บทที่ 5 บทที่ 27 ผู้ต้องสงสัยและผู้ที่มาจากมณฑล

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 27 ผู้ต้องสงสัยและผู้ที่มาจากมณฑล โดย Ink Stone_Fantasy

 

เริ่นจื่อหลิงกำลังล้างชาม พลางฮัมเพลง ‘โลกทั้งใบให้เธอ’ ซึ่งเป็นเพลงที่ลั่วชิวเคยฟังก่อนหน้านี้

น่าจะหลายเดือนได้แล้วล่ะมั้ง เริ่นจื่อหลิงยังเป็นห่วงเพื่อนสนิทสมัยมหา’ลัยคนนี้อยู่ตลอด

“ยังไม่ได้ข่าวอะไรเลยหรือครับ?” จู่ๆ ลั่วชิวก็ถามขึ้นขณะเปิดตู้เย็นหยิบน้ำดื่มมาขวดหนึ่ง

“ข่าว?” เริ่นจื่อหลิงอึ้งอย่างเห็นได้ชัด เธอวางมือแล้วหันมามองลั่วชิวอย่างสงสัย

ลั่วชิวพูดเสียงเบาๆ ว่า “ผมหมายถึงถูจยาหยา เพลงที่คุณฮัมอยู่ไม่ใช่เพลงดังของเธอเหรอครับ”

“ไม่มีเลย” เริ่นจื่อหลิงส่ายหัว จากนั้นก็ถอนหายใจพูดว่า “อย่างนี้นะคะบอส ฉันก็แค่ฮัมเพลงไปเรื่อยเปื่อย เธอก็คิดเยอะขนาดนี้แล้ว สมองเธอทำมาจากอะไรกันเนี่ย?”

“น้ำ ไข่ขาว ไขมัน…ส่วนใหญ่ก็เหมือนกับคุณนั่นแหละ”

“…” เริ่นจื่อหลิงมองค้อน “เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้…จริงสิ ในเมื่อเธอเป็นคนรอบคอบ งั้นลองใช้สมองคิดดูอีกหน่อยสิว่า พวกเรามองข้ามบางอย่างในสถาบันสอนพิเศษไปหรือเปล่า? เหมือนอย่างที่เหล่าหม่าบอก ถ้าใช้มุมมองของคนนอกอาจจะมองอะไรออกบ้างก็ได้นะ”

เธอคว้าแขนลั่วชิวไว้ด้วยสายตากระตือรือร้น โดยไม่สนว่าบนถุงมือที่ใช้ล้างชามมีฟองติดอยู่ด้วย

เจ้าของร้านลั่วจึงรีบปัดมือของรองบรรณาธิการเริ่นออกด้วยสีหน้ารังเกียจ แล้วล้างแขนที่ก๊อกน้ำสักหน่อย ก่อนจะถือแก้วน้ำเดินไปในห้องรับแขก

เริ่นจื่อหลิงตามออกมาจากห้องครัว พูดด้วยสีหน้าน้อยใจว่า “อย่าทำท่ารังเกียจกันได้ไหม?”

“ข่าวลือนั่น” ลั่วชิวนั่งลง แล้วเปิดโทรทัศน์ดูข่าวพลางพูดว่า “ลองเล่ามาอีกครั้งสิครับ”

เริ่นจื่อหลิงถอดถุงมือออกแล้วนั่งลง คิดพลางพูดว่า “คือว่ามีอาจารย์อยู่คนหนึ่ง หากนักเรียนหาตัวเขาพบ ไม่ว่าจะมีผลการเรียนแย่ขนาดไหน ก็เพิ่มเกรดให้ดีขึ้นได้ แต่ถ้าผลการเรียนดีอยู่แล้ว ก็เลื่อนขึ้นไปอีกขั้นได้”

“ปฏิกิริยาของนักเรียนล่ะครับ?”

“ฉันคิดว่าน่าจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งมั้ง คิดว่าถึงทุกคนจะรู้ข่าวลือเรื่องนี้ แต่เหมือนนักเรียนที่เรียนในสถาบันสอนพิเศษจะไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไร…แน่นอนว่า ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเป็นเพราะนักเรียนส่วนหนึ่งรู้วิธีที่ดีกว่า ฉันหมายถึงการแลกเปลี่ยนการซื้อขายข้อสอบที่อยู่เบื้องหลังสถาบันสอนพิเศษ”

เริ่นจื่อหลิงส่ายหัวเล็กน้อย คิดไตร่ตรองพลางพูดว่า “ถ้ามีอาจารย์ทำแบบนี้ได้จริงๆ ก็น่าจะมีชื่อเสียงไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ? ถึงแม้ตัวเขาเองไม่อยากให้ใครรู้ แต่ก็ต้องเคยสอนนักเรียนได้ผลการเรียนดีๆ มาบ้างไม่ใช่เหรอ? เรื่องพวกนี้จะเก็บเงียบยังไง ก็เล็ดลอดออกไปได้บ้างแหละ?”

“งั้นทำไมถึงยังมีข่าวลือแบบนี้อยู่ล่ะครับ?” ลั่วชิวถามต่อ

เริ่นจื่อหลิงอึ้ง ขมวดคิ้วพลางพูดว่า “จริงด้วย…โดยทั่วไปข่าวลือแบบนี้ได้ยินแล้วก็แค่นั้น  ตามปกติแล้วน่าจะแค่ยิ้มๆ ไม่สนใจ แล้วก็ไม่พูดถึงสิ? แต่ว่าแปลกมาก เหมือนข่าวลือนี้วนเวียนอยู่ตลอด คล้ายกับมีใครกำลังประโคมข่าวให้ดังต่อเนื่องอย่างนั้นแหละ”

“ทำไมต้องทำให้ข่าวนี้ดังด้วยล่ะครับ?”

“ทำไม…แน่นอนว่าเพื่อให้คนมาสนใจข่าวน่ะสิ”

เริ่นจื่อหลิงคิดไปตามแนวคิดนี้ ทันใดนั้นก็คิดได้เลยพูดขึ้น “ตัวการของข่าวลือคืออาจารย์ลึกลับคนนั้น ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ตัวตนของอาจารย์คนนี้แน่ชัด…เธอว่า ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น อย่างเช่นตอนนี้ตำรวจไปตรวจค้นที่สถาบันสอนพิเศษ แล้วสืบสาวไปถึงสถานะของอาจารย์คนนี้ได้โดยง่าย…เป็นเพราะมีคนจงใจชักนำให้เราไปสืบเรื่องของอาจารย์ที่ว่านี้หรือเปล่า?”

“เจตนาล่ะครับ?”

“พยายามลดความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะถูกตรวจสอบ…” ทันใดนั้นเริ่นจื่อหลิงก็มองลั่วชิวพลางพูดว่า “อาจารย์ในข่าวลือสามารถทำให้ผลการเรียนของนักเรียนดีขึ้นได้ จะต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์สอนมากๆ ถึงแม้ไม่ได้มีประสบการณ์ ก็ต้องเป็นคนที่เข้าถึงข้อสอบได้เหมือนสวีจ้าวแน่ๆ…แนวทางการตรวจสอบของเราก็เป็นแบบนี้แหละ แต่บางทีอาจารย์คนนี้อาจจะเป็นคนที่ไม่เข้าใจวิธีการสอนก็ได้!”

ลั่วชิวไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่นั่งเงียบฟังเริ่นจื่อหลิงพูดเองเออเองไปเรื่อยๆ

“…คนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องการเรียนการสอน แต่เข้าถึงข้อมูลของนักเรียนทั้งหมดได้อีก ก็คงเป็นพวกพนักงานในสถาบันสอนพิเศษอย่างที่คิดไว้จริงๆ” เริ่นจื่อหลิงนึกทบทวนข้อมูลที่มีทั้งหมด “ข้างในแบ่งเป็นห้องทำงานมากมาย กุญแจห้องทำงานทั้งหมด นอกจากพนักงานแต่ละคนจะมีเก็บไว้คนละดอกแล้ว คนอื่นไม่มีทางมีได้ ตอนที่ตำรวจค้นที่สถาบันสอนพิเศษก็เคยดูกล้องวงจรปิดทั้งหมดแล้ว ไม่มีใครเคยแอบเข้าไปในห้องทำงานอื่นๆ ตอนไหนเลย…”

เริ่นจื่อหลิงคิดไปคิดมาก็ยื่นมือมาคิดจะหยิบแก้วชา เพียงแต่แก้วชาของเธอไม่ได้อยู่ข้างๆ เธอ แต่เธอก็ยังคลำหาไปทั่วโดยไม่รู้ตัว

เจ้าของร้านลั่วจึงดันแก้วไปข้างๆ มือเธอเบาๆ

รองบรรณาธิการเริ่นที่ไม่ได้สังเกตเห็น ก็คว้าแก้วชามาได้สำเร็จ หลังจากเธอดื่มไปอึกหนึ่งแล้วก็ประคองแก้วชาครุ่นคิดต่อ

“…ถึงสวีจ้าวไม่ยอมรับว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของนักเรียน แต่เขากับไต้โหย่วไฉก็ก่อเรื่องแบบนี้แล้ว ทางตำรวจก็มีเหตุผลที่จะเชื่อ ว่าพวกเขาสองคนใช้ความลับในมือมาควบคุมและข่มขู่นักเรียนอยู่ตลอด สุดท้ายก็สร้างรอยแผลในใจให้กับนักเรียน  ด้วยความคิดยังไม่บรรลุนิติภาวะ ก็เลยเลือกตัดช่องน้อยแต่พอตัว…”

“ลั่วชิว เธอว่าคนร้ายตัวจริงจงใจแต่งข่าวลือนี้ขึ้นมาเพราะหวังว่าจะให้ตัวเองหลุดพ้นไปในตอนสุดท้ายหรือเปล่า?”

เริ่นจื่อหลิงเงยหน้าขึ้นมาทันที “สมมุติว่า คนคนนี้รู้แผนชั่วของสวีจ้าวและไต้โหย่วไฉ ก็เลยสร้างข่าวลือแบบนี้ขึ้นมาก่อนที่เรื่องจะแดง จุดประสงค์ก็เพื่อให้ตัวเองหลุดรอดจากสถานการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้ ทำให้คนอื่นไม่สงสัยตัวเอง? โดยเฉพาะตอนนี้ที่สืบรู้เรื่องข่าวฉาวโฉ่ของสถาบันสอนพิเศษได้แล้ว แถมยังโยงใยถึงคนใหญ่คนโตมากมายขนาดนี้…จนกระทั่งข้าราชการส่วนหนึ่งด้วยล่ะก็…”

ลั่วชิวพูดอย่างเฉยชาว่า “คิดว่าจะมีคนที่ไม่คุ้นเคยกับการสอน และไม่ได้เป็นอาจารย์ แต่รู้ข้อมูลของนักเรียนคนอื่นเป็นอย่างดีด้วยไหมนะ”

 “มีคนหนึ่ง…มีคนหนึ่งที่เอาข้อมูลของนักเรียนมาได้อย่างเปิดเผย และไม่มีใครสงสัย อีกอย่าง ฉันก็เคยเจอมาแล้วด้วย!”

เริ่นจื่อหลิงสูดลมหายใจลึกๆ แล้วพูดว่า “ผู้หญิงคนที่เป็นพนักงานต้อนรับตรงเคาน์เตอร์ไง! ข้อมูลที่นักเรียนกรอกทั้งหมดต้องผ่านมือเธอทั้งนั้น! คาดว่าเธอน่าจะเป็นคนที่รู้ข้อมูลของนักเรียนในสถาบันดีกว่าใครๆ! ตอนนี้ลองมาคิดๆ ดู เธอยังรู้เวลาที่สวีจ้าวกับไต้โหย่วไฉจะมาเป็นอย่างดี ปกติก็รับหน้าที่บริการน้ำชา สมมติว่าบังเอิญไปได้ยินอะไรมา…บ้าเอ๊ย พอคิดแบบนี้แล้ว พนักงานต้อนรับก็ยิ่งน่าสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ เลย! เจ้าเด็กนี่ ครั้งนี้เธอช่วยฉันได้เยอะอีกแล้วนะ!”

พอรองบรรณาธิการเริ่นพูดจบก็ดีใจจนลืมตัว จึงโอบใบหน้าของเจ้าของร้านลั่วขึ้นมา คิดจะหอมแก้มของเขาทันที

 ไม่นึกเลยว่า ตอนที่หอมแก้มไปนั้น จะเจอความเย็นเจี๊ยบ…ก็เพราะเจ้าของร้านลั่วใช้ขวดน้ำแร่มาขัดขวางการล่วงละเมิดของผู้หญิงคนนี้ไว้ได้อย่างแม่นยำไงล่ะ

“บ้าเอ๊ย จะให้รางวัลสักหน่อย ยังทำท่ารังเกียจอีก” เริ่นจื่อหลิงชะงักที่ถูกทำร้ายจิตใจไปไม่น้อย

ได้ยินแต่ลั่วชิวพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “รางวัลแบบนี้ช่างมันเถอะครับ ถ้าอยากจะขอบคุณจริงๆ ละก็ เชิญคุณไปล้างชามต่อให้เสร็จดีกว่า อย่ปล่อยทิ้งไว้ถึงพรุ่งนี้เช้าเลย”

“ฉัน…ฉันล้างให้ยังไม่ดีอีกเหรอ”

“ที่เล่ามา ก็คือเรื่องที่ลูกรักของฉันเตือนมาเมื่อคืน”

พวกเธอยังคงนัดกันในร้านกาแฟแถวๆ สถานีตำรวจ

นี่เป็นร้านกาแฟที่เปิดกิจการมาสิบกว่าปีแล้ว ซึ่งก็คือสถานที่ที่เริ่นจื่อหลิงได้พบปะกับคนในสถานีตำรวจตั้งแต่สมัยก่อนนู้น…ตอนที่พ่อของลั่วชิวยังมีชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความทรงจำอีกมากมาย

หม่าโฮ่วเต๋อฟังไปก็นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง ถึงได้พูดขึ้นช้าๆ ว่า “อันที่จริงแล้ว พวกผมก็เพิ่มพนักงานต้อนรับคนนี้ในกลุ่มเป้าหมายที่ต้องตรวจสอบไว้เหมือนกัน ก็อย่างที่ลั่วชิวบอก  คนที่เข้าถึงข้อมูลของนักเรียนได้ ตอนนั้นผมก็วงชื่อเธอในรายชื่อที่ต้องตรวจสอบด้วยเหมือนกัน”

เขาส่ายหน้าแล้วพูดต่อว่า “แต่ยังไม่ทันได้เริ่มตรวจสอบเลย วันนั้นจู่ๆ สวีจ้าวก็เดินมามอบตัวเหมือนคนบ้าเสียสติ…แต่ความเป็นไปได้ของสมมติฐานนี้ก็มีสูงนะ นอกจากไม่สามารถระบุเจตนาของเธอได้ สิ่งที่น่าสงสัยกลับเป็น…เอาเถอะ ผมจะให้คนรีบติดตามตรวจสอบพนักงานต้อนรับคนนี้สักหน่อยแล้วกัน”

ทันใดนั้นโทรศัพท์ของหม่าโฮ่วเต๋อก็ดังขึ้น หลังจากเขารับโทรศัพท์แล้วก็รีบเช็คบิล บอกว่าหัวหน้าต้องการพบเขา

“ขอแนะนำสักหน่อย คนนี้คือหวังเย่ว์ชวนที่ผู้ว่ามณฑลส่งมา” หัวหน้าเหล่าหลิวในสถานีตำรวจแนะนำชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ผู้ที่สวมชุดสูทคนหนึ่งให้หม่าโฮ่วเต๋อรู้จักด้วยความกระตือรือร้น

หม่าโฮ่วเต๋อเจอคนมาเยอะเลยดูคนออก ไม่ทันไรก็มองเห็นความโอหังในตัวชายหนุ่มผู้นี้ได้อย่างง่ายดาย แต่อายุเท่านี้ก็มาคลุกคลีกับคนในสถานีตำรวจได้ น่าจะมีความมั่นใจในตัวเป็นทุนเดิมพอดูทีเดียว

“นี่คือหม่าโฮ่วเต๋อ  คนที่มีประสบการณ์มากที่สุดในสถานีตำรวจของพวกเรา มีเขาเพิ่มเข้ามาคนหนึ่ง ที่นี่ถึงได้สงบสุขแบบนี้” หัวหน้าเหล่าหลิวพูดไปยิ้มไป

“งั้นเหรอครับ”

หวังเย่ว์ชวนพูดอย่างเฉยชา “แต่ผมได้ยินว่าที่นี่มีนักเรียนฆ่าตัวตายติดต่อกันหลายรายแล้ว เรื่องสถาบันสอนพิเศษนี่ก็ยังต้องให้ศูนย์บัญชาการออกคำสั่ง ก่อนหน้านี้ระยะหนึ่งก็มีคดีฆาตกรรมหลายราย ขนาดแถวมหา’ลัยยังขุดพบโครงกระดูกเด็กกองหนึ่งอีก…เรื่องพวกนี้ยังเรียกว่าสงบสุขได้อีกเหรอครับ”

หัวหน้าเหล่าหลิวกระอักกระอ่วนทันที เขากระแอมคอให้โล่ง พลางมองหม่าโฮ่วเต๋อพร้อมพูดว่า “สหายหวังคนนี้ที่มาในคราวนี้ก็เพื่อตรวจสอบเบื้องหลังของสถาบันสอนพิเศษให้ถึงที่สุด หม่าโฮ่วเต๋อ ช่วงนี้คุณต้องให้ความร่วมมือกับคุณหวังอย่างเต็มที่นะ อย่าแอบอู้งานล่ะ เข้าใจไหม!”

หม่าโฮ่วเต๋อก็ฟังๆ ไปอย่างนั้น ก่อนพยักหน้าอย่างอ่อนแรง