บทที่ 307
หมายถึงใคร
ไม่ว่ามู่หรงเสวี่ยจะพยายามคิดมากเท่าไร หัวของเธอก็ยังว่างเปล่าอยู่ดีแต่ความทรงจำของชีวิตที่แล้วกลับชัดเจนราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ยิ่งเธอคิดมากเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกปวดหัวมากขึ้นเท่านั้น จึงลุกขึ้นและมองไปรอบๆ พยายามคิดถึงเรื่องที่เธอพอจะนึกได้
มู่หรงเดินไปที่กระจกและเห็นใบหน้าที่เหมือนกันก่อนหน้านี้ราวกับแกะ เพียงแค่ว่าในตอนนี้ที่หัวของเธอมีผ้าพันแผลพันอยู่และสีหน้าก็ค่อนข้างที่จะซีดเผือด แล้วเธอก็เห็นแหวนที่นิ้วและสัญลักษณ์ของฟินิกซ์ที่ข้อมือ และวิญญาณเธอดูเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
เธอเป็นเพียงความคิดในใจ ซึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในสถานที่แปลก ๆ
เธอกะพริบตาและก็เหมือนกับต้องอึ้งไปชั่วขณะ ที่นี่ราวกับเทพนิยาย ที่นี่มันที่ไหนกันเนี่ย?! ที่ห่างออกไปมีชายร่างสูงยืนอยู่
มู่หรงเดินเข้าไปอย่างรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร
“เป็นไงบ้าง?” เสี่ยวไป๋ถาม
มู่หรงถามอยู่ชั่วขณะ “อะไรเป็นยังไงเหรอ?”
เสี่ยวไป๋กัดผลไม้อยู่และมองเธอด้วยสายตางงๆ “ก็สถานการณ์ข้างนอกไง เจ้าไม่ได้เข้ามาในนี้หลายวัน ข้าเองก็ออกไปเองไม่ได้ ก็เลยไม่รู้ว่าเจ้าเป็นยังไงบ้าง เจ้าเจอสายเลือดที่แท้จริงของมังกรหรือยัง?”
“เจ้าเป็นใครเหรอ?” มู่หรงถามอย่างไร้เดียงสา
“โง่หรือไง ครั้งที่แล้วข้าก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือไง? ข้าเสี่ยวไป๋ไง” เขาคิดว่ามู่หรงลืมเรื่องที่เขาเปลี่ยนร่าง แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม
“คือ…”
“อะไร?”
“คือ…ข้าเสียความทรงจำ!” มู่หรงพูด
“ฟู่” ทันใดนั้นเสี่ยวไป๋ก็พ่นของที่อยู่ในปากออกมา โชคดีที่มู่หรงหลบได้เร็ว ไม่งั้นเธอก็คงถูกพ่นไปทั่วตัวแล้ว “เจ้า…เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าได้ยินมา ยังไงซะตอนนี้ข้าก็ไม่มีความทรงจำเลย” มู่หรงเสวี่ยยักไหล่
เสี่ยวไป๋ขมวดคิ้วและหลังจากนั้นสักพัก เขาก็เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับดินแดนเฟิงหยุนให้เธอฟัง
“เจ้าจะบอกว่าข้าข้ามมิติมาเพื่อตามหาพ่อแม่ตัวเองงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ย
“คือข้าก็ไม่ค่อยชัดเจนในเรื่องอื่นๆหรอกนะ ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังตามหาพ่อแม่และเพื่อนๆของเจ้าก็อยู่ที่น้ำตก เจ้าจะไปดูก็ได้” เสี่ยวไป๋พูดอย่างอ่อนแรง มีเรื่องที่พลิกผันมากจริงๆ
มู่หรงเสวี่ยเชื่อเรื่องที่หลินหยางพูดก่อนหน้านี้ บางทีเธออาจจะได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ตอนนี้เธอสูญเสียความทรงจำจริงๆ
เธอเดินไปที่อีกฝั่งของน้ำตกและเข้าไปในรูม่าน แน่นอนว่าเธอเห็นคนร่างดำทั้งสี่ที่นอนอยู่กึ่งกลางของน้ำแข็งสีเข้ม จิตใจของเธอสั่นไหวและความรู้สึกเศร้าก็พุ่งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ดูเหมือนว่าคนทั้งสี่นี้น่าจะเป็นคนที่สำคัญกับเธออย่างมาก ไม่งั้นเธอคงจะไม่มีความรู้สึกที่มากมาขนาดนี้เมื่อได้เห็นพวกเขา
หลังจากการแนะนำของเสี่ยวไป๋ เธอก็เริ่มที่จะเข้าใจเหตุการณ์ในตอนนี้มากขึ้นแล้ว ซึ่งแตกต่างจากในตอนแรกที่ฟื้นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่างเปล่าพร้อมกับสภาพแวดล้อมที่แปลกตาไปหมด
มู่หรงเดินออกมา พอจะมีความรู้บ้างแล้วจึงแวบออกมาจากมิติลับแต่จู่ๆก็มาอยู่เบื้องหน้าเงามืดที่น่ากลัวของบางคน “เจ้าเป็นใคร? มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
เฟิงจือหลิงดูเหมือนจะตกใจไปชั่วขณะแล้วก็รีบกลับมาเป็นปกติ “มู่เทียน เจ้าหายไปไหนมา? ข้าแวะมาดูแต่เจ้าไม่อยู่ในห้อง”
“งั้นเหรอ?” มู่หรงขมวดคิ้ว จู่ๆในใจก็นึกถึงคำพูดของหลินหยางที่เตือนเธอให้ระวังบางคน
“มู่เทียน เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?” เฟิงจือหลิงถาม
มู่หรงส่ายหัว “ข้าไม่เป็นไร แค่บาดเจ็บที่หัวนิดหน่อย”
“งั้นเจ้าก็พักผ่อนเถอะ อีกอย่างนะข้าซื้อนี่มาให้เจ้า” เฟิงจือหลิงหยิบกิ๊บติดผมออกมาจากแขนและยื่นให้มู่หรงเสวี่ย
“มีน้ำใจมากเลย แต่ไม่ล่ะ ข้าไม่ค่อยชินกับการใช้ของพวกนี้เท่าไร” มู่หรงไม่ได้รับมา ในใจรู้สึกว่าเธอไม่อยากที่จะรับและรู้สึกว่ามันแปลกๆอยู่เสมอ
“มู่เทียน ทำไมจู่ๆเจ้าก็พูดกับข้าแบบนี้ล่ะ? รับไปเถอะ ข้าเพิ่งเลือกมาให้เจ้าวันนี้เองนะ” เฟิงจือหลิงค่อยๆวางกิ๊บลงในมือของเธอ
มู่หรงมองอย่างยุ่งยากไปที่กิ๊บติดผมที่อยู่ในมือ คนคนนี้กับเธอมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่? เขาเป็นแฟนเธองั้นเหรอ?!
เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ?!
ตอนนี้เธอไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ใบหน้าเขาดูคุ้นๆแต่ก็เพียงแค่นั้น
“ข้าจะรับไว้ ขอบคุณนะ” มู่หรงเสวี่ยตัดสินใจที่จะลองดูสถานการณ์ก่อน
“งั้นเจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าจะกลับไปที่ห้องก่อน” เฟิงจือหลิงเห็นมู่เทียนวางกิ๊บติดผมของเขาลงและเห็นร่องรอยแปลกๆในสายตาของเธอ
มู่หรงพยักหน้าและนั่งลงกลับไปที่เตียง หลังจากผ่านไปสักพักเธอก็ลุกขึ้นและเดินลงไปข้างล่าง
ในบ้านไม่มีคนอื่นอยู่เลย ที่ด้านนอกมีองครักษ์เดินตรวจตราอยู่มากมาย นี่มันโลกแบบไหนกันเนี่ย?!
มู่หรงที่เพิ่งออกมาจากประตู แล้วก็มีคนรีบวิ่งมาอยู่เบื้องหน้าเธอ นั่งคุกเข่าลงอย่างเย็นชา “ท่านมู่หรง ข้าต้องขอโทษด้วย นี่เป็นความผิดของข้าเอง ข้าสมควรตาย!” เฉินสุ่ยเอาแต่ตบหน้าตัวเองอยู่เบื้องหน้ามู่หรงเสวี่ย
มู่หรงยังยืนนิ่งรู้สึกสับสนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “เจ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ”
แก้มของเฉินสุ่ยทั้งแดงและบวม ซึ่งเห็นได้เลยว่าเขาตบตัวเองอย่างไม่ยั้งมือเลย แค่เห็นมู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกเจ็บแล้ว “ท่านจะยกโทษให้ข้าได้หรือเปล่า? ท่านมู่หรง” สายตาของเฉินสุ่ยมองไปที่มู่หรงเสวี่ย
“เจ้าอยากให้ข้ายกโทษให้เรื่องอะไร?” มู่หรงเสวี่ยถาม
สายตาของเฉินสุ่ยหมองลงแล้วขาก็ยกมือขึ้นและตบไปที่หน้าตัวเอง “ข้ามันเลว ข้ามันไม่ดี!”
มู่หรงรีบห้ามเขาทันที “พอแล้ว ข้าได้รับบาดเจ็บที่หัวก็เลยสูญเสียความทรงจำ ต่อให้เจ้าตบหน้าตัวเองจนตาย ข้าก็ยังไม่รู้อยู่ดีแหละ”
“ท่าน…” เฉินสุ่ยเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ สายตาเริ่มจะหม่นหมอง ร่างทรุดลงไปกับพื้น จบแล้ว แบบนี้นายท่านจะต้องไม่ยอมยกโทษให้เขาแน่ๆ
“นังผู้หญิงชั้นต่ำ เจ้าเรียกพี่เฉินมาที่นี่เพื่อมารังแกเลยเหรอ!” หวังซื่อหยวนเห็นเหตุการณ์จากไกลๆและรีบวิ่งเข้ามาทันที
“เจ้าเป็นใคร?” สายตาของมู่หรงเย็นชา ปากปิดคำว่านังผู้หญิงชั้นต่ำทำให้เธอรู้สึกถึงความทรงจำที่ไม่ดีเท่าไร
หวังซื่อหยวนคิดว่าจะเหวี่ยงฝ่ามือไปที่เธอ
มู่หรงเสวี่ยรีบคว้ามือเธอไว้ทันที
หวังซื่อหยวนสะบัดมือจากเธอไม่ออกจึงรีบยกมืออีกข้างขึ้นมาทันที
มู่หรงเสวี่ยเองก็จับไว้ได้
“ปล่อยนะนังนี่”
“พูดแบบนี้หมายถึงใคร?”
“นังผู้หญิงชั้นต่ำก็เจ้าไงล่ะ”
ฟู่” มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาและสายตาของเธอก็เย็นชา “งั้นเธอก็เป็นผู้หญิงชั้นต่ำด้วยสินะ ก่อนหน้านี้แค่ฟังก็ไม่สงสัยแล้ว”
ในตอนนี้เฉินสุ่ยเองก็ตอบโต้เช่นกัน เขารีบลุกขึ้นทันทีและพูดกับผู้หญิงทั้งสองคนที่กำลังยืนจ้องกันอยู่ “ท่านหวัง ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว ท่านมู่หรงไม่ได้รังแกอะไรข้าหรอก”
“พี่เฉิน ไม่ต้องกลัวนางหรอก ข้าเห็นหมดแล้ว ข้าจะทวงความยุติธรรมให้เจ้าเอง” มันเป็นเรื่องที่แทบจะไม่เคยขึ้นเลยที่นังผู้หญิงชั้นต่ำแบบนี้จะมารังแกเธอได้ แล้วเธอจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้ง่ายๆได้ยังไงล่ะ? เธอจะต้องทำให้พี่หลินได้เห็นธาตุแท้ของผู้หญิงคนนี้ให้ได้
สีหน้าของเฉินสุ่ยซีดเผือด “ไม่นะ ข้าทำเอง ข้าทำเรื่องที่ผิดพลาดไป” เขารีบอธิบาย
“ฮึ นังผู้หญิงชั้นต่ำ เจ้าข่มขู่อะไรพี่เฉินจนทำให้เขากลัวได้ขนาดนี้ เจ้าตายแน่ ข้าจะไปบอกพี่หลิน ปล่อยเลยนะนังชั้นต่ำ” หวังซื่อหยางดิ้น
มู่หรงสะบัดมือเธอออกและมองไปที่เธออย่างเย็นชา
“รอก่อนเถอะ!” หวังซื่อหยางมองอยู่สักพักแล้วก็พูดออกมาอย่างไร้ความปรานี
มู่หรงเผยรอยยิ้มแสยะ ผู้หญิงแบบนี้มีแต่เจตนาไม่ดีล้วนๆ เธอขี้เกียจจะสนใจด้วย
“ท่านมู่หรง ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของข้าเอง ท่านช่วย…” เฉินสุ่ยยืนอยู่ข้างๆเธอพร้อมด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและสีหน้าที่ยุ่งเหยิงไปหมด
“งั้นทำไมเจ้าถึงเอาแต่ขอให้ข้ายกโทษให้อยู่นั่นแหละ เจ้าทำอะไรลงไปงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยพูดขัดเขาขึ้นมาทันที
“ข้าผลักท่านทำให้หัวท่านไปกระแทกแต่ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายท่านนะ” เฉินสุ่ยพูด
มู่หรงแตะไปที่แผลที่หัวที่ยังเจ็บอยู่ กลายเป็นว่าเขาคือคนร้าย มือเธอสั่นไปหมด
“งั้นเจ้าผลักข้าทำไม?”
“ข้า…” เฉินสุ่ยเงียบไป ไม่กล้าที่จะพูดต่อ
ในตอนนี้ หวังซื่อหยางและหลินหยางเดินเข้ามาพอดี
“พี่หลิน เห็นไหมว่านังผู้หญิงคนนี้กำลังหลอกพี่อยู่ พี่เห็นหรือเปล่าว่านางกำลังทรมานพี่เฉินอยู่?” หวังซื่อหยางจับมือของหลินหยางและส่งสายตาพอใจจ้องมาที่มู่หรง
มู่หรงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ
เฉินสุ่นรู้สึกร้อนรน เขาคุกเข่าลงและพูดออกมา “นายท่าน เป็นท่านหวังเองที่เข้าใจข้าผิด ข้าอยากจะขอให้ท่านมู่หรงยกโทษให้”
สายตาอย่างพอใจจู่ๆก็สะดุดขึ้นมาทันที ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปมา “พี่เฉิน กลัวอะไรเนี่ย? พี่หลินก็อยู่นี่แล้วและเขาจะเป็นคนตัดสินใจแทนพี่เองนะ”
“บอกมาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” หลินหยางนวดไปที่ขมับที่กำลังปวดและมองไปที่มู่หรงเสวี่ย
มู่หรงเสวี่ยยักไหล่และกางมือออก “ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าเพิ่งจะเดินออกมา แล้วอยู่ดีๆสาวน้อยคนนี้ก็เข้ามาตบหน้าข้า แล้วก็พูดอะไรมากมายที่เข้าใจยาก ข้าก็คิดว่ามีคนบ้าที่ไหนเข้ามา”
นายท่าน…” เฉินสุ่ยก้มหัวและโขกไปที่พื้นสามครั้ง
“ลุกขึ้น!” หลินหยางตะโกนออกมา
“ข้ากลับไปที่สถาบันวิจัยได้หรือยังขอรับ?” เฉินสุ่ยไม่ได้ลุกขึ้นในทันทีแต่ถามออกมาอย่างสงสัย
“เจ้าถามนางสิ ถ้ามู่หรงไม่ติดใจอะไร เจ้าก็กลับไปได้!” หลินหยางพูดเสียงเรียบ
หวังซื่อหยางที่ยืนอยู่ข้างๆกัดฟันแน่นและดึงแขนเสื้อของหลินหยาง “พี่หลิน ทำไมพี่ถึงบอกให้พี่เฉินถามจากผู้หญิงคนนั้นล่ะ? พี่ไม่เห็นหรือไงว่าหน้าพี่เฉินบวมขนาดนั้น ไม่เห็นหรือไง?! พี่เฉินคือคนที่เก่งและพี่ก็ชื่นชมเขามาตลอดด้วย” พี่หลินหลงไปกับความสวยของผู้หญิงคนนี้หรือไง? เธอไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้เลย
เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นสายตาที่กำลังยิ้มอยู่ของมู่หรง ทันใดนั้นความเหลืออดก็พุ่งขึ้นมาอย่างทนไม่ได้ สีหน้าของเธอบิดเบี้ยวขึ้นมาทันที
“ข้าต้องขออนุญาตเจ้าเมื่อไรเหรอเวลาที่จะต้องทำอะไร?” เสียงของหลินหยางเย็นชาและค่อยๆโบกมือไปที่ หวังซื่อหยางเบาๆ
สีหน้าของหวังซื่อหยางซีดมากขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่เข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้มีดีอะไร พี่หลินเป็นแบบอย่างให้เธอมาตลอด แม้แต่ความสนใจที่เคยเห็นเธอเป็นคนที่สำคัญที่สุดก็ยังหายไปด้วยเลย
“ท่านมู่หรง ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ตราบใดที่ท่านพอใจ ท่านจะตีข้ามากแค่ไหนก็ได้” เฉินสุ่ยทิ้งศักดิ์ศรีลูกผู้ชายจนหมดสิ้นซึ่งเทียบอะไรไม่ได้กับทุกสิ่งที่อยู่ในสถาบันเลย