บทที่ 309
การกักขัง
“เจ้าต้องการอะไร?” มู่หรงถามเสียงเรียบ
เธออดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ การตกแต่งของบ้านนี้ดูโบราณ ที่นี่ต้องไม่ใช่บ้านของผู้ปกครองแห่งดินแดนแน่ๆ หลังจากที่ผล็อยหลับไปเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นนะ?!
“เจ้าคิดว่าข้าต้องการอะไรล่ะ?! เจ้าคงไม่อยากให้ข้าจับมัดหรอกใช่ไหม” หวังฉิงมองไปที่ใบหน้าละเอียดอ่อนที่อยู่เบื้องหน้าและในใจคาบเกี่ยวระหว่างทั้งรักทั้งเกลียด หวังฉิงก้มหัวลงและจูบไปที่ริมฝีปากแดงที่เขาอยากจะทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว
“อือ…ปล่อยนะ” มู่หรงดิ้นขัดขืนอย่างต่อเนื่อง กัดฟันแน่นเพื่อกันเขาจากการบุกรุก ในสายตาของหวังฉิงมีความเย็นชาและใบหน้ามีความบ้าคลั่ง เขารู้สึกโกรธมากเมื่อนึกถึงตอนที่ได้ฟังรายงานจากลูกน้อง
เขาเทียบไม่ได้กับผู้ปกครองแห่งดินแดน เธอยอมที่จะติดตามชายที่ไม่สนใจอะไรเธอมากกว่าที่จะมาอยู่ข้างกายและยอมรับความปรารถนาของเขา
หวังฉิงกัดริมฝีปากเธอแรง
มู่หรงเสวี่ยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและต้องคลายฟันออก
หวังฉิงใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะแทรกเข้าไป รสชาติหอมหวานผสมเข้ากับกลิ่นแรงของเลือดกระจายอยู่ในปาก
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกโกรธมากจึงกัดไปที่ลิ้นของเขาอย่างแรงทันที เธอไม่ปรานีเลยสักนิด
หวังฉิงผลักเธอออกและตบไปที่ใบหน้าของเธอจนเธอกระเด็นห่างออกไปนิดหน่อย
ปากของมู่หรงยังมีร่องรอยสีแดงอยู่พร้อมกับใบหน้าที่ซีดเผือดเล็กน้อย แต่ก็ยังสวยจนแทบหยุดหายใจ
หัวใจของหวังฉิงสั่นเทอมและสีหน้าของเขาก็แสดงถึงความรำคาญเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าตัวเองโกรธเพราะความเย็นชาหรือเพราะความโกรธของมู่หรงเสวี่ยกันแน่ ขนาดตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของเธอ
มู่หรงใช้หลังมือเช็ดไปที่ริมฝีปาก จ้องไปที่หวังฉิงพร้อมกับความเย็นชาในสายตา อย่างไรก็ตามเธอกลับรู้สึกได้ถึงคลื่นแปลกๆในหัวใจ
ทำไมชายที่อยู่ตรงหน้าเธอถึงมองราวกับว่าพวกเธอมีความสัมพันธ์กันอย่างงั้นแหละ? แล้วเรื่องทรยศอะไรที่เขาพูดถึงเมื่อกี้?!
เป็นศัตรูหรือเปล่า?! อย่างน้อยเธอก็ไม่อยากที่จะจูบใช่ไหม?!!
“เจ้าคือหวังฉิงงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วงั้นเหรอ?! บ้านของผู้ปกครองแห่งดินแดนดีขนาดนั้นเลยหรือไง?” หวังฉิงพูดอย่างเย็นชา
“ที่บ้านผู้ปกครองของดินแดนต้องดีกว่าอยู่แล้ว ข้ารับรู้ได้เลยว่าเจ้าบังคับให้ข้ามา แบบนี้เป็นเรื่องที่ดีเหรอ?” มู่หรงพูดอย่างเย็นชา
“เจ้ายังไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ใช่ไหม? บางทีถ้าเจ้าอ้อนวอนข้า ข้าก็อาจจะสงสารอยู่นิดหน่อยก็ได้นะ”
“อะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ” มู่หรงพูดอย่างเย็นชา ตอนนี้วิธีเดียวที่จะออกไปได้คือทางนี้ทางเดียว ถึงแม้เธอจะแวบเข้าไปในมิติลับก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่างเธอไม่รู้ว่าด้านนอกมีคนเฝ้าอยู่มากแค่ไหน เธอค่อยจะรอดูและปล่อยให้อีกฝ่ายตายใจก่อนดีกว่า หวังว่าหลินหยางจะรู้แล้วนะว่าเธอหายไป
“โอ้? เพราะวิธีที่ข้าทำกับเฟิงจือหลิงงั้นเหรอ เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?” หวังฉิงพูดออกมาด้วยเสียงต่ำ
หัวใจของมู่หรงเสวี่ยจมดิ่ง ถึงแม้เธอจะไม่มีความทรงจำ แต่เธอก็ได้ยินเสี่ยวไป๋และหลินหยางพูดถึงเฟิงจือหลิงและดูเหมือนว่าเขาจะเป็นเพื่อนที่สำคัญของเธอคนหนึ่ง ถึงแม้เธอจะสูญเสียความทรงจำ แต่เธอก็ปล่อยให้เพื่อนลำบากไม่ได้หรอก
“เขาอยู่ที่ไหน?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“อยากจะรู้งั้นเหรอ? งั้นก็ทำท่าทางให้มันดีๆก่อนได้ไหม?” ตั้งแต่ต้นมู่เทียนคนนี้ไม่เคยทำหน้าดีๆกับเขาเลย แต่เธอกลับดีกับเพื่อนอย่างมาก เขาคิดว่าชายที่อยู่ห้องใต้ดินก็อดทนดีเหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะถูกข่มขู่มากแค่ไหน เขาก็ปิดปากเงียบ พวกเขาทั้งคู่ต่างก็นึกถึงกันและกันซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเท่าไร
“บอกมาสิว่าเจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร?” มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นและถามด้วยเสียงต่ำ
หวังฉิงเดินเข้ามาใกล้เธอ พวกเขาแทบจะตัวติดกันแล้ว “ปรนนิบัติข้าดีๆแล้วมาเป็นองค์หญิงของข้า”
“ฝันไปเถอะ!” มู่หรงเสวี่ยปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี
“งั้นเจ้าก็รอเก็บศพของเฟิงจือหลิงได้เลย ข้าไม่คิดว่าเขาจะสนใจเท่าไรหรอก เขาดื้อมากจริงๆ ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลอะไรที่เกี่ยวกับเจ้าเลย ข้าคิดว่าเขาคงเหลือเวลาไม่มากเท่าไร” หวังฉิงพูด
สีหน้าของมู่หรงหมองลง “ข้าอยากที่จะเจอเขาก่อน”
“เจ้าคิดว่าข้าโง่เหมือนก่อนหน้านี้หรือไง? ทำตัวดีๆ ข้าบอกเลยว่าเจ้าไม่อยากหนีหรอก ไม่งั้นก็รอเก็บศพของเฟิงจือหลิงได้เลย!” หวังฉิงเชิดคางเธอขึ้นและพูดออกมาอย่างเย็นชา
มู่หรงสะบัดมือเขาออกอย่างไร้ความปรานีและพูดประชดประชันออกมา “ข้าไม่เข้าใจ ผู้หญิงที่ไม่ได้รักเจ้าจะมีความหมายอะไร”
“ฮึ สำหรับข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องรักข้าหรอก อย่าคิดว่าตัวเองจะสำคัญอะไรกับข้าขนาดนั้น ตอนนี้ข้าก็แค่อยากได้ แต่เมื่อไรที่ข้าเบื่อ เจ้าก็ไร้ค่าแล้ว เจ้าน่าจะคิดเรื่องวิธีที่จะเอาใจข้าดีกว่านะ ไม่งั้นเมื่อไรที่ข้าเบื่อเจ้า จุดจบของเจ้าก็คงจะไม่ดีเท่าไรเหมือนกันว่าไหม?” หวังฉิงพูด
มู่หรงเสวี่ยยักไหล่ใส่หน้าเขาและรู้สึกขี้เกียจที่จะคุยกับเขาอีก
ในตอนนี้มีเสียงเคาะที่ประตู
“เข้ามา” หวังฉิงตอบอย่างเย็นชา
ประตูค่อยถูกเปิดออกและองครักษ์ชุดดำก็เดินเข้ามาและกระซิบที่ข้างหูของหวังฉิงอยู่นาน
สีหน้าของหวังฉิงเปลี่ยนไปทันทีแล้วเขาก็หันมามองที่ มู่เทียนและได้เห็นว่าอีกฝ่ายหันหลังให้เขาไปเรียบร้อยแล้วซึ่งทำให้เขายิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ น้ำเสียงเย็นชาพูดสั่งองครักษ์ชุดดำ “เฝ้านางไว้ ถ้านางพยายามที่จะหนีก็จัดการฆ่าได้เลย”
“ขอรับนายท่าน!” องครักษ์ชุดดำตอบ
หวังฉิงพยักหน้าแล้วจึงเดินออกไปพร้อมกับความกระหาย
“สวัสดี ที่นี่ที่ไหนงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามหลังจากที่หวังฉิงเดินออกไปแล้ว
องครักษ์ชุดดำมองมาที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาเย็นชาโดยไม่แสดงสีหน้าหรือพูดอะไรออกมาสักคำ
“ข้าถามเจ้าอยู่นะ โง่หรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยโบกมือตรงหน้าการ์ด
ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ อันที่จริงหัวใจขององครักษ์ชุดดำแทบแหลกสลาย เขาอยากที่จะออกไปปฏิบัติภารกิจมากกว่าที่จะมาเฝ้าผู้หญิงสวยแบบนี้ แถมยังเป็นผู้หญิงขององค์ชายที่แตะต้องไม่ได้อีกด้วย
สายตาของมู่หรงเปลี่ยนไป ไม่สนใจเธองั้นเหรอ?! คิดว่าเธอทำไม่ได้งั้นเหรอ?! “ช่วยด้วย คนโรคจิต!”
องครักษ์ชุดดำตกใจเพราะเสียงตะโกนของเธอ “นี่ท่านพูดอะไรไร้สาระเนี่ย?”
“ข้าคิดว่าเจ้าโง่ซะอีก นี่พูดได้ด้วยเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยแสยะ
องครักษ์ชุดดำปิดปากเงียบอีกครั้งและไม่พูดอะไรออกมาเลย
“พูดมา ว่าที่นี่ที่ไหน? ไม่งั้นข้าจะบอกหวังฉิงว่าเจ้าทำร้ายข้า เจ้าคิดว่าเขาจะสนใจพวกทหารอย่างเจ้า? หรือว่าสนใจเรื่องข้ามากกว่ากันล่ะ? ข้าอยากที่จะเห็นจริงๆว่าเขาจะทำหน้ายังไง? มันจะต้องเป็นเรื่องที่สนุกแน่ๆ เจ้าว่างั้นไหม?” มู่หรงไม่สนใจสีหน้าที่เย็นชาของเขาและพูดออกมาเสียงเรียบ
“เจ้า อย่าใจร้ายไปหน่อยเลย ข้าไปแตะตัวเจ้าเมื่อไรกัน?” องครักษ์ชุดดำพูดเสียงต่ำ
มู่หรงเดินเข้าไปหาองครักษ์ชุดดำที่อยู่ข้างๆ “ข้าบอกว่าใช่ไงล่ะ ข้าถามว่าที่นี่ที่ไหน?”
“ถามไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าไม่ทรยศองค์ชายหรอก” องครักษ์ชุดดำพูด
“ถ้าเจ้าพูดงั้น ก็รอดูเถอะ!” มู่หรงค่อยๆแก้เข็มขัดที่รัดอยู่ที่ชุดของเธอ แน่นอนว่าทำอย่างช้าๆ
องครักษ์ชุดดำรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขารีบหลับตาแน่น กัดฟันเพื่อควบคุมตัวเอง “ท่านมู่ ได้โปรดให้เกียรติตัวเองด้วย!”
“ทำไมข้าจะต้องให้เกียรติตัวเองด้วยล่ะ?” แล้วเธอก็เล็งไปที่ดวงตาที่ปิดแน่นขององครักษ์ชุดดำ พูดไปและค่อยๆเดินไปที่ประตูอย่างเงียบเชียบ
“ท่าน ท่านไม่กลัวว่าองค์ชายจะโกรธหรือยังไง? ผู้หญิงควรที่จะให้เกียรติตัวเองมากกว่านี้นะขอรับ” แต่เขาจะกล้าลืมตาขึ้นมาได้ยังไง ไร้สาระจริงๆ ถ้ามองผู้หญิงขององค์ชาย เขามีชีวิตไม่รอดถึงพรุ่งนี้แน่
“โอ้ เจ้าไม่รู้หรือไง? นายท่านของเจ้าชอบข้ามากและข้าก็ไม่อยากที่จะเคารพตัวเองด้วย” เธอเพิ่งไปถึงประตู
มู่หรงค่อยๆเปิดประตูแล้วก็วิ่งออกไปที่ประตูด้วยความเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตามก่อนที่วิ่งไปได้ไกล เธอก็ต้องหยุดและถูกล้อมรอบไว้ด้วยเหล่าองครักษ์ร่างใหญ่ ที่คอเธอมีทั้งมีดและปืนจ่ออยู่ “คือ ข้าก็แค่อยากที่จะห้องน้ำเอง” เธอหัวเราะ
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเหล่าองครักษ์ที่อยู่เบื้องหน้าเธอต่างก็เคร่งขรึมมากกว่าเป่ากงซะอีก ร่างกายของพวกเขาที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้ามู่หรงเสวี่ยต่างก็ไม่ไหวติงราวกับกำแพง
ในตอนนี้ ผู้นำขององครักษ์ที่ยังอยู่ในห้องค่อยๆเดินออกมาช้าๆ “ท่านมู่ ท่านควรจะรีบกลับไปที่ห้องโดยเร็วจะดีกว่านะขอรับ อย่าคิดเรื่องเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่ออีกเลยนะครับ ท่านจะเดินออกไปจากที่นี่ไม่ได้หรอก”
“โอ้? อย่างงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยไม่ได้โมโหเพียงแค่หัวเราะ เธอไม่ได้เดินกลับไปแต่การเคลื่อนไหวของมือเธอก็ยังไม่หยุด แล้วเธอก็เริ่มที่จะถอดเข็มขัดตัวเองเหมือนอย่างในห้อง เธอไม่เชื่อหรอกว่าทหารพวกนี้จะกล้ามองเธอ ใช่ไหม?!
อย่างไรก็ตามก่อนที่มู่หรงจะทันได้เริ่มดึงเข็มขัด เธอก็ถูกมือคู่หนึ่งจับไว้ก่อน มือของผู้หญิง
“ท่านมู่ ข้าขอแนะนำให้ท่านมีเหตุผลมากกว่านี้ ข้าไม่ได้สุภาพเหมือนผู้ชายพวกนั้นหรอกนะ”
มู่หรงหยุดการเคลื่อนไหวที่มือตัวเอง เงยหน้าขึ้นและเห็นผู้หญิงหน้าตาสวย ร่างสูงกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเธอ ชุดดำไม่สามารถที่จะปกปิดร่างกายที่ดูดีของเธอได้เลย
“แล้วเจ้าเป็นใคร?” มู่หรงเสวี่ยสะบัดมือออกและถาม
“ไม่สำคัญหรอกว่าข้าจะเป็นใคร ท่านแค่ต้องรู้ว่าข้าจะปล่อยให้ท่านออกไปนอกสนามนี้ไม่ได้” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“แล้วถ้าข้าต้องไปล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“ท่านจะลองดูก็ได้” หญิงสาวเลิกคิ้ว
ลองบ้าล่ะสิ จะลองยังไงล่ะ?! ที่นี่มันพื้นที่ชั้นสามเลยนะ! แล้วยังมีผู้หญิงคนนี้อีก แค่มองก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ได้รับการฝึกมาอย่างดี เธอไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณที่จะเอามาสู้
“ฮึ!” มู่หรงเสวี่ยพ่นลมอย่างเย็นชา แล้วจึงหันหลังเดินกลับไปที่ห้อง การหนีออกไปดื้อๆคงไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไร เธอต้องคิดให้รอบคอบ
ทันใดนั้นมู่หรงก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาเปล่งประกาย
ตอนนี้หญิงสาวกำลังจ้องมู่หรงเสวี่ยจากทางด้านหลัง และสายตาของเธอก็แวบประกายเย็นยะเยือก เธอรู้สึกไม่พอใจเรื่องผู้ชายดีๆอย่างหวังฉิงเลยแต่เธอก็ไม่กล้าที่จะแสดงท่าทีอะไร นายท่านดูเหมือนจะเป็นคนใจดีแต่เขาไม่เคยปรานีกับลูกน้องคนไหนที่ขัดคำสั่งเลย ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม
ถึงแม้หวู่ฉิงจะอยู่กับหวังฉิงมาหลายปีตั้งแต่ที่เธอยังเด็ก แต่เธอก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติพิเศษอะไรเลย และเธอก็ไม่กล้าที่จะร้องรออะไรด้วย นายท่านเป็นหนึ่งเดียวในหัวใจเธอ คนที่ต่ำต้อยอย่างเธอไม่คู่ควรที่จะได้คนที่สูงศักดิ์อย่างองค์ชายหรอก
มู่หรงกลับไปที่ห้องและหลังจากที่ล็อกประตูแล้ว เธอก็แวบเข้าไปในมิติลับ บางทีเธออาจจะทำคนเดียวได้ เพราะเธอมีสูตรยาที่ทรงอำนาจอยู่ในมือแล้วนิ