“เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้า…” รองแม่ทัพใต้บัญชาเยียลี่ว์ซั่นรีบวิ่งเข้ามาข้างกายแม่ทัพตน พยุงตัวแม่ทัพจากนั้นชี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยโทสะ  

 

 

องค์ชายสี่จ้องเขาตาไม่กระพริบ สีหน้าผ่อนคลาย รอฟังคำพูดต่อไปของอีกฝ่าย 

 

 

รองแม่ทัพเห็นสีหน้าผ่อนคลายเช่นนั้น ทว่าไม่รู้เพราะอะไรถึงได้ตระหนกจนเหงื่อไหล แต่เขายังคงฝืนสงบนิ่ง ยื่นมือออกไปสำรวจลมหายใจของเยียลี่ว์ซั่น พบว่าหมดลมหายใจไปแล้ว 

 

 

ยามนี้เขารู้สึกเดือดดาล “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้ารังแกคนมากเกินไปแล้ว” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วยกมุมปากเล็กน้อย นั่นคือภาพที่ดูงดงามราวปีศาจ เขายกมือขึ้น ดูไปแล้วคล้ายยกมือด้วยความเบาสบาย ลมปราณกลับก่อเกิดอัดแน่นกลางฝ่ามือ พุ่งไปทางรองแม่ทัพ 

 

 

รองแม่ทัพผู้นั้นล้มกระแทกพื้น กระอักเลือดสดๆ ออกมา นิ่งไม่ขยับ นัยน์ตาอัดแน่นไปด้วยความเดือดดาลถลึงมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างเกรี้ยวกราด เขารู้ถึงความสามารถของปีศาจตนนี้ ไม่เช่นนั้นเพียงแค่สองกระบวนท่าก็คงไม่อาจเอาชีวิตท่านแม่ทัพได้ แต่ท่านแม่ทัพมีบุญคุณต่อเขา เขาทนไม่ไหวจริงๆ   

 

 

องค์ชายสี่หาได้ใส่ใจแววตาเดือดดาลของเขาสักน้อย  

 

 

เมื่อเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถอนสายตากลับอย่างไม่ใส่ใจ มองหัวหน้าทหารข้างกายเขา “ไป ไปแยกร่างเยียลี่ว์ซั่นซะ”  

 

 

หัวหน้าทหาร “…เอ๋?” 

 

 

เขามองศพเยียลี่ว์ซั่น รู้สึกแปลกประหลาด ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแยกร่างศพด้วย เตี้ยนเซี่ยมีความแค้นล้ำลึกกับเยียลี่ว์ซั่นผู้นั้นจริงๆ หรือ  

 

 

รองแม่ทัพของเยียลี่ว์ซั่นโมโหจนลมหายใจสะดุด ชี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน “เจ้า…”   

 

 

เขากลับเห็นปีศาจตนนั้นเอ่ยปากอย่างช้าๆ ว่า “พวกเจ้าก็ได้ฟังแล้ว เขาบอกว่าเยี่ยนรังแกคนมากเกินไป แต่มาถึงบัดนี้เยี่ยนแค่เอาชีวิตคนผู้หนึ่งเท่านั้น เยี่ยน ‘รังแก’ คนก็ช่างเถอะ แต่หาได้ ‘มากเกินไป’ สักน้อย เยี่ยนเป็นคนมีเมตตามาก เพื่อไม่ให้เขาต้องแบกรับชื่อเสียงเสียหายจากการกล่าวคำโกหกเกินจริง เยี่ยนทำได้แต่แยกศพของเยียลี่ว์ซั่น เพื่อกันไม่ให้เขาถูกคนวิจารณ์ว่าพูดจาไม่…”    

 

 

 “อึก…” รองแม่ทัพผู้นั้นกระอักเลือดออกมา สีหน้าแดงก่ำ ทั้งรู้สึกว่าตนไม่ต้องรอให้มีน้ำโห ก็สามารถสำรอกเลือดออกมาได้อีกคำแล้ว 

 

 

ปีศาจตนนี้ต้องการแยกร่างแม่ทัพผู้มีบุญคุณหนักแน่นดั่งขุนเขากับเขา ยังพูดว่าทำไปเพราะคิดถึงชื่อเสียงของเขาอีกหรือ 

 

 

หัวหน้าทหารลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในใจใคร่ครวญว่าการแยกศพนั้นจะทำเกินไปหรือเปล่า ทว่าเมื่อคิดถึงคนต้ามั่วฆ่าคนวางเพลิงชิงเสบียงที่แผ่นดินเป่ยเฉิน ชาวบ้านของเป่ยเฉินตายไปจำนวนไม่น้อย 

 

 

นัยน์ตาของเขาแดงก่ำด้วยความโมโห คิดอยากสับร่างคนเหล่านี้เป็นหมื่นชิ้นถึงยินดี 

 

 

เขาพลิกกายลงจากม้า ไปแยกศพ 

 

 

รองแม่ทัพบาดเจ็บนอนอยู่บนพื้นขยับไม่ได้ ยามนี้เขาจ้องมองภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า โมโหเสียจนดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด แต่ก็ไร้ความสามารถ 

 

 

บุรุษต้ามั่วนิสัยเลือดร้อนหลายสิบคนทนดูไม่ไหวอีก ต่อให้หวาดกลัวเพียงใด ก็ก้าวออกมา คิดเข้าไปหยุดหัวหน้าทหารผู้นั้น 

 

 

แต่พวกเขาเพิ่งก้าวออกจากแถว พลันมีกระแสลมรุนแรง กักขาพวกเขาไว้จากพื้น ทำให้พวกเขาขยับไม่ได้ 

 

 

พวกเขาไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนลงมือ 

 

 

มีคนหันหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กัดฟันเอ่ย “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้ามันคือปีศาจฆ่าคนไม่กระพริบตา แน่จริงก็ฆ่าพวกเราให้หมด เจ้า…” 

 

 

 “พลั่ก” เสียงดังขึ้น 

 

 

ร่างของเหล่าทหารสิบกว่าคนนี้ ถึงกับถูกพลังปราณบนพื้นรัดไว้ จากนั้นระเบิดออก 

 

 

เลือดสดไหลนอง ร่างกายแหลกเหลวอยู่บนพื้นดิน 

 

 

ทหารผู้นั้นบอกว่าหาก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแน่จริงก็ฆ่าพวกเขาเสีย พูดเพิ่งจบก็ถูกฆ่าจนหมดจริงๆ สายตาที่ทุกคนมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนล้วนหวาดกลัวมาก แม้กระทั่งทหารของราชสำนักเป่ยเฉินมองภาพคาวเลือดฉากนี้แล้ว ยังรู้สึกชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ 

 

 

 ส่วนปีศาจผู้ลงมือนั้น แม้แต่มือยังไม่กระดิกสักน้อย มองไล่ไปยังเหล่าทหารต้ามั่ว ยิ้มจางเอ่ยว่า “หรือว่าโลกที่ไร้แก่นสารใบนี้ ยังมีคนโง่งมคิดว่าเยี่ยนไม่สามารถฆ่าคนได้อีก” 

 

 

จากนั้นเยียลี่ว์ซั่นถูกแยกร่าง ไม่อาจย้อนคืนได้อีก 

 

 

เหล่าทหารต้ามั่วโมโหแทบตาย แต่เมื่อมองเลือดนองทั่วพื้น รู้ดีว่าตนก้าวออกไปก็เท่ากับหาที่ตายเปล่าๆ ดังนั้นไม่มีใครขยับสักคนเดียว 

 

 

หัวหน้าทหารผู้ที่แยกร่างศพออกเสร็จแล้วฝืนเดินกลับไปข้างกายเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ในใจเขาเต็มไปด้วยความประหวั่น เหล่าทหารต้ามั่วขึ้นชื่อเรื่องความเลือดร้อน ตามหลักแล้วในเวลานี้สมควรไม่สนใจชีวิตจู่โจม แต่สถานการณ์ตอนนี้… 

 

 

องค์ชายสี่ช่างสามารถทำให้พวกที่มีนิสัยเลือดลมร้อนแรงเหมือนไม่ต้องการชีวิตกลายเป็นพวกไร้ความกล้าหาญไปได้  

 

 

เคราะห์ดีที่คนตรงหน้าไม่ใช่ศัตรู 

 

 

ถัดมาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองทหารต้ามั่ว น้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้พวกเจ้าไปได้แล้ว แน่นอนว่าหากพวกเจ้ายินดีรั้งอยู่…” 

 

 

 “ขอตัว” 

 

 

 “ลาก่อน” 

 

 

 “ไว้พบกันใหม่” 

 

 

เหล่าทหารต้ามั่วถูกปีศาจทำให้ตกใจจนสติหลุดไปแต่แรก ถึงกระทั่งลืมไปแล้วว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู ก่อนจากไปยังกำหมัดเคารพ เอ่ยอำลาว่าตนจะไปแล้ว 

 

 

คนทั้งหมดเอ่ยจบ หมุนตัวจากไปราวสายลมพัด บางคนขี่ม้า บางคนวิ่ง หลงเหลือเพียงฝุ่นตลบไปทั่ว 

 

 

มีทหารหลายสิบคนพลันคิดได้ว่ารองแม่ทัพของเขาถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ยังนอนอยู่ที่พื้นไม่อาจเขยื้อน พวกเขารีบส่งคนกลับมาสองคน แบกร่างแม่ทัพของตนกลับไปราวกับแบกหมูตาย… 

 

 

องค์ชายสี่มองร่องรอยขนาดใหญ่ที่รองแม่ทัพผู้นั้นทำไว้ที่พื้น มองอวี้เหว่ย ถามเนิบๆ “อวี้เหว่ย เจ้าว่าทำไมพวกเขาถึงหาม้าให้รองแม่ทัพของตนสักตัวกัน” 

 

 

อวี้เหว่ยหน้าชา “เพราะว่าพวกเขาถูกท่านทำให้ตกใจจนโง่งมไปแล้ว” 

 

 

หัวหน้าทหารด้านหลังเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยปาก “เตี้ยนเซี่ย ไฉนไม่ฆ่าพวกเขาให้หมด พวกเขาเป็นมังกรไร้หัว ยามนี้ปล่อยพวกเขาไปแล้ว…” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบอย่างน่าฟังว่า “ก็เพราะองค์ชายอย่างข้ามีความรักและใจกว้างต่อมนุษย์น่ะสิ” 

 

 

คนทั้งหมด “…?” 

 

 

คนทั้งหลายตระหนักได้ปรายตามองร่างกายแหลกเหลวบนพื้น ซ้ำยังมีศพที่ถูกแยกร่างของเยียลี่ว์ซั่น นั่นคือความรักและความใจกว้างของเตี้ยนเซี่ยหรือ 

 

 

อวี้เหว่ยกลอกตา “คงกลัวว่าจะเสียเวลาไปรับแม่นางผู้นั้นมากกว่า”      

 

 

เขาเอ่ยประโยคนี้ออกไป ก็เท่ากับไม่ไว้หน้าให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน  ดังนั้นคนทั้งหมดคิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะกำจัดเขา 

 

 

ไม่คิดว่าเมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง มองอวี้เหว่ยอย่างชื่นชม เอ่ยเสียงน่าฟัง “วิเคราะห์ได้ดี” 

 

 

อวี้เหว่ย “…” 

 

 

คนทั้งหมดหน้าชา ทว่าขากลับสั่น ไม่กล้าเอ่ยอะไร  ขอเพียงแค่พวกเขามองหน้าองค์ชายสี่ ไม่ว่าเป็นเวลาใด ก็ล้วนขาสั่นอย่างอดไม่ไหว พวกเขาตัวสั่นมาหลายวันแล้ว… 

 

 

ในไม่ช้าภายใต้รัศมีของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กองทัพทหารที่ยิ่งใหญ่ทรงอานุภาพก็หวาดกลัวจนขาสั่น มุ่งหน้าไปทางเยี่ยเม่ยอย่างพร้อมเพรียงกัน  

 

 

   …… 

 

 

หน้ากระโจมเยียลี่ว์ซั่น ทหารหลายพันลงกองอยู่ที่พื้น  

 

 

ส่วนเยี่ยเม่ยยืนอยู่กลางวง 

 

 

สายตาคนทั้งหมดมองเยี่ยเม่ยล้วนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พวกเขาต่างคิดไม่ถึงว่าสตรีที่รูปงามดูเปราะบาง ร้ายกาจถึงเพียงนี้ อาศัยมีดสั้นเล่มเดียวจู่โจมพวกเขาได้มากขนาดนี้ 

 

 

สายตาลู่หวานหว่านทอประกายหวาดกลัว มองทิศตะวันออกเฉียงใต้อย่างร้อนรน ทว่ายังไม่เห็นกองหนุน นางลนลานไปชั่วครู่ ถอยร่นไปสองก้าว 

 

 

เยี่ยเม่ยสีหน้าเย็นชา เดินมาด้านหน้า มีดสั้นที่เพิ่งจัดการเหล่าทหารไป ยังอยู่ในมือนาง 

 

 

นางจ้องลู่หวานหว่าน เสียงเย็นชา “ตอนนี้ไสหัวไปได้หรือยัง”