ลู่หวานหว่านตัวสั่นมองไปรอบๆ กัดฟันเอ่ย “ข้าคืออนุคนโปรดของท่านแม่ทัพเยียลี่ว์ซั่น หากเจ้ากล้าแตะต้องข้า กล้า…” 

 

 

เยี่ยเม่ยตัดบท “เจ้าลองดูก็ได้ว่า ข้ากล้าหรือไม่”  

 

 

เยี่ยเม่ยพูดจบก็พุ่งทะลวงกระโจมเข้าไป 

 

 

ลู่หวานหว่านเข้ามาขวางทาง เล็บคมกางออกมาตะกรุยใส่เยี่ยเม่ย นางชะงักฝีเท้า เบี่ยงกายหลบ ลู่หวานหว่านล้มลงข้างเท้าเยี่ยเม่ย  

 

 

ลู่หวานหว่านเงยหน้าขึ้นตวาดด่า “เจ้ามันสารเลว เจ้า…” 

 

 

เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว มีดสั้นในมือยกขึ้น ความอดทนของนางหมดไปแล้ว คมมีดพุ่งตรงไปที่เหนือศีรษะของสตรีผู้นั้น 

 

 

สายตาลู่หวานหว่านเผยความหวาดกลัว ทว่ายังปากแข็ง “เจ้ากล้าฆ่าข้า เจ้าก็…” 

 

 

มีดสั้นในมือเยี่ยเม่ยแทงลงไปที่นางอย่างแรง 

 

 

ลู่หวานหว่านเบิกตา ซุ่มเสียงขาดหายไปในทันที รอรับความตาย 

 

 

แต่เกือบในขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงร้องเด็กทารกดังออกมาจากในกระโจม เยี่ยเม่ยชะงักไป เสี้ยววินาทีนั้น เท้าเตะลู่หวานหว่านไปอีกทาง มีดสั้นปักลงพื้น ไม่ทำร้ายลู่หวานหว่าน 

 

 

ทว่าลู่หวานหว่านยังถูกนางเตะ กระดูกสะบักเจ็บปวดแสนสาหัส ส่งเสียงร้องโหยหวน “อ้าก…” 

 

 

คราวนี้สายตาที่นางมองเยี่ยเม่ยคล้ายกับมองปีศาจ ไม่กล้าเอ่ยวาจาทิ่มแทงเยี่ยเม่ยอีกต่อไป 

 

 

เยี่ยเม่ยปรายตามองนาง คุกเข่าดึงมีดสั้นที่ปักพื้นขึ้นมา เสียงเย็นชากล่าว “ข้ามาเพื่อทวงความยุติธรรมให้เด็กเหล่านั้น ไม่ประสงค์จะทำลายชีวิตเด็กคนอื่น เจ้าสมควรขอบคุณที่เสียงร้องไห้ของลูกเจ้าช่วยเจ้าไว้ ไม่เช่นนั้นอาศัยที่เจ้าด่าข้า เจ้าก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว” 

 

 

สิ้นเสียง นางเปิดม่านเดินเข้ากระโจมไป 

 

 

ลู่หวานหว่านเดินออกมาจากเงาแห่งความตาย ยังพูดออกอีกที่ไหนกัน เวลานี้นางไม่กล้าส่งเสียง เพียงแต่จ้องเยี่ยเม่ยเดินเข้ากระโจมของตนเขม็ง หน้าตาซีดเซียวทั้งพูดไม่ออก 

 

 

   … 

 

 

ห่างออกไปยี่สิบลี้ 

 

 

ในทัพใหญ่ นายทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามา “รายงาน”  

 

 

ทหารทั้งหมดยืนนิ่งตรงเป็นระเบียบ บุรุษที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดอายุราวสามสี่สิบปี ไว้หนวดเคราหนา หันมองนายทหารผู้นั้น 

 

 

หลังจากทหารผู้นั้นเข้ามาแล้วคุกเข่าลง “โย่วอี้อ๋อง ไม่ดีแล้ว เกิดเรื่องแล้ว”  

 

 

ยามนี้หวันเหยียนหงขมวดคิ้ว มองทหารผู้นั้น “เกิดเรื่องอะไร” 

 

 

 “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฆ่าแม่ทัพเยียลี่ว์ซั่น ซ้ำยังทำร้ายรองแม่ทัพบาดเจ็บ เวลานี้เขามุ่งหน้าไปค่ายทหารของพวกเรา เป้าหมายคล้ายอยู่ที่ค่ายของแม่ทัพเยียลี่ว์ซั่น” นายทหารรีบรายงาน  

 

 

หวันเหยียนหงขมวดคิ้ว “อะไรนะ” 

 

 

สิ้นเสียง นายทหารอีกคนวิ่งเข้ามา “รายงาน โย่วอี้อ๋อง ค่ายทหารเกิดเรื่องแล้ว มีแม่นางผู้หนึ่งบุกเข้ามา ทหารนับพันของพวกเราเข้าขวางไว้ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ มีคนไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพเยียลี่ว์ซั่น ไม่รู้ว่าทัพเสริมเข้าไปช่วยแล้วหรือไม่” 

 

 

คราวนี้ใบหน้าของหวันเหยียนหงนิ่งลง มุ่นคิ้วถาม “ทัพใหญ่ออกมาแล้วใช่หรือไม่ ในค่ายทหารยังมีใครอีก” 

 

 

นายทหารรีบตอบ “ค่ายทหารเหลือเพียงอนุของแม่ทัพเยียลี่ว์ซั่น ได้ยินว่าญาติของอนุผู้นั้นมาเยี่ยม เพื่อให้พบกันง่าย แม่ทัพเยียลี่ว์ซั่นถึงพานางมาด้วย ทัพใหญ่ออกไปหมดแล้ว แม่ทัพเยียลี่ว์ซั่นเหลือทหารสนิทพันกว่าคนไว้คุ้มกัน”  

 

 

หวันเหยียนหงหลุบตา แสดงออกว่าเข้าใจแล้ว 

 

 

ยังไม่ทันฟังความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เขาก็พลิกตัวขึ้นม้า “ไปค่ายทหาร พวกเราอยู่ไม่ไกลจากค่ายทหาร สมควรไปถึงก่อนเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ส่วนสตรีที่กล้ามากำแหงในค่ายทหารต้ามั่วเรา ต้องเอาชีวิตไว้ให้ได้ ยังมี เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ข้าคิดจะกำจัดเขา”  

 

 

 “ขอรับ” 

 

 

ทัพใหญ่ติดตามหวันเหยียนหงไป ควบม้ามุ่งสู่ค่ายทหารอย่างรวดเร็ว 

 

 

   …… 

 

 

ภายในกระโจมของลู่หวานหว่าน 

 

 

ลู่จื่อเฟิงเห็นเยี่ยเม่ยเดินเข้ามา ตกใจจนหน้าซีดเผือด ร่นถอยหลังไปหลายก้าวจนกระทั่งก้นกระแทกนั่งลงเก้าอี้ 

 

 

เขามองเยี่ยเม่ยอย่างหวาดกลัว เอ่ยปากเสียงสั่น “อย่า อย่าฆ่าข้า…” 

 

 

เหตุการณ์ด้านนอก ถึงเขาไม่ได้ออกไปด้วย ทว่าได้ยินเสียงเขาก็รู้แล้วว่าคนตั้งมากมายสู้สตรีนางนี้ไม่ได้ อย่างนั้นวันนี้เขายังเหลือทางรอดอีกหรือ 

 

 

เยี่ยเม่ยกวาดตามองในห้อง 

 

 

ทารกอยู่ไม่ไกลออกไปหยุดร้องไห้แล้ว ระยะเวลาเพียงชั่วครู่เด็กน้อยดูดนิ้วตัวเองจนหลับไป 

 

 

เยี่ยเม่ยหันกลับมามองลู่จื่อเฟิง นางคร้านจะเอ่ยวาจากับเขาสักคำ ล้วงพัดออกจากหว่างเอว ซัดออกไปหาลู่จื่อเฟิง 

 

 

พัดหมุนคว้างอยู่กลางอากาศหลายรอบ 

 

 

ภายใต้การหมุนควงของพัดเกิดเป็นเส้นเหมือนลำแสง เคลื่อนตัวท่ามกลางอากาศพุ่งเข้าไปตัดร่างของลู่จื่อเฟิงอย่างแรง หลังจากชั่วเวลานั้น พัดหมุนกลับมายังมือเยี่ยเม่ย  

 

 

               ตลอดกระบวนการนี้ลู่จื่อเฟิงเพียงเบิกตากว้าง ส่งเสียงร้องอยู่ไม่กี่คำ 

 

 

เมื่อกระทำการเสร็จสิ้น เยี่ยเม่ยไม่พูดจาสักคำเดียว ทั้งยังคร้านมองลู่จื่อเฟิงสักน้อย เก็บพัดเข้าข้างเอว หมุนตัวเดินจากไป 

 

 

เดินมาถึงหน้าประตู ลู่หวานหว่านตะกายอยู่บนพื้น ทว่าลุกไม่ขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยดิน คนอยู่ในสภาพน่าเวทนามาก นางใช้สายตาหวาดกลัวมองส่งเยี่ยเม่ยจากไป 

 

 

เยี่ยเม่ยพลิกตัวขึ้นม้า สะบัดแส้เดินทาง 

 

 

ลู่หวานหว่านตะกายขึ้นจากพื้นดินด้วยความยากลำบาก เปิดม่านออกดู เห็นสภาพภายในกระโจม 

 

 

พื้นเต็มไปด้วยเศษเนื้อ หลานชายของตนถูกแยกร่างอยู่ในกระโจม ทั้งเขายังเบิ่งตากว้าง เห็นได้ชัดว่าถูกแยกร่างในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  

 

 

ภาพนี้ทำให้ในใจนางคล้ายถูกมีดเฉือน หวาดกลัวเป็นพันเท่า กลอกตาสิ้นสติไป 

 

 

   …… 

 

 

เยี่ยเม่ยไสม้าออกจากค่ายทหาร 

 

 

ออกมาไม่ไกลทัพใหญ่กำลังมุ่งหน้ามา หวันเหยียนหงเป็นผู้นำ มองเห็นเยี่ยเม่ยและเหล่าทหารที่ล้มกองอยู่ในค่ายมาแต่ไกล 

 

 

เขาสะบัดแส้ม้าชี้ไปที่เยี่ยเม่ย กัดฟันกรอดกล่าวว่า “จับนาง จับสตรีผู้นั้นไว้”