บทที่ 306 สูญเสียความทรงจำ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 306
สูญเสียความทรงจำ

“เฉินสุ่ย เจ้าไปผลักนางทำไม?” หลินหยางไม่ใช่คนที่เลือกปฏิบัติ เขามักจะถามหาเหตุผลก่อนเสมอ

เพราะมู่หรงเสวี่ยเสียเลือดไปมากและสลบไป จึงไม่มีประโยชน์ที่จะถามหาเหตุผลดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงถามจากคนที่อยู่ตรงนี้

“ข้า พูดง่ายๆคือนี่เป็นความผิดของข้าเอง เชิญลงโทษข้าได้เลย!” เฉินสุ่ยก้มหัวเพราะไม่อยากที่จะเห็นสีหน้าของ หลินหยางที่อยู่เบื้องหน้า

ชายคนนี้คือคนที่เขามองเป็นแบบอย่าง เขาอยากที่จะเดินตามรอยชายคนนี้ไปตลอด

“ข้าไม่ลงโทษเจ้าหรอก เมื่อมู่หรงเสวี่ยฟื้นขึ้นมา เจ้าจะต้องมาขอโทษนางด้วยตัวเอง ถ้านางไม่ยกโทษให้เจ้า เจ้าก็ไม่ต้องกลับมาอีก ข้าไม่อยากได้คนที่มาสร้างปัญหาในบ้านของข้า” หลินหยางลุกขึ้นพร้อมด้วยท่าทางที่เย็นชา

“นายท่าน, นายท่าน ข้ารู้ว่าตัวเองผิด…” เฉินสุ่ยตะโกนร้องด้วยความกังวล

อย่างไรก็ตามหลินหยางไม่ได้หันกลับมามองแต่เดินตรงเข้าไปในบ้าน หมอเพื่อจะทำแผลให้มู่หรงเสวี่ยเสร็จ

“เป็นยังไงบ้าง? นางเป็นอะไรหรือเปล่า?” หลินหยางถามอย่างเป็นห่วง

หมอกำลังเก็บกล่องเครื่องมือและพูดออกมาว่า “แผลที่หัวขนาดไม่ใหญ่ มีอาการเสียเลือดไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร เมื่อนางฟื้นขึ้นมาก็อย่าลืมเปลี่ยนผ้าพันแผลให้นางด้วยล่ะ”

“ขอรับท่านหมอ” หลินหยางพูดอย่างสุภาพและส่งสัญญาณให้แม่บ้านที่อยู่ข้างๆเพื่อส่งหมอกลับ
หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว หลินหยางก็เดินไปข้างๆเตียงของมู่หรงเสวี่ยและมองไปที่สีหน้าซีดเผือดของเธอ เขารู้สึกผิดเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น เขาโทษตัวเองที่ลืมไปว่าผู้ชายยุคนี้ไม่เหมือนกับผู้ชายในยุคสมัยใหม่ของพวกเขา ถึงแม้เฉินสุ่ยจะไม่ได้บอก แต่เขาก็เดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“มู่เทียนเป็นอะไร?” ในตอนนี้ เสียงแปลกๆก็ดังมาจากด้านนอกของประตู

หลินหยางหันหัวกลับไป และเห็นว่าเป็นเฟิงจือหลิงยืนกุมหน้าอกอยู่ เขาเดินเข้ามาด้วยอาการกระหืดกระหอบ

“เจ้าเข้ามาได้ยังไง?”

“ข้าได้ยินเสียงดังแล้วลุกขึ้นมาทันได้เห็นหมอออกไปพอดี ข้าคิดว่าคงจะมีอะไรผิดปกติก็เลยเป็นห่วง เลยเดินเข้ามาดูหน่อย” เฟิงจือหลิงเดินเข้ามาและถามด้วยสีหน้ากังวล

สายตาของหลินหยางแวบประกายดำมืด ในหัวใจรู้สึกเยือกเย็น เฟิงจือหลิงคนนี้จะต้องมีอะไรแอบแฝงแน่นอน
“นางไม่เป็นไร เจ้าเองก็เป็นคนไข้เหมือนกัน กลับไปพักเถอะ ที่นี่มีข้าคนเดียวก็พอแล้ว…”

“ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจ ให้ข้าเฝ้านางด้วยเถอะ ต่อให้กลับไปพักข้าก็นอนไม่หลับหรอก” เฟิงจือหลิงเดินไปที่เตียงของมู่หรงและนั่งลงที่เก้าอี้

ไอ้สายสืบคนนี้มันต้องการอะไรกันแน่?! อยากที่จะเอาชนะใจมู่หรงเสวี่ยเพื่อที่จะล้วงความลับหรือไง?! ไม่สิ ในตอนนี้เขาควรที่จะใช้ประโยชน์จากจังหวะนี้แล้วสืบเรื่องสถานการณ์ไม่ใช่เหรอ?!

ทำไมเขาถึงอยากที่จะเข้าใกล้มู่หรงเสวี่ยเพียงลำพังล่ะ? หรือเพราะมู่หรงเสวี่ยมีความลับอะไรที่หวังฉิงสนใจมากกว่าบ้านของผู้ปกครองแห่งดินแดนงั้นเหรอ?!

“มันคงไม่เหมาะเท่าไรมั้งที่ผู้ชายกับผู้หญิงจะอยู่ด้วยกันลำพังในห้อง? ถึงแม้เจ้าจะเป็นเพื่อนของมู่เทียนแต่ข้าก็ไม่เห็นด้วยที่เจ้าจะอยู่ที่นี่ เจ้าคิดจะเอาเปรียบอะไรกับคนป่วยหรือเปล่า?” ตอนที่เขาพูดประโยคสุดท้าย หลินหยางก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและไม่ปิดบังท่าทางตรวจสอบที่มองไปที่เฟิงจือหลิง

เฟิงจือหลิงดูเหมือนจะกระตุกไปชั่วขณะ “เจ้าคิดแบบนี้ได้ยังไง? เราเป็นเหมือนครอบครัวกันมาตลอด ไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลยเป็นความประมาทของข้าเอง ถ้าเป็นแบบนี้งั้นพรุ่งนี้ข้ากลับมาใหม่แล้วกัน” หลังจากที่เงียบไปสักพัก เขาก็พูดเสริมขึ้นมา “ว่าแต่ข้าอยากที่จะออกไปซื้ออะไรข้างนอกหน่อย ที่นี่อยู่ห่างจากตลาดแค่ไหนงั้นเหรอ?” เขาพูดเรียบๆ

“ไม่ไกลเท่าไรแต่แผลของเจ้ายังไม่หายดีที่จะออกไปข้างนอกนะ บอกแม่บ้านแล้วกันว่าเจ้าอยากจะได้อะไรแล้วบอกให้แม่บ้านออกไปซื้อให้” ทนไม่ได้เลยหรือไง?! ไอ้หมอนี่สมควรที่จะเป็นสายลับจริงๆงั้นเหรอ?!

“ไม่ต้องหรอก ข้าอยากที่จะซื้อของขวัญให้มู่เทียนหน่อย มันคงไม่มีความหมายถ้าให้คนอื่นไปซื้อให้” เฟิงจือหลิงปฏิเสธเสียงเรียบ

“งั้นให้ข้าส่งใครออกไปคุ้มกันเจ้าด้วยดีไหม? ข้าไม่รู้ว่าหวังฉิงจะส่งใครมาเฝ้าบ้านนี้อยู่หรือเปล่า ถ้าเจ้าออกไปก็อาจจะอันตรายได้” หลินหยางแตะไปที่โต๊ะตรงหน้าและถามออกมา

เฟิงจือหลิงหยุดไปชั่วขณะแล้วจึงพูดออกมา “งั้นเดี๋ยวข้าสวมหมวกไว้ตลอดทางแล้วกัน แบบนี้ไม่น่าที่จะมีใครจำได้”

หลินหยางส่งสัญญาณไปที่องครักษ์สองคนที่อยู่ข้างๆให้คอยตามเขาไป

เฟิงจือหลิงไม่ได้สนใจ เพียงแค่หยิบหมวกขึ้นมาคลุมหัวไว้และเดินไปพร้อมกับองครักษ์ทั้งสองคน

ตลอดทางเฟิงจือหลิงไม่ได้มีท่าทางผิดปกติอะไร เขาเพียงแค่เดินแวะอยู่หลายร้าน แต่ละร้านก็จะซื้อของมากมาย แล้วก็กลับมาที่คฤหาสน์ก่อนที่จะกลับขึ้นไปที่ห้อง เขาก็แวะไปดู มู่หรงเสวี่ยและเห็นว่าเธอยังไม่ฟื้น แถมยังมีหลินหยางคอยเฝ้าอยู่ด้วย เขาจึงกลับไปที่ห้องโดยไม่พูดอะไร

หลินหยางเห็นมู่หรงกลอกตาไปมาจึงพูดออกไปโดยไม่หยุดหายใจ “ถ้าฟื้นแล้วจะมัวแกล้งหลับอยู่อีกทำไมล่ะ?”

ทันใดนั้นมู่หรงก็เบิกตากว้าง “นี่เจ้าเป็น…พ่อข้างั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

สีหน้าของหลินหยางอธิบายไม่ได้เลย บิดเบี้ยวเล็กน้อยแล้วจึงถามออกไปด้วยเสียงต่ำ “นี่เจ้าคิดว่าข้าหน้าเหมือนพ่อเจ้าหรือไง? ข้าแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” เขาคิดว่าเธอบ้าไปแล้ว

สายตาของมู่หรงเปลี่ยนไปหลายครั้งแล้วก็มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “เป็นพี่ชายข้างั้นเหรอ?”

“มู่หรงเสวี่ย นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง?” หลินหยางจ้องไปที่อย่างดุดัน

“คือข้าจำอะไรไม่ได้เลย ข้าเป็นใครงั้นเหรอ?” มู่หรงมองไปรอบๆด้วยความสงสัยอีกครั้งและเห็นว่าทุกอย่างดูโบราณไปหมด

ความทรงจำสุดท้ายของเธอคือวินาทีที่เธอตาย ตอนที่เธอได้รับรู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองตายแล้ว ในสายตาของมู่หรงมีประกายที่มองไม่เห็นมากมาย ร่องรอยของความเกลียดและรีบจางหายไปในทันที

“มู่หรงเสวี่ย เจ้าเลิกสร้างปัญหาซะทีได้ไหม? ตอนนี้มันเวลาอะไรเนี่ย?” หลินหยางพูดอย่างเย็นชา

ปกติแล้วเธอจะถูกเรียกว่ามู่หรง เธอพูดออกมาอย่างไร้เดียงสา “ข้าจำไม่ได้จริงๆ ที่นี่มันที่ไหนเหรอ?”

สีหน้าของหลินหยางเปลี่ยนไปในทันที “นี่เจ้าพูดจริงเหรอเนี่ย? เจ้าสูญเสียความทรงจำงั้นเหรอ? นี่มันเรื่องตลกอะไรกันเนี่ย?” เขาเกาหัวตัวเองและหันไปพูดกับองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ “ไปตามหมอมาที”

องครักษ์ที่อยู่ข้างเขารับคำสั่งและรีบเดินออกไป

หลินหยางนั่งลงที่เก้าอี้ หลังพิง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขาเนี่ย?!!
“คือ…” มู่หรงเสวี่ยเองก็อยากที่จะถามอะไรบางอย่าง

หลินหยางจ้องไปที่เธออย่างหยาบคาย นี่มันตัวปัญหาชัดๆ!

มู่หรงทำปากเบ้เล็กน้อย เป็นไปได้ยังไง จู่ๆเธอก็ฟื้นขึ้นมาแล้วก็มาอยู่ในที่ที่ไม่รู้จัก เธอตื่นตระหนกอย่างมาก ไร้ทางสู้ โอเคไหม?!! เธอจำไม่ได้จริงๆ แม้ว่าจะพูดเกินจริงไปเล็กน้อยก็ตาม

หลินหยางและคนอื่นๆต่างก็สวมชุดโบราณแต่ทำไมการตกแต่งบ้านถึงได้ดูทันสมัยและในห้องก็มีเพียงแค่คนเดียวที่คอยจ้องมาที่เธอเป็นครั้งคราว

ไม่นานองครักษ์ก็รีบเดินนำหมอเข้ามา

หลินหยางลุกขึ้นและพูดออกมาว่า “ท่านหมอ นางเป็นอะไร? นางบอกว่าจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร”

“ไม่ต้องห่วง ขอข้าตรวจดูก่อน” หมอเช็ดเหงื่อที่หน้าผากด้วยผ้าเช็ดหน้า ก่อนหน้านี้เขายังกำลังอ่านตำราแพทย์อยู่ในห้องยา จู่ๆก็มีคนลากเขาให้รีบออกมา ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นเพราะนี่เป็นองครักษ์จากบ้านท่านผู้ปกครอง ไม่งั้นเขาคงจัดการไปแล้ว

“ช่วยยื่นแขนออกมาด้วยขอรับ” หมอพูดกับมู่หรงเสวี่ยที่อยู่บนเตียง

ทักษะการแพทย์ที่ล้าสมัยแบบนี้จะได้ผลจริงงั้นเหรอ?! มู่หรงคิดลังเลแต่ก็ยังยื่นมือตัวเองออกไป

หมอตรวจชีพจรของมู่หรงเสวี่ยอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปนานเขาก็ปล่อยมือแล้วก็ลุกขึ้นและเดินกลับไปกลับมา”นางเป็นอะไร?” หลินหยางอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

หมอคิดไตร่ตรองอยู่สักพักแล้วก็ค่อยๆเปิดปาก “คาดว่านางจะได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ในอดีตก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน”

“แล้วจะรักษาต้องรักษายังไง?” อย่ามาล้อเล่นนะ หลินหยางวุ่นวายใจไปหมด

“อาการแบบนี้ข้าทำอะไรไม่ได้ เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้า บางทีพรุ่งนี้นางก็อาจจะหายหรืออาจจะต้องใช้เวลาเป็นเดือน, เป็นปี, เป็นทศวรรษหรืออาจจะไม่หายเลย” หมอเริ่มที่เก็บกระเป๋ายาขึ้นมาแล้วก็ส่ายหัวและเดินออกไป

หลินหยางไม่ได้ห้ามอะไรเขา อันที่จริงเขาก็ไม่มีความหวังเลย แม้แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้วที่ทันสมัยก็ยังไม่มีทางที่จะฟื้นความทรงจำของคนที่สูญเสียความทรงจำได้เลย นี่ไม่ต้องพูดถึงประเทศที่ล้าหลังแบบนี้เลย!

เขาโบกมือให้องครักษ์ออกไปจากห้องแล้วปิดประตู

“เจ้าจำไม่ได้จริงๆงั้นเหรอ?” หลินหยางถามอีกครั้ง

มู่หรงพยักหน้า นอกจากความทรงจำของชีวิตที่แล้ว เธอก็จำอะไรไม่ได้แล้ว

“บ้าเอ๊ย!” หลินหยางทุบไปที่โต๊ะที่อยู่ข้างๆอย่างเหลืออด

“เจ้าเป็นอะไรงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“เป็นอะไรงั้นเหรอ? ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้า!” หลังจากที่สร้างปัญหาให้เขามากมาย เธอก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัวชิงลืมอย่างทุกอย่างไปง่ายๆแบบนี้เลย

มู่หรงตกใจไปกับเสียงคำรามน่ากลัวของอีกฝ่าย กะพริบดวงตากรมโตพร้อมสีหน้าไร้ทางสู้

“ช่างมันเถอะ ตอนนี้เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก่อน” หลินหยางไม่ได้โกรธแล้วและเตรียมที่จะเดินออกจากห้องไป

“โอ้ เดี๋ยวก่อน!” มู่หรงเสวี่ยร้องเรียกเขาไว้

“มีอะไรเหรอ?”

“เจ้าจะไม่บอกข้าหน่อยเหรอว่าเจ้าเป็นใครและข้าเป็นใคร?” ถึงแม้ชายหนุ่มจะอารมณ์ร้อนแต่เธอก็มองออกว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร

ทันใดนั้นหลินหยางก็นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้และกลับลงไปนั่งข้างๆมู่หรง “ว่าแต่มีบางเรื่องที่ข้าจำเป็นจะต้องบอกเจ้า ไม่งั้นเจ้าก็คงจะไม่รู้เรื่องพวกนี้แน่ๆ” ในบ้านมีคนที่อันตรายอยู่ด้วย

“มีคนที่เจ้าจำเป็นจะต้องระวัง นั่นคือ…” หลินหยางพูดถึงเรื่องข้อตกลงของพวกเขารวมทั้งทุกอย่างที่เขารู้และเรื่อง เฟิงจือหลิงด้วย

มู่หรงเมื่อได้ฟัง หลังจากนั้นสักพักเธอก็พูดออกมาสั้นๆ “นี่เจ้ากินยาผิดมาหรือเปล่า?” ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงรู้สึกแบบนี้ ทั้งเรื่องท่องผ่านห้วงเวลาและมิติ, เรื่องซอมบี้ที่คลั่งไปทั่ว, และเรื่องที่จู่ๆก็หายตัวไปมาได้อีก นี่มันเรื่องนิยายทั้งนั้นเลยใช่ไหมล่ะ?!!

หลินหยางพูดไม่ออก เขาลุกขึ้นและเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง ทำให้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเวียนหัวไปหมด
“กลับไปกินยาของตัวเถอะนะ ไม่งั้นก็อย่าทำให้ข้าต้องเวียนหัวเลย”

หลินหยางอยากจะบีบคอเธอจริงๆ ขนาดเป็นคนที่ความจำเสื่อมแต่อารมณ์ก็ยังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแถมปากยังดีอีก

“เรื่องที่ข้าเพิ่งพูดไปเป็นความจริง เจ้าน่าจะลองคิดเรื่องนี้ดูเผื่อจะนึกอะไรขึ้นมาได้บ้าง และข้าได้ยินเจ้าบอกว่ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องไปจัดการด้วย งั้นก็อย่าบอกว่าข้าไม่เตือนล่ะ” เมื่อหลินหยางพูดจบแล้วก็เดินออกไป ถ้ารอนานอีกนิดเขาก็คงจะโมโหจนบ้าตายไปก่อนแน่ๆ