EG บทที่ 682 สาดสงครามผ่านสื่อ

 

<ความภูมิใจของจีนหรือความอับอายของจีนกันแน่?>

<ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตดูถูกคนอื่น!>

<ข้อพิพาทระหว่างประเทศเกิดจากข้อพิพาททางธุรกิจ!>

นี่คือหัวข่าวที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วประเทศจีนแม้แต่สถานีวิทยุก็หยิบเรื่องนี้ไปพูดถึงเช่นกัน นี่ไม่ใช่ความขัดแย้งทางธุรกิจอีกต่อไปเพราะมันได้กลายเป็นข้อพิพาทที่รุนแรงระหว่างสองประเทศไปแล้ว!

ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นเครือธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนและยังทำให้ธุรกิจห้างสรรพสินค้าท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจในหลายๆมณฑลได้รับผลกระทบ แน่นอนว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับพวกเขายิ่งนัก

เมื่อสถานการณ์ของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตตกในอยู่ในวิกฤติก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาอยากจะให้ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตถูกโค่นลง ก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้นพวกเขาไม่สามารถหาวิธีกำจัดไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตลงได้แต่ตอนนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะทำได้แล้ว  พวกเขาก็แค่ต้องไหลไปตามน้ำและใส่ไฟให้ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตปวดหัวหนักยิ่งกว่าเดิม ห้างสรรพสินค้าของพวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ได้และถ้าพวกเขาโชคดีกว่านี้ก็อาจจะดึงลูกค้าของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตมาที่พวกเขาได้เช่นกัน

สื่อไม่ได้คิดที่จะนำเสนอเพียงด้านเดียวเท่านั้น สื่อบางเจ้าก็คิดที่จะตีพิมพ์บทความที่ต่างออกไปเช่นกัน หนึ่งในนั้นก็คือหนังสือพิมพ์ ‘ข่าวเพื่อประชาชน’ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ประจำชาตินั่นเอง

บทความที่ระบุในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้กล่าวไว้ว่าเหตุการณ์นี้ยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบและประชาชนไม่ควรฟังข่าวเพียงด้านเดียวและสรุปทันทีว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นฝ่ายผิด นอกจากนี้ไม่ว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจะเป็นฝ่ายผิดหรือไม่ฝ่ายบริหารเมืองปักกิ่งก็ไม่มีเหตุผลหรือหน้าที่ที่จะต้องไปขอโทษรัฐบาลญี่ปุ่น! หากพบว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นฝ่ายถูกแล้วล่ะก็? บริษัทญี่ปุ่นเหล่านั้นต่างหากที่ต้องออกมาขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น!

บทความนี้ไม่ได้พูดถึงรัฐบาลญี่ปุ่นในทางเสียหายแต่ถ้าบริษัทญี่ปุ่นเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลญี่ปุ่นและผลปรากฏว่าบริษัทญี่ปุ่นเหล่านั้นต้องออกมาขอโทษก็เท่ากับเป็นการตบหน้ารัฐบาลญี่ปุ่นอย่างแรง! นี่เป็นเพียงการประเมินเหตุการณ์เบื้องต้นเท่านั้น หากมีข้อพิสูจน์ว่าบริษัทเหล่านั้นกล่าวหาไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างไม่ถูกต้อง? รัฐบาลญี่ปุ่นก็ต้องเข้ามารับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!

แม้ว่าหนังสือพิมพ์‘ข่าวเพื่อประชาชน’จะตีบทความเหล่านี้ออกมาก็ไม่ได้มีอิทธิพลเท่ากับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นหลายๆฉบับ หน่วยงานท้องถิ่นใช้อิทธิพลกดดันพวกเขาควบคู่ไปกับเม็ดเงินที่บริษัทญี่ปุ่นเหล่านั้นจ่ายให้ทำให้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นหลายๆฉบับเขียนบทความเข้าข้างบริษัทญี่ปุ่นอย่างพร้อมเพรียง

ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตทำลายชื่อเสียงของประเทศแต่พวกเขาก็ยังต้องการที่จะซื้อของในไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเช่นเดิมเพราะสินค้ามีราคาถูกกว่าที่อื่น

เฝิงหยู่มองกองหนังสือพิมพ์ที่อยู่บนโต๊ะของตนเองก่อนจะหัวเราะเยาะออกมา

ยิ่งหนังสือพิมพ์เหล่านี้ตีพิมพ์บทความโจมตีไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งเจ็บตัวกันมากเท่านั้นหากรัฐมนตรีจู้ออกโรงมาปกป้องและสนับสนุนไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต! แน่นอนว่าเฝิงหยู่คงไม่มานั่งอยู่เฉยๆในขณะที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตถูกโจมตีเช่นนี้ หากพูดถึงการเขียนหัวข้อโจมตีผ่านสื่อแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเช่นกัน

มันเป็นเพียงการเขียนบทความและสร้างข่าวขึ้นมาเท่านั้น เฝิงหยู่เคยผ่านยุคอินเตอร์เน็ตมาแล้วและมันก็เต็มไปด้วยการเขียนบทความต่างๆมากมายทั้งดีและไม่ดีเต็มไปหมด การสาดสงครามผ่านสื่อเช่นนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเฝิงหยู่เลยสักนิด

<ทำไมถึงพากันเชื่อข้อกล่าวหาเช่นนี้?>

<พลเมืองชั้นหนึ่ง=ชาวต่างชาติ พลเมืองชั้นสอง=ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ พลเมืองชั้นสาม=ชนกลุ่มน้อย พลเมืองชั้นสี่=ชาวฮั่น สิ่งนี้คือความจริงหรือไม่?>

<การปล้นแผ่นดินจีนจากบริษัทญี่ปุ่น!>

<เหตุใดไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจึงเลือกที่จะปฏิเสธบริษัทเหล่านั้น?>

จีนยังคงเป็นสังคมอนุรักษ์นิยมแบบเก่าหรือไม่? ทำไมผู้คนต่างคิดว่าการกระทำของชาวต่างชาติเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ? ทำไมชาวต่างชาติถึงได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าและอยู่ในฐานะที่สูงกว่าคนในประเทศตัวเอง?

เมื่อใครก็ตามที่ถูกผู้อื่นกล่าวหาว่าเป็นคนก่ออาชญากรรมและผู้พิพากษาเลือกที่จะตัดสินโดยการใช้หลักฐานเพียงฝั่งเดียวและไม่ต้องการหลักฐานอื่นๆย่อมหมายความว่าใครก็ตามที่เป็นฝ่ายเริ่มคดีจะเป็นคนชนะไป!

การหลับหูหลับตาเชื่อและช่วยเหลือชาวต่างชาติเพียงอย่างเดียวถือเป็นสิ่งที่แย่มาก สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือเจ้าหน้าที่รัฐบางคนกำลังเอื้อประโยชน์ให้กับชาวต่างชาติ พวกเขาถือเป็นรากเหง้าของปัญหาเหล่านี้และทำให้คนอื่นๆที่อยู่ใต้ปกครองต้องเดินตามรอยพวกเขาต่อไปเรื่อยๆ นี่ทุกคนพากันคิดว่าหญ้าอีกข้างหนึ่งของรั้วมักจะเขียวกว่าด้านที่เราอยู่เสมอหรืออย่างไร? [1]

คนที่ให้ประโยชน์สูงสุดกับประเทศนี้ก็คนจีนไม่ใช่ชาวต่างชาติ! ชาวต่างชาติพวกนั้นมาที่จีนก็เพื่อลงทุนทำธุรกิจและหากำไรเพียงเท่านั้น พวกเขาไม่ได้ช่วยเหลือเราแต่อย่างใด!

พวกเขาไม่ได้มาที่จีนเพื่อสร้างประโยชน์อะไรให้กับแผ่นดินนี้ พวกเขาต่างเป็นนักธุรกิจกันทั้งนั้นซึ่งนักธุรกิจก็คิดเพียงแค่ทำอย่างไรจะสามารถกอบโกยรายได้จากแผ่นดินนี้ให้ได้มากที่สุด!

ชาวต่างชาติมักอ้างว่าพวกเขาช่วยเรากำจัดขยะและขายผลิตภัณฑ์ที่ถูกกว่าให้กับเรา ทั้งหมดนี้ต่างเป็นเรื่องโกหก! บริษัทญี่ปุ่นเรียกทรัพยากรที่หายากของเราว่า‘ขยะ’และซื้อมันไปจากเรา พวกเขานำขยะเหล่านี้ไปผ่านกระบวนการผลิตให้เป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ก่อนที่จะขายชิ้นส่วนเหล่านี้กลับมาให้เรา ต้นทุนการผลิตของพวกเขาน้อยแต่กลับตั้งราคาเกินจริงเพื่อขูดรีดเรา!

กระบวนการผลิตเหล่านั้นมันยากจริงๆเหรอ? ประเทศของเราเองก็สามารถนำทรัพยากรหายากเหล่านี้มาปรับปรุงและพัฒนาขึ้นเองได้เช่นกันแต่เราไม่เคยตระหนักถึงเรื่องนี้มาก่อน พอรู้ตัวว่ามันเกิดอะไรขึ้นสิ่งนี้ก็ถูกดำเนินมาหลายปีแล้ว

‘ความเท่าเทียมและความยุติธรรม’คือสิ่งที่ไท้หัวซุปเอร์มาร์เก็ตให้ความสำคัญมากที่สุด บริษัทใดก็ตามที่ประสงค์จะเข้าร่วมธุรกิจกับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมและเท่าเทียมกันทุกฝ่าย

ตัวแทนของโซนี่ โตชิบาและบริษัทที่เหลือได้เดินทางมาที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็เพื่อเรียกร้องสิทธิพิเศษเหนือคนอื่นๆ พวกเขาต่างคิดว่าผลิตภัณฑ์ของญี่ปุ่นดีกว่าของประเทศอื่นๆและไม่จำเป็นต้องยื่นข้อเสนอเพื่อตอบแทนไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเช่นกัน พวกเขาคิดว่าบริษัทญี่ปุ่นของพวกเขามีความสำคัญมากกว่าบริษัทอื่นๆทั้งหมด

เหตุผลอย่างหนึ่งที่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตปฏิเสธพวกเขาไปก็เพราะไม่มีที่ว่างสำหรับสินค้าของพวกเขาแล้ว สินค้าของพันธมิตรเราทั้งหมดได้ถูกนำไปจัดวางบนชั้นวางเรียบร้อยแล้ว เราไม่คิดที่จะทำลายสัญญาที่เราทำไว้กับบริษัทอื่นๆด้วยการบีบให้พวกเขานำสินค้าออกจากซุปเปอร์มาร์เก็ตของเราและเลือกให้บริษัทญี่ปุ่นเหล่านั้นทำสินค้ามาวางขายแทนได้ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตมีสินค้านำเข้าหลากหลายแบรนด์ซึ่งเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูงกว่าบริษัทญี่ปุ่นเหล่านั้น ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตมีหน้าที่คัดสรรสินค้าที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา ซึ่งเราจะไม่สนับสนุนสินค้าของบริษัทเหล่านั้นเพียงเพราะพวกเขาคิดว่าสินค้าของตัวเองดีที่สุดในโลก!

.

.

เฝิงหยู่และผู้บริหารระดับสูงได้อ่านบทความจำนวนมากที่ถูกตีพิมพ์ในนิตยสารชั้นนำและหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น บทความเหล่านี้เริ่มเปลี่ยนความเห็นของประชาชนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บทความเหล่านี้ทำให้ยอดขายหนังสือพิมพ์เพิ่มขึ้นซึ่งไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้จ่ายเงินให้กับสำนักข่าวต่างๆเพื่อตีความบทความเหล่านี้เช่นกัน ทำไมสำนักข่าวเหล่านี้ถึงไม่ปฏิเสธพวกเขาล่ะ? ทั้งๆที่มีหน่วยงานท้องถิ่นเข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้แต่สำนักข่าวเหล่านี้ก็ยินดีที่จะตีพิมพ์บทความนี้ออกไป

เนื่องจากเหตุการณ์นี้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นทำให้ฟู่เกิงเฉิง หลี่เซ่อเค่ยและผู้บริหารที่เหลือรีบไปที่ปักกิ่งทันที พวกเขาต้องการหารือกับเฝิงหยู่เพื่อหาวิธีจัดการเรื่องนี้ให้จบโดยเร็วที่สุด

“อาเฝิง..ในหนังสือพิมพ์ตอนนี้ต่างสาดสงครามสู้กันไปมา ดูท่าแล้วจะไม่จบลงง่ายๆ นายมีทางออกให้กับเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดหรือเปล่า?”

หลี่เซ่อเค่ยขมวดคิ้ว การสาดสงครามผ่านสื่อเป็นเรื่องธรรมดาในฮ่องกง มันสามารถเห็นได้ทุกวันในหน้าหนังสือพิมพ์ของพวกเขา

การเขียนข่าวโจมตีหรือทำสงครามน้ำลายผ่านสื่อจะวนเวียนอยู่กับวงการไฮโซ ดารานักร้อง นักธุรกิจ นักการเมือง เป็นต้น อาจมีบทความที่เกี่ยวข้องกับคดีความทางกฎหมายอยู่เช่นกัน รายงานข่าวและบทความที่ถูกตีพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์นั้น ก็เพื่อโน้มน้าวความคิดเห็นของประชาชนให้มาเชื่อตนเอง แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะหาผู้ชนะในสงครามนี้ได้ อีกทั้งยังใช้เวลานานกว่าเรื่องพวกนี้จะจบลง แน่นอนว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่สามารถรอได้นานขนาดนั้นตราบใดที่พวกเขายังต้องสร้างชื่อเสียงของแบรนด์ให้ติดตลาดและต้องขยายกิจการออกไปให้มากกว่านี้

หากชื่อเสียงของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้รับผลกระทบ พวกเขาก็ถือว่าจบเช่นกัน ซุปเปอร์มาร์เก็ตอาจสามารถเปิดใช้บริการต่อไปได้แต่มันก็ยากที่ตั้งสาขาใหม่ขึ้นได้เช่นกัน มณฑลต่างๆที่ต้องการไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็จะไม่กระตือรือร้นและจะไม่ให้เงื่อนไขดีๆแก่พวกเขา

แม้ว่ามันจะต้องเสียภาษีต่อปีเป็นจำนวนไม่น้อยแต่ถ้าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตสามารถได้สัมปทานที่ดินที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเช่นป้ายรถเมล์หรือสถานที่สำคัญต่างๆ มันก็ดูคุ้มค่าและเหมาะที่พัฒนาซุปเปอร์มาร์เก็ตของพวกเขาได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องขึ้นกับภาพลักษณ์ของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเช่นกัน หากพบว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตนำความอับอายมาสู่ประเทศจีน พวกเขาก็อาจไม่ได้รับประโยชน์เหล่านี้และหลายๆมณฑลก็จะไม่เจรจากับพวกเขาอีก

หนึ่งในเหตุผลที่ฟู่เกิงเฉิง หลี่เซ่อเค่ยและคนอื่นๆกลับมาที่ปักกิ่งก็เพราะการเจรจาในแต่ละมณฑลหยุดชะงักลง หลายๆมณฑลเริ่มเรียกร้องข้อเสนอที่หนักขึ้นและหาข้ออ้างเพื่อร่างสัญญาฉบับใหม่ขึ้นทันที มีบางมณฑลที่ยกเลิกการเจรจากับพวกเขาอีกด้วย ทุกคนรู้ดีว่าต่อให้อยู่มณฑลเหล่านี้ต่อไปก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆและพวกเขาก็ควรกลับมาที่ปักกิ่งเพื่อดูว่ามีสิ่งใดที่พวกเขาจะทำเพื่อแก้ไขปัญหานี้ได้บ้าง

หลังจากได้ยินคำถามของหลี่เซ่อเค่ยแล้ว เฝิงหยู่ก็หัวเราะออกมาทันที

“นี่ไม่ใช่ทางเดียวที่เราจะทำหรอกครับ มันเป็นเพียงการกระตุ้นพวกเขาและทำให้พวกเขาตอบโต้เรายากขึ้นก็เท่านั้น!ลองดูข้อมูลนี่สิครับ ผมส่งคนไปรวบรวมข้อมูลพวกนี้มาได้ หากข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนแล้วล่ะก็? พวกคุณคิดว่าเราจะแพ้ในสงครามนี้จริงๆหรือครับ?”

หลี่เซ่อเค่ยและฟู่เกิงเฉิงหยิบเอกสารที่เฝิงหยู่รวบรวมมาได้ขึ้นอ่านทันที ทั้งคู่ตั้งใจอ่านอย่างจริงจังโดยไม่ให้พลาดซักตัวอักษร ยิ่งพวกเขาอ่านก็ยิ่งโกรธหนักกว่าเดิม บริษัทญี่ปุ่นพวกนี้ต้องถูกไล่ออกจากจีนให้หมด!

“หากข้อมูลพวกนี้เป็นความจริง เราไม่มีทางแพ้พวกเขาอย่างแน่นอน! ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าบริษัทญี่ปุ่นพวกนั้นจะทำแบบนี้กับประเทศจีน! พวกเขาคิดว่ามันเป็นอดีตเมื่อหลายสิบปีที่แล้วหรืออย่างไร!?”

ฟู่เกิงเฉิงเอ่ยออกมาด้วยความโมโห

“มันไม่น่าจะพอที่จะทำให้ประชาชนเชื่อเราได้ทั้งหมด บริษัทญี่ปุ่นพวกนั้นอาจอ้างได้ว่าพวกเขาทำทุกอย่างตามข้อบังคับของจีนแล้ว มีแต่ประเทศจีนนี่ล่ะที่ไม่ยอมทำอะไรเลยและมันเป็นเพียงการเรียกร้องตามสิทธิที่พวกเขาควรได้ก็เท่านั้น”

หลี่เซ่อเค่ยชี้ให้เฝิงหยู่เห็นถึงปัญหานี้

“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องอาศัยคนที่มีอำนาจมากกว่านี้ ผมจะติดต่อบริษัทต่างๆที่อยู่ในสภากลางเครื่องเล่นดีวีดีเพื่อขอให้พวกเขาอธิบายเรื่องนี้ให้กับนานาประเทศได้ทราบ และในเวลาเดียวกันก็จะเป็นการปรามโซนี่ โตชิบาและพรรคพวกของพวกเขาได้อีกด้วย ผมคงต้องขอยืมอิทธิพลของพ่อเฮียหลี่เพื่อออกโรงเตือนบริษัทญี่ปุ่นพวกนั้น ยกตัวอย่างเช่นขัดขวางช่องทางการจำหน่ายของพวกเขาโดยจำกัดการส่งออกสินค้าผ่านทางท่าเรือของตระกูลหลี่ ผมยังมีแบ็คที่ใหญ่กว่านี้เช่นกันครับ รัฐบาลจีนสัญญากับผมเอาไว้ว่าจะเข้ามาเจรจากับทางรัฐบาลญี่ปุ่นให้เราครับ”

เฝิงหยู่อธิบายให้กับพวกเขาฟัง

ฟู่เกิงเฉิงและหลี่เซ่อเค่ยพอจะจำได้ว่ามีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจีนเข้าร่วมในพิธีเปิดของไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเช่นกัน คนผู้นี้อาจเป็นคนที่ยื่นมือมาช่วยพวกเขา หากรัฐบาลจีนยินดีที่จะสนับสนุนพวกเขา แน่นอนว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตจะไม่มืทางแพ้เป็นอันขาด

หลี่เซ่อเค่ยหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น

“เดี๋ยวฉันต้องไปคุยกับป๊าก่อน”

“ผมแค่ขอความช่วยเหลือจากประธานหลี่เท่านั้นนะครับ ไม่ได้ตั้งใจที่จะบังคับแต่อย่างใด ผมคิดว่าถ้าประธานหลี่ต้องการที่จะใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน เขาย่อมรู้ดีว่าต้องทำเช่นไร? เราไม่จำเป็นต้องโน้มน้าวใจเขาให้มากเลยครับ! ส่วนเฮียฟู่…เฮียเองก็สามารถบอกลุงของเฮียได้เช่นกัน บอกเขาไปว่าราคาหุ้นของบริษัทพวกนั้นจะลดลงในไม่ช้า นี่ถือเป็นสิ่งที่ดีที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ ขอให้เขาใช้ลูกเล่นทั้งหมดที่มีเพื่อกดราคาหุ้นของบริษัทพวกนั้นลง ”

แม้ว่าราคาหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่เหล่านั้นจะลดลงเพียง 1% แต่การขาดทุนจะสูงถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ! บริษัทเหล่านั้นก็จะพยายามคิดหาวิธีดึงราคาหุ้นของตัวเองกลับขึ้นมา เฝิงหยู่และคนอื่นๆที่เหลือก็จะอาศัยจังหวะนี้ทำกำไรจากสิ่งนี้ได้

“ตกลง! เดี๋ยวฉันจะเอาเรื่องนี้ไปคุยกับลุงฉันเอง”

เฝิงหยู่ยกนิ้วชี้ของตนขึ้นมา

“ผู้ชนะจากสงครามนี้จะถูกประกาศภายในหนึ่งสัปดาห์!”

[1] เป็นคำคมภาษาอังกฤษ ‘The grass is always greener on the other side of the fence.’ แปลตรงๆได้ว่า หญ้าอีกข้างหนึ่งของรั้วนั้นมักจะเขียวกว่าด้านที่เราอยู่เสมอ เรามักจะคิดว่าสนามหญ้าของบ้านข้างๆ เขียวกว่า สวยกว่าสนามบ้านตัวเองเสมอ เพราะคนเราไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ และมักจะคิดว่าสิ่งที่คนอื่น “เป็น,อยู่,คือ” ดีกว่าเรา ซึ่งจริงๆ อาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้