บทที่ 310
ภูเขายังสูงอยู่
ตอนที่มู่หรงเสวี่ยเห็นเสี่ยวไป๋ ช่างเป็นชายหนุ่มร่างสูงที่ดูฉลาดและทรงอำนาจจริงๆ เขานอนอยู่ที่โซฟา กำลังกินและกิน เธอมักจะรู้สึกว่ามันไม่เข้ากันเลย
“เจ้าเข้ามาทำไม?” เสี่ยวไป่ถามพร้อมกัดผลไม้ไปด้วย
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขาพร้อมทั้งขมวดคิ้ว สุดท้ายเธอก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และเดินเข้าไปที่หอคอยเก้าชั้น
เพราะเสี่ยวไป๋ใช้ดวงวิญญาณร่วมกับเธอ เธอจึงรู้สึกมั่นใจในตัวเสี่ยวไป๋อย่างมาก ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ เธอก็รู้สึกถึงหัวใจที่เชื่อมกันไว้ได้เลย
เจ้าลูกบอลขาวมองอยู่สักพัก แล้วก็ลุกขึ้นและเดิมตาม มู่หรงเข้าไปข้างในด้วย “สวัสดี เจ้าเมินข้าได้ยังไงเนี่ย?”
มู่หรงมองไปที่เขาและพูดออกมาเสียงเรียบ “ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากเรื่องกินกับนอน”
เสี่ยวไป๋เป่าผมตัวเองขึ้นมาทันที “ตัวข้ามีประโยชน์มากเลยนะ จากความแข็งแกร่งตอนนี้ของเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก ไม่งั้นถ้าได้สู้ด้วยกันเจ้าก็คงจะได้เห็นแล้วว่าข้าทรงพลังมากแค่ไหน” ในฐานะที่เป็นสุดยอดอสูรจะมาถูกสงสัยแบบนี้ได้ยังไง
มู่หรงกลอกตามอง “ข้าไม่มีเวลามาดูแลเจ้าหรอกนะ ข้ากำลังยุ่ง! อีกอย่างเจ้าก็ใช้พลังกับโลกภายนอกไม่ได้ด้วย มันถูกห้ามใช่ไหมล่ะ?!”
สีหน้าของเสี่ยวไป๋สะดุด “คือ…”
“โอเค ไปซะเถอะ อย่ามาเกะกะ” มู่หรงเข้าไปในห้องยา ผงยาที่ทำครั้งที่แล้วเหลือไม่มากแล้ว เธอจะต้องรีบผลิตเพิ่มอีก
“เจ้ากำลังจะทำอะไรงั้นเหรอ?” เสี่ยวไป๋ถาม
“กลั่นยาเพิ่ม!”
“โอเค งั้นข้าจะไม่รบกวนเจ้าแล้ว” เสี่ยวไป๋เดินออกไป
มู่หรงเสวี่ยเร่งมือในการกลั่นผงยาต่อ ถึงแม้เธอจะล็อกประตูแล้วแต่ที่นี่ก็ไม่ใช่พื้นที่ของเธอเลยสักนิด หวังฉิงอาจจะเข้ามาตอนไหนก็ได้และเธอไม่อยากที่จะทำให้เขาระแวงเพิ่มขึ้นไปอีก
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา มู่หรงเสวี่ยก็มองไปที่กองผงยาที่อยู่ตรงหน้าอย่างพึงพอใจ แค่นี้ก็พอที่จะทำให้คนทั้งกองสลบเหมือดได้แล้ว แน่นอนว่าอีกฝ่าจะต้องไม่ทันได้ตั้งตัวเพราะยานี้จะได้ผลก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายสูดดมเข้าไปถึงจะทำให้สลบได้ แต่ถ้าอีกฝ่ายตั้งรับทันและกลั้นหายใจไว้ยาก็ไม่มีผลอะไร
มู่หรงไม่กล้าที่จะอ้อยอิ่งอีกแล้วจึงรีบแวบออกมาจากมิติลับทันที และทันทีที่เธอออกมาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ด้านนอกของประตู
“มู่เทียน เปิดประตู! เร็วเข้าสิ” ที่ด้านนอกของประตูคือเสียงพูดและเสียงเคาะประตูอย่างอดกลั้นของหวังฉิง
มู่หรงไม่ได้ตั้งใจที่จะยั่วเขา ในสถานการณ์แบบนี้มันคงไม่ดีกับเธอเท่าไรถ้าทำให้เขาโกรธ
ทันทีที่เธอเปิดประตู เธอก็เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของหวังฉิง มู่หรงเสวี่ยไม่ได้สนใจ เธอหันหลังกลับไปนั่งลงที่เก้าอี้ในห้อง
“เจ้าล็อกประตูทำไม?” หวังฉิงจ้องมาที่เธอพร้อมทั้งพูดออกมา
“ข้ากำลังหลับ นี่ข้าต้องเปิดประตูให้พวกคนข้างนอกมาหัวเราะท่านอนข้าด้วยงั้นเหรอ?! ถ้าเจ้าต้องการ ครั้งหน้าข้าจะเปิดประตูไว้แล้วกัน…” ยังไงซะเธอก็ทำผงยาเสร็จแล้วและไม่จำเป็นที่จะต้องป้องกันอะไรอีกแล้ว
“ถ้าข้าไม่สั่งก็ไม่มีใครกล้ามองเจ้าหรอก” หวังฉิงเองก็นั่งลงด้วย พร้อมทั้งยกกาน้ำชามารินให้ตัวเองราวกับกำลังอารมณ์ดี
“โอ้? งั้นเหรอ? วันนี้ตอนที่ข้ากำลังเปลี่ยนชุด…” มู่หรงเสวี่ยหยุดไปชั่วขณะและเหล่ไปทางองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังหวังฉิง เขาเป็นหัวหน้าองครักษ์ชุดดำที่รับหน้าที่มาดูแล มู่หรงเสวี่ยช่วงบ่ายนี้
แน่นอนว่าเธอเห็นสีหน้าที่นิ่งสงบแสดงอาการออกมาเล็กน้อยและสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดในสายตา
“การเปลี่ยนเสื้อผ้ามันมีอะไรงั้นเหรอ?” หวังฉิงถามแล้วจึงมองไปที่ร่างของมู่เทียนด้วยเช่นกัน ชุดก็ยังชุดของวันนี้นิ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร
มู่หรงเสวี่ยเผยรอยยิ้มปีศาจและจ้องตรงไปที่องครักษ์ที่อยู่ข้างหลังหวังฉิง
หวังฉิงเองก็สังเกตได้เหมือนกันว่าหัวหน้าองครักษ์เองก็อยู่ข้างๆเขาและสีหน้าของเขาก็ขรึมขึ้นมาเล็กน้อย “พูดมา” น้ำเสียงเย็นชา ประโยคนี้พูดกับองครักษ์ชุดดำ
ชื่อเสียงขององครักษ์ชุดดำคนนี้คืออู่ชาง เขาโตมากับนายท่านตั้งแต่ยังเด็กๆ แม้แต่ชื่อของเขานายท่านก็ยังเป็นตั้งให้ ก่อนหน้านี้ที่ถนน นายท่านยื่นมือออกมาหาเขาพร้อมทั้งพูดว่า “เจ้าอยากที่จะติดตามข้าหรือเปล่า?”
ในตอนนั้น เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่และตายเพื่อองค์ราชา จะติดตามพระองค์ไปทุกอย่างก้าว
อู่ชางรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่งและไม่ได้แก้ต่างอะไรให้ตัวเองด้วย หลายปีที่ผ่านมาเขาภักดีและซื่อสัตย์มาตลอด
มู่หรงเสวี่ยดูเหมือนจะแสยะยิ้มมากกว่าที่จะยิ้ม
หวังฉิงมองไปที่พวกเขาอย่างเย็นชา และคิดว่าเมื่อเทียบกับมู่เทียนแล้ว เขาเชื่อในตัวอู่ชางมากกว่าแน่นอน อู่ชางไม่มีทางทรยศเขาแน่ๆ นี่เป็นความมั่นใจของพระราชา
“ลงไปข้างล่าง อู่ชาง” หวังฉิงโบกมือและพูดออกมา
“ขอรับ” ก่อนที่อู่ชางจะเดินออกไป เขาหันมามองมู่เทียนด้วยห่างตาพร้อมประกายแวบที่ดวงตา เขาคิดมาเสมอว่ามู่เทียนเป็นผู้หญิงที่อันตรายและเขาไม่อยากให้นายท่านตามใจผู้หญิงคนนี้มากเกินไป
แค่ท่าทางไร้ยางอายของมู่เทียนที่พยายามจะถอดเสื้อผ้าตัวเองเมื่อบ่ายวันนี้ เขาก็รู้สึกได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีค่าอะไร ผู้หญิงที่กล้าทำแบบนั้นต่อหน้าพวกองครักษ์คงไม่ใช่ผู้หญิงที่ใสซื่อบริสุทธิ์เท่าไรหรอก นางโหดร้ายกับตัวเองและยิ่งโหดร้ายไปอีกเมื่อเป็นเรื่องของคนอื่น
เขาหวังว่านายท่านจะแค่หลงเฉยๆนะ
“ได้ยินมาว่าเจ้าทำอะไรได้ด้วยงั้นเหรอ?” หวังฉิงมองไปที่มู่หรงที่กำลังเล่นปอยผมตัวเองอย่างเบื่อๆและถามออกมา
มู่หรงถาม ไอ้โง่ที่ไหนเอาเรื่องนี้มาบอกเนี่ย?!
สักพักเธอก็ตอบออกไปเสียงเรียบ “ใครบอก ข้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ไปเตรียมอาหารเย็นได้แล้ว” ประกายความโกรธแวบขึ้นมาในสายตาของหวังฉิง เป็นอู่ชางเองที่ปลอมตัวเป็น เฟิงจือหลิงก่อนหน้านี้ แม้แต่อู่ชางก็ยังเคยกินอาหารฝีมือเธอเลย แล้วแบบนี้เขาจะกล้าที่จะพูดออกไปได้ยังไงล่ะ?!
“ไม่” เธอไม่ใช่คนใช้นะ
“เจ้าไม่มีสิทธิมาปฏิเสธ” หวังฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาราวกับกำลังบอกสิ่งที่ตัวเองต้องการ เขาไม่ใช่คนเรื่องมากเรื่องกินอยู่แล้ว แต่ก่อนตอนที่เขาอยู่ในวัง ที่ที่เขาสามารถที่จะเลือกมากได้แต่เขาก็ไม่เคยเลือกมากเลย
ตอนแรกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เธอทำอาหารให้หรอกแต่ท่าทางของเธอทำให้เขารู้สึกโกรธอย่างมากและเขาอยากที่จะกินฝีมือเธอจริงๆ
มู่หรงยังคงไม่สนใจเขาต่อ ใบหน้าและดวงตาไม่แม้แต่จะหันมามองเขาสักนิดด้วยซ้ำ หวังฉิงโกรธมากจึงจับไปที่คางของเธอตรงๆ ปลายนิ้วของเขาบังคับให้เธอหันมาเผชิญหน้ากับเขา
“ข้าขอบอกเจ้าเลยนะ มู่เทียน อย่าทำตัวไร้ยางอายแบบนี้อีก ถ้าเจ้าทำให้ข้าโกรธอีก มันคงไม่ดีกับเจ้าเท่าไร ถ้าไม่ฟังข้าก็จะให้เจ้าได้เห็นนิ้วของเฟิงจือหลิง บางทีนั่นอาจจะทำให้เจ้าเชื่อฟังได้บ้างหรือเปล่า?”
มู่หรงเสวี่ยกัดริมฝีปาก เขาเอาเฟิงจือหลิงมาขู่เธอ ไม่ได้ เธอจะต้องหาตำแหน่งของเฟิงจือหลิงให้เจอแล้วรีบหนีไปให้เร็วที่สุด หวังฉิงอยากที่จะเขมือบเธอตลอดเวลา
เธอตบไปที่มือของเขา “ได้ข้าจะไปเตรียมอาหารให้ท่าน ครัวอยู่ที่ไหนล่ะ?” ก็แค่อาหารมื้อเดียวใช่ไหมล่ะ? ทำไมเธอจะทำไม่ได้ล่ะ
“พูดได้ดี และอย่าตุกติกล่ะ” หวังฉิงปล่อยคางของเธอและพูดต่อ “ลุกขึ้น ข้าจะพาเจ้าไปเอง”
หวังฉิงลุกขึ้นและยื่นมือออกไป พยายามที่จะจับมือ มู่เทียน
มู่หรงเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยแล้วจึงออกเดินนำไปก่อนพร้อมทั้งพูดเสียงเรียบ “ข้าเดินเองได้”
ไม่รู้ว่าทำไม จิตใต้สำนึกของมู่หรงถึงไม่อยากที่จะเข้าใกล้ผู้ชายคนอื่น มันราวกับว่ามีคนที่สำคัญกำลังรอเธออยู่ แต่เธอกลับจำไม่ได้
สีหน้าของหวังฉิงหมองลง เขาไม่อยากที่จะบังคับเธอ เขารู้ดีว่าตัวเองตกลงไปในกับดักเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่จับเธอกลับมาได้เขาคิดไว้ว่าจะทรมานเธอ แต่ก็พบว่าตัวเองทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นเธอเจ็บปวด วันนี้เขายังจำรสชาติที่สวยงามของรอยจูบของเธอได้ สัมผัสที่อ่อนนุ่มระหว่างริมฝีปากและกลิ่นหอมอ่อนๆทำให้เขารู้สึกเสพติดอยู่เล็กน้อย
ทั้งสองเดินมาด้วยกันตลอดทาง มู่หรงอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆและแอบจำเส้นทางและทุกทางแยกไว้เงียบๆ พร้อมทั้งเรื่องของพวกองครักษ์ด้วย
แต่ยิ่งเธอมองมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้นเท่านั้น ที่นี่มีองครักษ์เยอะกว่าที่เธอคิดไว้อีก
น่าเสียดายที่ครัวอยู่ไม่ห่างจากสนามมาก เธอจึงไม่ได้เดินไปนอกเส้นทางเท่าไร “เป็นบ้านที่สวยมากเลย ข้าขอเดินดูรอบๆได้ไหม?” มู่หรงทำท่าทางถามแบบไม่สนใจ
หวังฉิงแวบประกายน่าเกรงขามและตอบออกมา “หลังมือค่ำ ข้าจะพาเจอไปเดินดูรอบๆ” เธอระวังมากที่จะไม่ให้เขารู้ เพียงแต่ว่าปกติแล้วเธอแทบจะไม่พูดดีๆกับเขาแต่เขาก็ไม่อยากที่จะพูดเรื่องนี้
“ดี!” มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจถ้าเขาจะรู้ ยังไงซะเป้าหมายของเธอก็เพื่อที่จะรู้เส้นทางอยู่แล้ว ยังไงซะผู้คนก็จะต้องรู้เรื่องในชายคาอยู่แล้ว มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ปิดบังเรื่องทักษะการทำอาหารของตัวเองเลย เธอทำอาหารห้าจานและซุปอีกหนึ่งอย่าง ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะดูน่ากินและมีกลิ่นหอมไปหมดเลย แน่นอนว่าเธอไม่ใช้เครื่องปรุงจากในมิติลับเลย
เธอไม่ได้ใจดีกับศัตรูขนาดนั้นหรอกนะ ทุกอย่างในมิติลับเป็นของชั้นยอด
เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาคิดไปเองหรือว่ายังไง หวังฉิงถึงได้รู้สึกว่าอาหารของมู่หรงเสวี่ยอร่อยทุกจานเลย ความอยากอาหารของเขาเทียบไม่ได้เลย เขาเติมข้าวมากกว่าปกติ
“อร่อยมากเลย” หวังฉิงพูดชมขึ้นมาหลังจากที่กินเสร็จ
ตรงกันข้าม มู่หรงเสวี่ยไม่ได้กินอะไรเลย เพียงแค่ชิมไปไม่กี่คำ
“ไม่อร่อย ไม่อร่อยเลย” มู่หรงเสวี่ยพูด อันที่จริง เธอแทบจะไม่ได้แตะอาหารเลย เธอไม่รู้สึกถึงความอร่อยเลย
หวังฉิงเผยรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก “คืนนี้นอนพักให้สบายเถอะ พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกัน!”
มู่หรงวางถ้วยและตะเกียบลง “ออกเดินทางงั้นเหรอ? ไปไหนเหรอ?”
“ดินแดนแห่งไฟ” หวังฉิงไม่รังเกียจที่จะบอกเธอ
คิ้วของมู่หรงเลิกสูงและอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “แล้วเจ้าจะทำยังไงกันเฟิงจือหลิงล่ะ?”
หวังฉิงมองไปที่เธอพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วงหรอก ตราบใดที่เจ้าทำตัวดี เขาก็จะไม่เป็นอะไร”
“แล้วเขาอยู่ที่ไหน?”
รอยยิ้มต่อไปของหวังฉิงดูชัดมากกว่าเดิม “มู่เทียน ไม่ต้องตกใจหรอก อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?! เฟิงจือหลิง ข้าแอบส่งเขากลับไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขาก็น่าจะไปถึงชายแดนเมืองแห่งไฟแล้ว เจ้าอยากที่จะช่วยเขางั้นเหรอ? อย่าคิดเรื่องนั้นเลย แค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอ”
เขาจะไม่เตรียมตัวอะไรเลยได้ยังไง? ตั้งแต่ตอนที่ มู่หรงเสวี่ยเข้าในคฤหาสน์ของผู้ปกครองแห่งดินแดนวันก่อน เขาก็แอบเปลี่ยนตัวตนของเฟิงจือหลิงและอู่ชาง พร้อมทั้งส่ง เฟิงจือหลิงกลับไปที่ดินแดนแห่งไฟเพื่อป้องกันเรื่องที่มู่หรงเสวี่ยจะเข้ามาช่วยเขา
และก็เป็นอย่างที่คิด คืนที่เขาทำการเปลี่ยนแปลง ผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉินก็เข้ามาที่คฤหาสน์ของเขาเพื่อปล้นคนของเขาไป
เดิมทีเขาอยากให้อู่ชางคอยสืบเรื่องข่าวต่างๆ แต่เมื่อเขาได้ยินว่ามู่เทียนไปไหนมาไหนกับผู้ปกครองของดินแดน เขาก็อดใจไม่ได้