1897-2 vs 1897-3 vs 1897-4 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 1897-2 เทพฉิน…เอกการละคร

เขาลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ยัยเสือน้อยยังคิดว่าเขากำลังโกรธเธออยู่ ถึงได้เดินตามติดเขาไป แล้วก็เห็นเขาดึงลิ้นชัก หยิบถุงมันฝรั่งทอดที่เตรียมไว้ให้เธอ “มั่วมั่ว เธอไม่กินขนมแบบนี้นี่นา?”

ฉินมั่วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบ “เธอไม่อยู่ ฉันกลัวว่าเธอหิว เลยไม่ได้กินข้าวเย็น” ในขณะที่เขาพูดเช่นนี้ออกมา คุณพ่อบ้านก็ถือถาดใส่จานผลไม้มาให้พอดี เพราะทุกคืนคุณชายต้องป้อนผลไม้ให้คุณหนูจิ่วกิน เนื่องจากเธอชอบกินเนื้อมาก หากจะพูดตามที่คุณชายได้เคยกล่าวไว้ก็คือ เกรงว่าเธอจะขาดสารอาหารจำพวกวิตามิน จึงเอาผลไม้มาเสริม

ด้วยเหตุนี้เขาที่บังเอิญได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของคุณชายเข้า ถึงกับพูดในใจว่า…คุณชายปากไม่ตรงกับใจนี่

คุณหนูจิ่วตามผู้กำกับวิลเลี่ยมออกไปข้างนอก จะหิวได้ยังไง คุณน่ะกินไม่ลงเพราะรู้ว่าคุณหนูจิ่วไปเที่ยวเล่นกับคนอื่น ไม่ยอมอยู่เล่นกับคุณต่างหาก

ทว่าในฐานะที่เป็นคุณพ่อบ้านมืออาชีพ ถึงจะอายุยังน้อย แต่ก็รู้ดีว่าไม่ควรพูดเรื่องนี้ออกไป

ป๋อจิ่วเป็นพวกเข้าอกเข้าใจความรู้สึกคนอื่นมาก ดวงตากลมโตมองยังนอกหน้าต่าง ฝนยังคงตกอยู่ เมื่อกี้ตอนที่เธอกลับมา ฟ้าก็ร้องคำรามแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าหญิงน้อยเกลียดที่สุด เธอรู้ดีว่าปกติแล้วตระกูลอานกินอาหารตรงต่อเวลา เจ้าหญิงน้อยไม่ได้กินข้าวเย็นเพราะเธอ แต่เธอกลับเที่ยวสนุกอยู่นอกบ้าน ยัยเสือน้อยรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก จึงยื่นมือโอบรัดเอวอีกฝ่ายจากด้านหลัง ส่ายหางไปมา “มั่วมั่ว ฉันผิดไปแล้ว”

เมื่อเห็นสภาพอีกฝ่าย ฉินมั่วก็เห็นว่าพอควรแล้ว จึงพูดออกไปจากใจจริง “ป๋อเสียวจิ่ว ถ้าเธอออกไปเล่นกับคนอื่นอีกก็อย่ามาเล่นกับฉัน เข้าใจไหม?”

“เข้าใจแล้ว ต่อไปฉันจะเชื่อฟังเธอ” ยัยเสือน้อยส่ายหาง พูดอย่างจริงจัง

ฉินมั่วหันกลับมาพันนิ้วบนเส้นผมเธอ “ครั้งนี้จะยกโทษให้”

ยัยเสือน้อยพยักหน้า เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นเด็กดี ไม่ต้องให้ฉินมั่วเตือน จึงเข้าไปอาบน้ำจนตัวหอม แล้วมานอนข้างๆ ดวงตากลมโตจ้องฉินมั่วพลางฟังนิทานที่เขาอ่าน

ต้องบอกว่าวิธีของฉินมั่วได้ผลมาก เพราะในวันต่อมา เมื่อวิลเลี่ยมจูเนียร์อุ้มลูกบาสมาหาเธอ ยัยเสือน้อยปฏิเสธอย่างหนักแน่น “ไม่ไป”

เดิมทีวิลเลี่ยมจูเนียร์ก็หน้าแดงอยู่แล้ว เขาออกจะคาดหวังกับการนัดเดทที่สนามบาสมาก เพราะเขาพอจะเข้าใจตัวเจ้าปีศาจเอเชี่ยนนั่นแล้ว มันไม่ชอบกีฬาที่ออกเหงื่อ ย่อมไม่ออกไปข้างนอกกับจิ่ว งั้นเขาก็จะได้อยู่กับจิ่วสองคน แต่ไม่คิดเลยว่าจะกลับกลายเป็นเช่นนี้

“พวกเรานัดกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ?” วิลเลี่ยมจูเนียร์พยายามกลั้นความโกรธไว้

ทว่าป๋อจิ่วกอดคีย์บอร์ด เอ่ยอย่างเป็นเรื่องจริงจัง “เมื่อคืนฉันทิ้งมั่วมั่วให้อยู่คนเดียว เขาเลยไม่ได้กินข้าว แถมเขากลัวความมืดด้วย ฉันจะต้องอยู่เป็นเพื่อนเขา”

กลัวความมืด? เจ้าปีศาจจากเอเชียเนี่ยนะ? เป็นไปได้อย่างไร ไม่ได้การล่ะ วันนี้เขาจะต้องฉีกหน้ากากมันให้ได้ “จิ่ว เจ้าฉินนั่นไม่มีวันกลัว…”

 ……………………………………..

ตอนที่ 1897-3 เทพฉิน…เอกการละคร

ในระหว่างที่วิลเลี่ยมจูเนียร์รวบรวมความกล้า กะจะฉีกหน้ากากของคนบางคน ทว่าคนที่เขาจะฉีกหน้ากากกลับปรากฏตัวออกมา

เจ้านั่นสวมชุดสูทสีดำ แต่งผมอย่างดีจนเหมือนเจ้าชายน้อย มันกวาดตามองเขา ท่าทางหยิ่งผยองนั่นเจือแววข่มขู่

วิลเลี่ยมจูเนียร์ได้แต่ขยับลำคอ กลืนคำพูดตัวเองกลับไป

ไม่สิ! นี่เขากลัวอะไร! ต่อให้เจ้าปีศาจนั่นตัวโตขึ้น แต่ก็แข็งแรงสู้เขาไม่ได้ เขาไม่จำเป็นต้องกลัว! แต่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อวิลเลี่ยมจูเนียร์เจอกับฉินมั่ว เป็นต้องนึกเรื่องตอนที่มันยืนด้านหลังเขาในร้านแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้อยากถอยหนีอัตโนมัติ

แต่เมื่อคิดให้ดี คงมีแต่จิ่วเท่านั้นที่อยู่ใกล้อีกฝ่ายได้ ถึงพวกแองเจลิน่าจะเรียกมันว่าเจ้าชายน้อย แต่พอจะดูออกว่าเวลาอยู่ต่อหน้ามัน พวกเขาล้วนแต่หวาดกลัวอยู่ร่ำไป

ฉินมั่วสังเกตเห็นแววตาของวิลเลี่ยมจูเนียร์แน่นอน คุณตาบอกว่าเราจะต้องมีมารยาทต่อพวกคนต่างชาติ แสดงให้เห็นถึงขนบธรรมเนียมของชาวจีนที่มีมานานนับพันปี ฉินมั่วไม่เคยเสียมารยาทต่อคนอื่น แต่เจ้าคนผมแดงที่คิดจะฉกยัยเสือน้อยที่เขาเลี้ยงดูไป เขาย่อมต้องคิดบัญชีกับมัน

วิลเลี่ยมจูเนียร์เห็นอีกฝ่ายหรี่ตามองตัวเอง ทั้งยังเอ่ยเสียงเรียบ “ฉันไม่น่าจะ…ยังไง?”

“กลัวความมืดไง” วิลเลี่ยมจูเนียร์ฝืนใจตอบ อย่างไรเสียก็ต้องโดนเล่นงานอยู่ดี สู้พูดให้จบเลยจะดีกว่า “โตขนาดนี้แล้ว แถมเป็นผู้ชายด้วย นายว่าเป็นไปได้ไหมที่จะกลัวความมืด?” น่าเสียดายที่วิลเลี่ยมจูเนียร์ประเมินความแข็งแรงของผิวหน้าคุณชายฉินได้อย่างผิดมหันต์

 “ใครๆ ก็ต้องมีเรื่องที่ตัวเองกลัวกันบ้าง” ฉินมั่วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหงาหงอย “ในฐานะที่เป็นผู้ชาย ฉันก็ไม่อยากกลัวความมืดหรอก เพราะจะถูกคนหัวเราะเยาะเอา แต่จะทำยังไงได้ล่ะ”

วิลเลี่ยมจูเนียร์…เฮ้ย ทำไมมาไม้นี้วะ!

ส่วนคุณพ่อบ้านที่ได้ยินทุกอย่างจบหมด ได้แต่เงยหน้ามองเพดาน เขาไม่มีวันบอกใครๆ หรอกว่า คุณชายของเขากล้าเดินลงห้องใต้ดินในเวลากลางดึกกลางดื่น แถมเวลาดูหนังผีทีไร ทำเหมือนอย่างกับดูหนังไซไฟ ไม่กลัวเรื่องภูตผีปีศาจงูเงี้ยวเขี้ยวขอเสียชนิดที่เก่งกว่าผู้ใหญ่อีก ดังนั้นเรื่องกลัวความมืดอะไรเนี่ย รับรองว่าต้องเสแสร้งแน่นอน คงมีแต่คุณชายของเขาเท่านั้นแหละที่เสแสร้งได้หน้าไม่อายเอามากๆ แต่กลับได้ผล เพราะเขาได้ยินคุณหนูจิ่วพูดว่า “มั่วมั่ว ไม่ต้องกลัว ต่อไปฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอ”

“แต่วิลเลี่ยมจูเนียร์คงอยากพาเธอออกไปเล่นข้างนอก”

“เขามีเพื่อนเยอะจะตาย แถมเขาแข็งแรงขนาดนี้ ไม่มีอะไรที่เขากลัวหรอก”

วิลเลี่ยมจูเนียร์รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ แต่ด้วยเหตุนี้ นับจากนั้นเป็นต้นมา ป๋อจิ่วก็ไม่ได้ไปไหนกับใครตามลำพังอีก ด้วยเหตุจากฉินมั่ว แน่ละ แถมเธอกำลังเปลี่ยนฟันน้ำนมไปเป็นฟันแท้

พูดมาถึงตรงนี้ เนื่องจากปวดฟัน ทำให้ยัยเสือน้อยกินอะไรไม่ได้มากเหมือนเก่า ฉินมั่วจึงร้อนใจเอามาก ทุกเย็นเขาต้องกล่อมให้เธอกินข้าว เวลาแปรงฟันตอนเช้า เขาก็ยังยืนแปรงฟันให้เธออีก

 ………………………………………….

ตอนที่ 1897-4 เทพฉิน…เอกการละคร

ดังนั้นในสิบกว่าวันหลังจากนั้น คุณท่านอานจึงได้เห็นภาพที่หลานท่านเลี้ยงเด็ก ส่วนคุณพ่อบ้านผมทองไม่ได้นึกถึงเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรมของทั้งสองชาติอีกแล้ว เพราะเขาพอจะเข้าใจแล้วว่าคุณชายทำเหมือนคุณหนูจิ่วเป็นตุ๊กตากระเบื้อง นอกจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันแล้ว กระทั่งเวลาอ่านหนังสือ คุณหนูจิ่วยังนั่งเล่นคีย์บอร์ดเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้างด้วย

เด็กทั้งสองสนิทกันจนถึงขั้นไหนหรือ ก็ขออธิบายได้ว่า เมื่อก่อนในห้องของคุณชาย นอกจากเตียง ชั้นวางหนังสือแล้วก็ไม่มีอะไรอีก

แต่เมื่อรู้จักกับคุณหนูจิ่ว ทั้งขนมขบเคี้ยว เบาะนั่ง รวมถึงกล่องอุปกรณ์ขนาดเล็กและคอมพิวเตอร์อีกสองตัวก็ตามมา

หากพูดตามภาษาของคุณชาย ของเหล่านี้ก็คือของเล่นของคุณหนูจิ่ว ทว่าคุณพ่อบ้านหนุ่มผมทองคิดอยู่นานก็คิดไม่ออกว่ากล่องอุปกรณ์นี่จะเป็นของเล่นได้อย่างไร?

แน่ละ พกเขาย่อมมีเวลาที่เงียบสงบ เมื่อถึงสิบโมงเช้า เด็กทั้งสองจะอยู่ในห้องหนังสือ ทุกครั้งเมื่อมาถึงตอนนี้ เวลาจะผ่านไปช้ามาก ฉินมั่วสวมสเวตเตอร์ตัวขาว มือหนึ่งกดลงบนกระดาษเซวียนจื่อที่ใช้เขียนพู่กันจีน ส่วนมืออีกข้างก็กุมป๋อจิ่วให้เขียนตัวอักษรทีละขีด ทีละเส้น เพื่อสอนหนังสือให้เธอ

แสงแดดทอดตัวเข้ามาส่งกระทบเด็กทั้งสอง คุณพ่อบ้านดูอยู่ด้านข้าง แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขารู้มานานแล้วว่าคุณชายหน้าตาดีมาก แต่คงจะมีเวลานี้นี่แหละที่คุณชายจะอยู่ในสภาพอ่อนโยน หากจะบอกว่าคุณชายเหมือนเจ้าชายเชื้อพระวงศ์อังกฤษ ไม่สู้บอกว่าเหมือนคุณชายจากตระกูลชั้นสูงในประวัติศาสตร์จีนเสียมากกว่า แต่ละท่วงท่าล้วนสง่าเหมือนอยู่ในภาพวาด ดูสูงส่งอย่างเป็นธรรมชาติ

หากมีแต่เด็กชายเพียงคนเดียว อาจทำให้คนอื่นไม่เปลี่ยนสายตาไปมองที่อื่น ทว่าข้างตัวเขากลับมียัยเสือน้อยด้วยนี่สิ เด็กที่อายุเท่ากัน แต่คนสูงกว่ากำลังสอนคนที่เตี้ยกว่าให้เขียนหนังสือ

หางเสือน้อยแกว่งไปมา ปลายจมูกเปื้อนน้ำหมึกเหมือนจงใจแต้ม ขาดอีกแค่สามขีดก็จะกลายเป็นหนวดแมวแล้ว แต่ท่าทางของยัยตัวเล็กดูจริงจังเหมือนกำลังปฏิบัติภารกิจที่ยิ่งใหญ่ คงเพราะท่าเธอน่าเอ็นดู ทำให้คุณชายหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ แล้วยิ้มขึ้นมา

ห้วงเวลาดังกล่าว คุณพ่อบ้านนึกถึงบทกวีจีนที่เคยเจอในวรรณกรรมเอเชียอันยิ่งใหญ่ ไม่ผิดหรอก ในนิยายเทพเซียนนั่นแหละ พวกนิยายยุคโบราณที่เห็นเกลื่อนในอินเทอร์เน็ต ถือเป็นเป็นวรรณกรรมเอเชียที่ยิ่งใหญ่ในความคิดของเขา

ในบทกวีนั่นเขียนไว้ว่า ‘หนุ่มน้อยขี่ม้าไม้ ดึงกิ่งเหมยเล่นกับสาวน้อย’ คงเป็นภาพความพิสุทธิ์เช่นนี้นี่เอง หากเปรียบเทียบม้าไม้และเหมยเขียวทั่วไปแล้ว คู่นี้ดูจะพิเศษกว่า เพราะเรียกได้ว่าความรู้และความเคยชินในการใช้ชีวิตของป๋อจิ่วได้มาจากการสั่งสอนของฉินมั่วทั้งนั้น

ตัวหนังสือตัวแรกที่เธอเขียนเป็น เขาก็เป็นคนสอน

บทกวีโบราณที่เธอท่องได้ เขาก็เป็นคนสอน

กระทั่งนิทานก่อนนอน เขาก็เป็นคนแรกที่เล่าให้เธอฟัง ทั้งกล่อมให้เธอนอน กินข้าว กินยา เขาดูแลอย่างครบถ้วนกระบวนความ ทว่าป๋อจิ่วก็ยังทะเล้นอยู่ดี การเรียนเขียนพู่กันจีนแล้ว เป็นโอกาสที่เธอได้ใกล้ชิดความงามของเขา

“มั่วมั่ว ขนตาเธอย้าวยาว ยาวกว่าฉันอีก”

หลังจากเขียนได้สี่คำ ยัยเสือน้อยก็ยื่นมือไปสัมผัสใบหน้างามสง่าอย่างอดใจไม่อยู่

ฉินมั่วชะงัก รู้ดีว่าแก้นิสัยที่ชอบมือถึงไม้ถึงของเธอไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้บังคับ นอกจากเอาผ้าพันคอมาพันให้เธอแล้วพาออกนอกบ้าน เพราะเราควรไปเดินเล่นผ่อนคลายในเวลาที่เหมาะสม แค่วันนี้มาเร็วไปหน่อย ครึ่งเดือนที่ผ่านมา เธอว่านอนสอนง่ายมาก ทว่าไม่นานการออกไปเล่นผ่อนคลายกลับถูกขัดจังหวะ

“ท่านจิ่ว ลืมพ่อไปแล้วเรอะ? หือ?”

คุณป๋อนั่นเอง วันนี้เขาแต่งตัวเหมือนเป็นนักเรียนปริญญาเอก สวมเชิ้ตขาวไว้ด้านใน แถมผูกเนคไท มีแว่นตากรอบทองตั้งอยู่บนดั้งจมูก มือยังถือหนังสืออีก เขาใช้มือข้างนั้นเคาะศีรษะลูกสาว

………………………………………………