝึกของนางจึงเป็นผลขึ้นมา เมื่อผิงเกอเห็นสัญญาณที่เจินจิ้งส่งให้ เขาก็ยื่นมือไปดึงพวงผกาที่ปักอยู่บนผมของนางแล้วโยนลงไปบนโต๊ะตามความเคยชิน แล้วตบมือหัวเราะชอบใจ

 

 

เหตุการณ์พลิกผันในครั้งนี้ทำให้คนทุกคนต่างอึ้งงันไป ภายในห้องเงียบกริบลงในทันใด

 

 

ควรต้องทราบว่าของบนโต๊ะนี้ ผู้ใดก็มิอาจหยิบออกไปได้ อี้เกอเป็นเด็กผู้ชาย ตามหลักแล้วพวงผกา เครื่องประทินผิวต่างๆ ย่อมไม่มีทางนำมาวางไว้ที่นี่ได้ แต่ยามนี้คงต้องปล่อยให้มันวางอยู่เช่นนั้นแล้ว

 

 

แต่พวงผกาชิ้นนั้นเป็นสีแดง โดดเด่นยิ่งเมื่อวางอยู่กับของทั้งหลายบนโต๊ะ อย่าว่าแต่เด็กเลย ต่อให้เป็นผู้ใหญ่ก็ยังคงมองเห็นมันก่อนสิ่งใดแน่ คนทั้งหลายพลันมีความรู้สึกอันแปลกประหลาดเกิดขึ้นมา

 

 

หากเด็กผู้ชายหยิบพวกผกานี้ขึ้นมา เช่นนั้นผู้คนคงได้ขบขันเป็นการใหญ่แน่แล้ว

 

 

หลัวเทียนเฉิงหน้าขรึมขึ้นมาทันที เขาหันไปชำเลืองมองเจินจิ้งคราหนึ่ง

 

 

องค์ชายหกก็มาแล้วเช่นกัน เขากลับไม่รู้สึกอันใดกับเรื่องนี้ ทั้งยังมีรอยยิ้มจางๆ ติดอยู่บนมุมปากด้วยซ้ำ

 

 

ตั้งแต่เหตุการณ์ใต้ซุ้มองุ่นในงานเทศกาลชีซีที่ได้กำหนดชะตาชีวิตของนางไปตลอดชีวิตเมื่อปีนั้น ความตึงเครียดที่สุดในชีวิตของนางก็ได้ผ่านไปนานแล้ว เมื่อได้รับสายตาเช่นนั้นจากคนทั้งหลายนางกลับไม่รู้สึกอันใดในใจเลย เพียงเอ่ยตำหนิว่า “ผิงเกอ เจ้าช่างเป็นเด็กดื้อเสียจริง!” แล้วรีบเอ่ยขออภัยต่อหลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยว

 

 

ยามนี้ผิงเกออายุแค่ปีกว่าๆ ยังไม่ถึงสองปีด้วยซ้ำ ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าพูดมากความอีก

 

 

เจินเมี่ยวจ้องพวงผกาสีแดงอันโดดเด่นนั้นแล้วโมโหยิ่งจึงอดถลึงตาใส่เจินจิ้งมิได้ แต่อย่างไรก็มิอาจโกรธเคืองกับเด็กจึงได้แต่กลืนโทสะตนลงท้องไป นางยิ้มแล้วตบหลังอี้เกอคราหนึ่ง “อี้เกอเด็กดี ไปหยิบของเร็ว”

 

 

อี้เกอมิได้ว่องไวปราดเปรียวเหมือนพี่ชาย เมื่อได้รับการกระตุ้นจากมารดา ขาอ้วนอวบนั้นจึงขยับเคลื่อนไป แต่คลานอยู่เป็นนานก็มิถึงเสียทีจึงนั่งลงกับพรมไม่ขยับไปไหนอีก

 

 

“แหะๆ” มีคนอดส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบาออกมามิได้

 

 

เจินเมี่ยวหน้าเห่อร้อนขึ้นมา นางยื่นมือไปตบก้นอี้เกอคราหนึ่ง “อี้เกอ คลานเร็ว!”

 

 

อี้เกอขยับยกย้ายก้นเล็กๆ ของตน แล้ว…นั่งลงไปบนมือเจินเมี่ยวทันที

 

 

“ฮ่าๆ” ครานี้คนทั้งหลายจึงหัวเราะออกมาอย่างมิอาจอดกลั้นได้อีก

 

 

เจินเมี่ยวหน้าแดงไปหมดแล้ว นางจึงอุ้มอี้เกอตัวอ้วนไปวางไว้บนโต๊ะเสียเลย

 

 

เห็นชัดว่าอี้เกอเป็นเด็กมีอุปนิสัยเอื่อยเฉื่อย ทั้งที่มีของวางอยู่บนโต๊ะมากมายเขากลับไม่รีบร้อนอันใด เขายื่นแขนน้อยๆ อ้วนป้อมดั่งรากบัวของตนควานเล่นไปเรื่อย สุดท้ายจึงหยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วกัดกินทันที

 

 

ขนมชิ้นนี้เจินเมี่ยวทำเองกับมือ มันทีส่วนผสมของนมวัวและไข่ไก่จึงทั้งนิ่มทั้งหอม ขนมสีขาวชิ้นเล็กนี้วางอยู่บนจานหยกสีเขียวขนาดเท่ากำปั้น แต่เด็กตัวอ้วนผู้นี้กลับหามันเจอ!

 

 

เจินเมี่ยวกับหลัวเทียนเฉิงมองหน้ากัน

 

 

สายตาของหลัวเทียนเฉิงผู้เป็นบิดาของเด็กน้อยกำลังพูดว่า “ผู้ใดให้เจ้าทำขนมที่หอมน่ากินเช่นนั้นมาเล่า!”

 

 

สายตาของเจินเมี่ยวผู้เป็นมารดาแฝงด้วยความจนใจ “การเสี่ยงทายเช่นนี้ต้องมีของกินด้วย ข้าเลือกทำขนมชิ้นเล็กๆ เพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น ทั้งยังวางไว้บนจานใบเล็กนิดเดียว แต่บุตรชายจอมตะกละของท่านก็ยังหาเจอจนได้”

 

 

อี้เกอพูดไม่เก่งเท่าพี่ชาย แต่ฟันกลับเกิดเร็วยิ่ง ยามนี้เสียงเกอมีฟันแค่หกซี่ แต่เขามีถึงแปดซี่แล้ว เมื่อกินขนมชิ้นเล็กอย่างตะกละตะกลามหมดแล้ว เขาก็เริ่มหันไปควานหาของต่อ

 

 

เมื่อเศษขนมที่ติดอยู่ตรงมุมปากของบุตรชาย เจินเมี่ยวก็นึกเสียใจขึ้นมา

 

 

นางกลัวว่าเด็กน้อยจะฉี่ราดในพิธีเสี่ยงทายจึงมิกล้าให้เขากินดื่มอันใดมากนัก หากรู้ว่าเขาจะกระเพาะใหญ่เพียงนี้ นางคงให้เขากินจนอิ่มเสียก่อน

 

 

อี้เกอมองไปโดยรอบแล้วพวงผกาสีแดงสดใสนั้นก็สะท้อนเข้าไปในม่านตาเขา เด็กตัวอ้วนกลมโค้งตัวยื่นมือออกไปหยิบพวงผกาขึ้นมาในมือ

 

 

เด็กน้อยตัวอ้วนที่มุมปากยังมีเศษขนมติดอยู่ ส่วนมือก็ถือพวงผกาชิ้นหนึ่งไว้ ความหมายของภาพที่ได้เห็นนี้…มิต้องเอ่ยอันใดให้มากความเลยจริงๆ

 

 

นี่มันคือบุตรเศรษฐีที่วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นสำราญชัดๆ!

 

 

บิดาเขาถึงกับหน้าเปลี่ยนสีไปทันที คนที่รายล้อมอยู่ต่างไม่มีผู้ใดกล้าพูด แต่ละคนล้วนมีสายตาที่แตกต่างกันออกไป

 

 

เจินเมี่ยวทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงกลอกตาให้เจินเจิ้งคราหนึ่ง

 

 

คิดไม่ถึงว่าอี้เกอกลับหันไปมองตามสายตามารดาตนแล้วคลานต้วมเตี้ยมไปหยุดตรงหน้าเจินจิ้ง เขายื่นมือส่งพวงผกาให้กับผิงเกอที่อยู่ด้านข้างนาง

 

 

ผิงเกอรับพวงพกานั้นมาแล้วยิ้มร่าทันที ทั้งยังขยับเข้าไปหอมแก้มอี้เกออีกด้วย

 

 

เจินจิ้งถึงกับหน้าเปลี่ยนสีไปทันที นางแทบพ่นโลหิตออกมาด้วยซ้ำ

 

 

เด็กปีศาจนี้มาจากที่ใดกัน เขาถึงกับ…ถึงกับเอาพวงผกานั้นมาคืนให้ผิงเกอ หรือเขาจำได้ว่าผิงเกอเป็นคนโยนลงไปบนโต๊ะ

 

 

ที่น่าขายหน้าไปกว่านั้นคือผิงเกอกับดีใจที่ได้พวงผกาคืนจนถึงกับหอมแก้มเด็กปีศาจนั่น หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ย่อมไม่ส่งผลดีต่อเขาในภายหน้าแน่!

 

 

เจินเมี่ยวกระตุกมุมปากขึ้นคราหนึ่ง หากหัวเราะออกมาคงมิดีแน่ นางจึงรีบหลุบม่านตาลงแล้วหยิกตนเองไว้

 

 

เด็กปีศาจที่เจินจิ้งพูดถึงกับไม่รู้ว่าตนได้ทำเรื่องอันน่าตกใจอันใดลงไป ยามนี้มือของเขาจึงยังคงว่างเปล่า แต่สุดท้ายก็คว้าเอาเงินตำลึงทองไว้ไม่ยอมปล่อย เจินเมี่ยวสงสัยมากจริงๆ ว่าที่เขาจับไม่ปล่อยเพราะมันหน้าตาเหมือนขนมที่นางเคยทำให้ทั้งสองกินบ่อยๆ หรือไม่

 

 

การเสี่ยงทายอันวุ่นวายครั้งนี้ได้ผ่านไปในที่สุด คนทั้งหลายต่างแยกย้ายกัน

 

 

เจินจิ้งรู้สึกว่าตนเสียหน้าอย่างยิ่ง เมื่อกลับจวนไปจึงล้มป่วยอยู่ระยะหนึ่งจึงกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติได้ แต่เรื่องนี้มิจำเป็นต้องเอ่ยถึงอีก

 

 

ณ เรือนชิงเฟิง

 

 

เมื่อยามราตรีมาเยือน หลัวเทียนเฉิงก็โอบภรรยาตนไว้พลางพูดคุยถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน “โชคดีที่อี้เกอฉลาด คิดไม่ถึงว่าจะเอาพวงผกาไปคืน มิเช่นนั้นต่อไปคงต้องถูกพูดลับหลังไปตลอดว่าหยิบของสตรีมาเล่นเป็นแน่ เจี๋ยวเจี่ยว เจ้ายังจะบอกว่าอี้เกอไม่ฉลาดเท่าเสียงเกออีกหรือ ข้าว่าเขาแค่ฉลาดแต่แสร้งโง่มากกว่า”

 

 

เจินเมี่ยวขัดขึ้นทันที “ฉลาดแต่แสร้งโง่อันใดกัน ข้าไม่ชอบที่เขาอ้วนจึงมักโยนของให้เขาไปเก็บกลับมาให้เสมอ หากเขาทำได้ก็จะให้รางวัลเป็นขนม เขาคงคิดว่าผิงเกอเล่นกับเขามากกว่า ท่านไม่เห็นหรือว่าตอนเอาไปคืนแล้วผิงเกอมิให้ขนมกับเขา เขาก็มีท่าทีหงุดหงิดไม่ชอบใจอยู่ตลอด”