กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1020
อี้หยุนเฟยคว้ามือของกู้ชูหน่วนวิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ยิ่งใกล้ทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็ยิ่งรกร้าง
สภาพบ้านเรือนก็เปลี่ยนจากอิฐสีเขียวและกระเบื้องสีเขียวเป็นบ้านมุงจาก
ยิ่งก้าวเดินไปข้างหน้าก็ยิ่งเห็นผู้คนต่างแต่งตัวซอมซ่ออยู่กันอย่างแออัด
พวกเขาทั้งหมดต่างซีดเซียวและซูบผอม มีดวงตาที่มืดสลัวและเงียบงัน
กระท่อมมุงจากมีสภาพทรุดโทรมมาก ทั้งหลังคามีรูหรือไม่มีหน้าต่าง แทบจะไม่เห็นกระท่อมมุงจากที่สมบูรณ์เลยสักหลัง
ผู้คนล้วนเดินเท้าเปล่า
ตอนนี้ได้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงและตอนกลางคืนก็หนาวเหน็บ พวกเขาต่างพากันหนาวจนตัวสั่น
ฝูกวงกระซิบ “นายท่าน ที่นี่ก็คือสลัมที่นายท่านต้องการจะมาขอรับ”
“ท่านแม่…..ตื่นได้แล้ว ท่านพ่อหลับแล้ว ปู่และย่าก็หลับไปแล้ว ท่านจะนอนต่อไปแบบนี้ไม่ได้”
เสียงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะดังขึ้นอย่างชัดเจน และทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นก็เห็นเด็กหญิงอายุห้าหกขวบนอนอยู่บนตัวผู้หญิงคนนั้น ร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุด
คนรอบข้างดูเหมือนจะคุ้นชินกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือหิวมากเกินไป ทำให้ไม่มีใครตอบสนองอะไร
พวกเขาไม่ได้ตาบอด และสามารถรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นเสียชีวิตแล้ว
กู้ชูหน่วนกวาดสายตาไปทางขวาและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกัดนิ้วของนางเพื่อบังคับให้เลือดออกและสามารถนำไปเลี้ยงทารกในผ้าห่อตัวของนาง
ยังมีชายชราผมขาวที่หน้าซีดจากอาการป่วย ไอตลอดเวลา และเด็กเล็กๆ ที่ร้องไห้ด้วยความหิวโหยอย่างขมขื่น
อี้หยุนเฟยพูดอย่างเศร้าใจว่า “พวกเขาไม่มีที่อยู่อาศัยและไม่มีเสบียงอาหาร พวกเขาอาศัยต้นไม้และรากหญ้าในการดำรงชีวิต ตอนนี้ต้นไม้และรากหญ้าถูกถอนออกไปหมด และเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์จากราชสำนักยังมาไม่ถึง ทำให้หลายคนต่างตายลงเพราะไม่ได้กินอะไร”
“สลัมถูกปิดตาย พวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้ามาได้ แต่ห้ามออกไป เจ้าหน้าที่ของเมืองหลวงกลัวว่าคนเหล่านี้จะหลั่งไหลออกมาจากสลัมผู้ประสบภัย เมื่อถึงตอนนั้น ถนนจะเต็มไปด้วยขอทาน ซึ่งจะส่งผลร้ายอย่างมาก”
กู้ชูหน่วนตระหนักขึ้นได้ทันที
ไม่แปลกที่มีเจ้าหน้าที่ทหารจำนวนมากเฝ้าทางเข้าออกสลัมผู้ประสบภัย ที่แท้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาหลบหนีออกไป
นี่ไม่ต่างกับการกักขังพวกเขาไว้ที่นี่เพื่อให้อดตายเลยสักนิด
อี้หยุนเฟยพูดต่อ “พวกเขาถือว่ายังอยู่ในสภาพดี ผู้ประสบภัยที่อื่นกลับแย่กว่านี้ พวกเขาไม่มีแม้แต่ที่กำบังลมและฝน ตลอดทางที่ข้าเดินทางมาได้เห็นผู้ประสบภัยจำนวนมากเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บหรืออดอาหารจนถึงขึ้นล้มตายลง”
เพื่อช่วยพวกเขา เขาได้นำเงินทั้งหมดที่เขามีไปแลกกับเสบียงอาหารและยารักษาโรคหมดแล้ว
แม้แต่เสื้อผ้าก็นำไปจำนำ
มีเพียงจี้หยกที่พ่อของเขาทิ้งไว้ให้เขาเท่านั้นที่ยังทำใจเอาไปจำนำไม่ได้
แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่เพียงพอ
ทำให้เขาเกิดความคิดที่จะปล้นเสบียงอาหารจากราชสำนัก
กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว
“ราชสำนักก็ลำบากเช่นกัน ตอนนี้ราชสำนักไม่มีทั้งยา คน เงินและข้าว”
“ยากลำบากมากแค่ไหนก็ไม่สมควรยืนมองราษฎรของตัวเองต้องอดตายเช่นนี้ น้องหยาง ไม่เช่นนั้นเจ้าลองกราบทูลฝ่าบาท ให้พระองค์พระราชทานเงินให้สักเล็กน้อย?”
น้องหยาง?
ฮึ
เขาคิดว่านางเป็นหยางม่านจริงหรือเนี่ย?
ต่อให้นางเป็นหยางม่าน อายุของนางก็มากกว่าเขาอยู่ดี
เรียกน้อง เขาไม่รู้สึกอายบ้างเลยหรือ
“หากราชสำนักมีเงินคงแจกจ่ายไปนานแล้ว มีหรือจะรอจนถึงตอนนี้”
“พูดเหลวไหล รัฐปิงออกมากว้างขวางเช่นนี้ และมีความสามารถในสามอันดับแรกของดินแดนวิญญาณเยือกแข็ง มีหรือที่จะไม่มีแม้แต่เสบียงอาหารแจกจ่ายประชาชน”
กู้ชูหน่วนลูบศีรษะของเขาและถูกเขาผลักออก
ไม่รู้ใครตะโกนออกมาจากฝูงชน “แจกจ่ายเสบียงอาหารแล้ว แจกจ่ายเสบียงอาหารแล้ว มีนักบุญนิรนามมาแจกจ่ายเสบียงอาหารอีกแล้ว ทุกคนรีบนอนลงเร็วเข้า”
จากนั้นผู้ประสบภัยทั้งหลายต่างแสร้งนอนหลับและต่างพากันตื่นเต้นอย่างมาก
ไม่นานชายที่สวมผ้าปิดบังใบหน้าจำนวนหนึ่งก็นำเสบียงอาหารมาแจกคนละถุง
เมื่อชายสวมผ้าปิดบังใบหน้าจากไป ราษฎรทั้งหลายก็ต่างลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
ไม่นานก็มีควันจากการปรุงอาหารในสลัมผู้ประสบภัย
คนชราและเด็กเล็กต่างพากันจับจ้องไปยังโจ๊กร้อนๆ ที่อยู่ในหม้อ
อี้หยุดเฟยยิ้มอย่างมีความสุขและเอามือเท้าเอวรอให้กู้ชูหน่วนชมเขา
กู้ชูหน่วนยิ้มและลูบศีรษะของเขาอีกครั้ง
“ปล้นเสบียงอาหารจากทางการ ถือเป็นโทษหนักถึงขั้นประหารศีรษะเก้าชั่วโคตร เจ้ายังยิ้มออกอีกหรือ”
“นางไม่มีทางฆ่าสังหารตระกูลของข้าเก้าชั่วโคตรได้ และนางก็ทำไม่ได้ด้วย”
“อ้อ…..”
กู้ชูหน่วนกวาดสายตาไปยังจี้หยกสี่เหลี่ยมโบราณที่อยู่บนหน้าอกของเขาอีกครั้ง
และรวมถึงเส้นทางที่ชายสวมผ้าปิดบังใบหน้าจากไป
ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความสูงส่ง เขาเป็นเจ้าของหยกโบราณที่ประเมินค่าไม่ได้ และชายสวมผ้าปิดบังใบหน้าเหล่านั้นล้วนต่างมีทักษะขั้นสูง พวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ตัวตนของเขาต้องธรรมดาแน่นอน
แซ่อี้?
หรือว่าเขาจะเป็นองค์ชายที่เดินทางมาจากรัฐอี้?
“อย่าพูดถึงเรื่องที่จักรพรรดินีจะฆ่าสังหารตระกูลเก้าชั่วโคตรของเจ้าหรือไม่เลย เจ้าว่ายน้ำไม่เป็นแล้วยังกล้ากระโดดลงน้ำ เจ้าไม่กลัวจมน้ำตายหรืออย่างไร?”
“ก็ข้ามัวแต่นึกถึงเรื่องการปล้นสะดมเสบียงอาหารเลยลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป แต่ท่านพ่อของข้า….ท่านพ่อของข้าบอกว่าข้าเป็นคนดวงดี เพียงแค่เดินทางมารัฐปิงเพื่อแต่ง….แต่งงานกับคนที่นี่ก็ไม่มีทางตายลงได้”
“เหตุใดถึงเดินทางมาแต่งงานที่รัฐปิงแล้วจะไม่มีวันตายได้?”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ท่านพ่อของข้าเอาแต่พูดพร่ำไม่หยุด ทุกครั้งมักพูดแต่เรื่องอะไรที่ข้าไม่เข้าใจ แต่ก็คงหมายถึงให้ข้าแต่งงานกับผู้หญิงของรัฐปิงเป็นภรรยากระมัง”
“เช่นนั้นเจ้าอยากแต่งงานหรือไม่?”
“ไม่ ผู้หญิงของรัฐปิงที่มีพลังและอำนาจล้วนไม่ใช่คนดีอะไร”
กู้ชูหน่วนแอบขำ “เห้อ อยู่เฉยๆ ข้าก็ถูกตำหนิอย่างนั้นหรือเนี่ย? ในเมื่อผู้หญิงรัฐปิงไม่มีอะไรดี เช่นนั้นข้าก็จะเป็นคนเลวให้ถึงที่สุดแล้วไปบอกเจ้าหน้าที่รัฐว่าเจ้าเป็นคนปล้นเสบียงอาหารของทางการไป แถมยังมีเงินรางวัลให้อีกด้วย”
อี้หยุนเฟยคว้าตัวนางไว้และกะพริบตาปริบๆ เพื่ออ้อนวอนนาง “น้องสาวคนดี เจ้าเป็นคนดีที่สุด เจ้าไม่มีทางเอาความลับนี้ไปบอกพวกเขาใช่หรือไม่”
“เรียกข้าว่าพี่”
“น้อง นี่….เจ้าใจร้ายเหลือเกิน ประชาชนเหล่านั้นต่างหิวโหย หากไม่แจกจ่ายเสบียงอาหารให้พวกเขา พวกเขาคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น”
เมื่อเห็นว่าคว้าตัวกู้ชูหน่วนไว้ไม่ได้ อี้หยุนเฟยก็นั่งลงกับพื้นและจับขาของนางไว้ ไม่ว่ากู้ชูหน่วนจะสะบัดแรงแค่ไหนก็ไม่หลุด
เมื่อมองไปยังใบหน้าที่เหมือนกับอี้เฉินเฟย จนถึงตอนนี้ฝูกวงก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่หน้าเหมือนกัน ทว่ากลับมีนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หากประมุขชิงยังอยู่ เขาไม่มีทางใช้วิธีนี้อย่างแน่นอน
กู้ชูหน่วนเกิดความรู้สึกพิเศษต่ออี้หยุนเฟยขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะร้องไห้ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเขาแกล้งทำ แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะหยุดและช่วยพยุงเขาขึ้นมา
“เจ้าทำเช่นนี้ก็ไม่ช่วยอะไร เจ้าสามารถปล้นเสบียงอาหารของทางการได้ครั้งเดียว ครั้งที่สองเจ้าคิดว่าเจ้าจะยังทำได้อย่างราบรื่นอย่างนั้นหรือ?”
“ขอเพียงแค่มีเสบียงอาหาร เช่นนั้นข้าก็จะทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ”
“โดยใช้ชายที่สวมผ้าปิดบังใบหน้าเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”
“ยังมีประชาชนผู้ประสบภัยที่นี่ทั้งหมด”
“สู้ได้กับทหารนับพันนับหมื่นอย่างนั้นหรือ?”
“เอ่อ……”
“ต่อให้สู้ได้ เช่นนั้นผู้ประสบภัยคนอื่นที่สมควรได้รับเสบียงอาหารเหล่านี้จะทำอย่างไร? ต้องอดตายอย่างนั้นหรือ?”
“เช่นนั้นก็ให้พวกเขาแจกจ่ายเสบียงอาหารอีกสิ”
“ปัญหาก็คือราชสำนักไม่มีเสบียงอาหาร”
“เช่นนั้นก็ยืมเสบียงอาหารสิ”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ไร้เดียงสาของเขา กู้ชูหน่วนก็บีบแก้มที่ขาวนวลของเขา
“จะไปหยิบยืมจากที่ไหน? เสบียงอาหารจำนวนมากมายเช่นนั้นมีรัฐไหนที่จะให้ยืมได้อย่างง่ายดาย หลายปีมานี้มีแต่ภัยพิบัติเกิดขึ้น ไม่เพียงแค่รัฐปิง รัฐอื่นๆ ก็ประสบความเดือดร้อนไม่ต่างกัน”
“เช่นนั้นควรทำอย่างไร?”
“ได้ยินมาว่าจักรพรรดินีจะอภิเษกสมรสกับองค์ชายของรัฐอี้ และรัฐอี้ก็สัญญาว่าหลังจากแต่งงานกันแล้วก็จะให้ยืมเสบียงอาหาร เช่นนั้นจักรพรรดินีน่าจะแต่งงานกับรัฐอี้”
เมื่อพูดออกไปอี้หยุนเฟยก็แทบกระโดดออกมา
“ไม่มีทาง รัฐปิงและรัฐอี้ไม่มีทางปรองดองกันได้”
“อ้อ…..เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเขา กู้ชูหน่วนก็เชื่อได้ทันทีว่าเขาเป็นองค์ชายที่เดินทางมาแต่งงานจากรัฐอี้
เพียงแต่นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดจักรพรรดิรัฐอี้ถึงบอกว่าเพียงแค่เขาแต่งงาน เขาก็จะไม่มีทางตายได้
ดูแล้วอี้หยุนเฟยก็ไม่ใช่คนขี้โรคอะไรเช่นนั้น
“ข้า….ข้ารู้ว่าจักรพรรดินีของพวกเจ้าเป็นคนที่ไร้ศีลธรรมมากแค่ไหน นางเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ได้เพียงสามวันก็แต่งงานกับชายรูปงามถึงสามคน แถมยังรับเลี้ยงดูสนมที่วังหลังของจักรพรรดินีตัวปลอมทั้งหมดกว่าหลายพันคน คนเช่นนี้จะเหมาะสมเป็นภรรยาได้อย่างไร องค์ชายของรัฐอี้ไม่ยอมเป็นคนที่ถูกสวมเขาอย่างแน่นอน”
“แต่งงานกับชายรูปงามถึงเป็นคนหลังจากขึ้นครองราชย์เป็นเรื่องจริง แต่เรื่องที่รับเลี้ยงดูชายรูปงามในวังหลังกว่าหลายพันคนนั้นใครเป็นคนบอกเจ้า เจ้าว่าเจ้าก็ไม่ใช่คนโง่ แต่เหตุใดถึงเชื่อเรื่องโกหกเหล่านี้ด้วย”
“ทุกคนต่างก็พูดกันเช่นนี้”
“สามารถแอบซ่อนจี้หยกโบราณได้ ข้าคิดว่าสถานะตัวตนของเจ้าต้องไม่ธรรมดาแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็คงรู้ว่าข่าวลือเช่นนี้ไม่เป็นความจริง”
“เช่นนั้นเรื่องที่แต่งตั้งให้เยี่ยกุ้ยเหรินเป็นพระสวามีรองให้เทียบเท่ากับเหวินเส่าอี๋ และสุดท้ายก็ทำให้เหวินเส่าอี๋โมโหจนตาบอด เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่”
กู้ชูหน่วนแทบกัดลิ้นตัวเอง
ยุคนี้ใครก็พูดอะไรขึ้นมาก็ได้
เหวินเส่าอี๋ตาบอดมองไม่เห็นเอง เกี่ยวอะไรกับนางด้วย
“เจ้าไม่ใช่องค์ชายของรัฐอี้ เจ้าไม่มีสิทธิ์ห้ามการแต่งงานของเขา”
“แน่นอนว่าทำได้ จักรพรรดินีที่ลามกและฝักใฝ่ในกามเช่นนั้น ถ้าไม่ตาบอดก็ไม่มีใครแต่งงานกับนาง อีกอย่างองค์ชายของรัฐอี้ถือเป็นองค์ชายเพียงองค์เดียวของรัฐอี้ อีกทั้งรัฐอี้ก็มีขนาดใหญ่มหาศาล เขาไม่มีทางเป็นสนมของคนอื่นอย่างแน่นอน”
อี้หยุนเฟยด่าทอและสาปแช่งกู้ชูหน่วนต่างๆ นานา
เป็นผู้หญิงก็ควรเชื่อฟังคำพูดของสามี
จะออกมาเป็นจักรพรรดินีไปเพื่ออะไร
แถมยังแต่งงานกับผู้ชายไปทั่ว
เขายอมปล่อยผู้หญิงจำนวนมากไป เพื่อมาเป็นสามีน้อยของนาง?
สมองของนางก็ไม่ได้ใช้งานไม่ได้
“ไม่แต่งงาน เช่นนั้นเจ้าคิดว่าผู้ประสบภัยในรัฐปิงจำนวนมากเหล่านั้นจะทำเช่นไร? องค์ชายของรัฐอี้จะยอมทนเห็นประชาชนของรัฐปิงต้องอดตาย ป่วยตาย จมน้ำตายหรือหนาวตายอย่างนั้นหรือ?”
“ฉะนั้นเขากำลังคิดหาวิธีอยู่ไม่ใช่หรือ? เพียงแค่ตอนนี้เขายังคิดวิธีที่ดีไม่ได้เท่านั้นเอง”
ท่าทางที่ไร้เดียงสาของเขาไม่เพียงทำให้กู้ชูหน่วนชื่นชอบ
ฝูกวงและลั่วอิ่งก็ชื่นชอบด้วยเช่นกัน
ถ้าไม่ใช่คนโง่ก็พอจะฟังคำพูดของเขาออกว่าเขาก็คือองค์ชายรัฐอี้ที่เดินทางเพื่อมาแต่งงาน
เพียงแต่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าเขาเป็นถึงองค์ชายเพียงคนเดียวของรัฐ ทว่ากลับมีจิตใจและความคิดที่สะอาดบริสุทธิ์และไร้เดียงสาอย่างมาก
เกิดและเติบโตท่ามกลางระบบราชวงศ์ที่วุ่นวายและมีความซับซ้อนเช่นนั้น จะมีใครบ้างที่ยังคงมีจิตใจที่งดงาม
อดพูดไม่ได้ว่าจักรพรรดิอี้และฮองเฮาอี้ได้อบรมเลี้ยงดูเขามาเป็นอย่างดี
“ใกล้สว่างแล้ว ข้าต้องรีบออกไปแล้ว เจ้ารีบกลับไปพูดให้จักรพรรดินียอม บอกให้นางแจกจ่ายเสบียงอาหารมาเพิ่มให้กับประชาชนผู้ประสบภัยอีก”
“แล้วก็ เจ้าพูดกับจักรพรรดินีว่าองค์ชายรัฐอี้ทั้งเตี้ยทั้งน่ารังเกียจ บอกให้นางยกเลิกการแต่งงานในครั้งนี้ลงเสีย”
อี้หยุนเฟยพูดพลางและถอยหลังออกไป จากนั้นก็คอยมองท้องฟ้าอยู่บ่อยครั้ง
กู้ชูหน่วนหัวเราะ
เดิมทีนางไม่ได้สนใจหรือใส่ใจกับการแต่งงานในครั้งนี้เลยสักนิด
แต่ตอนนี้…..
“ฝูกวง ลั่วอิ่ง ไปกันเถอะ เราควรกลับวังหลวงกันได้แล้ว”
เช้าวันถัดไป
กู้ชูหน่วนได้พาเหวินเส่าอี๋กลับไปยังเผ่าเพลิงฟ้าพร้อมกับขบวน
และสิ่งที่ดึงดูดสายตาของทุกคนก็คือ
ครั้งนี้จักรพรรดินีไม่เพียงพาพระสวามีเอกกลับไปเท่านั้น
แถมยังพาพระสวามีรองและม่อกุ้ยเหรินกลับไปด้วยเช่นกัน
นี่ นี่ นี่….
นี่เป็นการดูถูกเหยียดหยามพระสวามีเอกอย่างมาก
มีหรือที่จะพาผู้ชายคนอื่นกลับไปเผ่าเพลิงฟ้าพร้อมกับเขาด้วย