บทที่ 28 คนอวดดี โดย Ink Stone_Fantasy
“สวีจ้าว ไต้โหย่วไฉ พนักงานในสถาบันสอนพิเศษ แล้วก็ข้อมูลของนักเรียนทั้งหมดอยู่นี่แล้ว”
หม่าโฮ่วเต๋อวางเอกสารปึกหนึ่งตรงหน้าหวังเย่ว์ชวน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ยังต้องการอะไรอีกไหม?”
“ไม่แล้วครับ” หวังเย่ว์ชวนพูดอย่างเฉยชา “ปกติห้องนี้เงียบไหม?”
หม่าโฮ่วเต๋อมองที่นี่แวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างขอไปที “ก็เงียบน่ะสิ ปกติใช้เป็นห้องประชุม ไม่เงียบก็แปลกแล้ว”
“งั้นดีเลยครับ”
หวังเย่ว์ชวนพยักหน้า “ผมดูข้อมูลที่นี่แล้วกัน ถ้าต้องการอะไร ผมจะแจ้งคุณอีกที”
“แล้วแต่คุณพอใจเลย” เซอร์หม่ายักไหล่ แล้วเดินออกนอกประตูห้องประชุมไปทันที…แน่นอนว่าจงใจปิดประตูใส่แรงไปนิดหนึ่งด้วย
ด้านนอกประตู พวกตำรวจหนุ่มๆ ชั้นผู้น้อยรีบพากันเดินมาสอบถามเซอร์หม่าด้วยความอยากรู้
“เซอร์หม่า หมอนี่เป็นใครกันครับ? ดูท่าทางเจ๋งไม่เบาเลยนี่ครับ”
“เจ๋งอะไรกันล่ะ ตอนเขาเดินเข้ามา แทบจะเชิดหน้าไม่มองใครเลยด้วยซ้ำ!”
ตอนนี้เองหม่าโฮ่วเต๋อกลับพูดอย่างเย็นชาว่า “พวกคุณเป็นพวกผู้หญิงชอบซุบซิบหรือไง? ไม่มีงานมีการทำกันแล้วเหรอ? ว่างกันนักใช่ไหม? อยากไปลาดตระเวนบนถนนให้ผมหน่อยไหมล่ะ?”
พวกตำรวจหนุ่มชั้นผู้น้อยส่งเสียงเอะอะแล้วก็แยกย้ายกันไปทันที
หม่าโฮ่วเต๋อกลับไปในห้องของตัวเอง แล้วเปิดผ้าม่านห้องทำงานออก เขาสามารถมองเห็นห้องประชุมได้จากตรงนี้พอดี แล้วเซอร์หม่าก็สูบบุหรี่พลางมองดูหวังเย่ว์ชวนพลิกอ่านเอกสารไปด้วย
พอดูไปแบบนี้เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“เกือบจะสองชั่วโมงแล้วล่ะมั้ง?”
หม่าโฮ่วเต๋อทุบๆ กระดูกตรงบั้นเอวตัวเอง แล้วก็พบว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา หวังเย่ว์ชวนไม่ได้ขยับเลยสักนิดเดียว เขาจึงอดทำเสียงจิ๊ปากไม่ได้…ตั้งใจจนหาเรื่องตำหนิไม่ได้เลยจริงๆ
ทันใดนั้นเอง หวังเย่ว์ชวนก็ลุกขึ้นยืน ผลักประตูห้องประชุมออก แล้วหันมาโบกมือให้ทางห้องทำงานของหม่าโฮ่วเต๋อ…เซอร์หม่าที่กำลังสูบบุหรี่พร้อมกับเล่นเกม Minesweeper อยู่ถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที บึ้ม!
สถิติของฉัน! อีกนิดเดียวแท้ๆ เชียว…
…
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า? สหายหวังเย่ว์ชวน”
เซอร์หม่าพยายามไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองฟังดูขุ่นเคือง…สถิติของฉันเลยนะ!
หวังเย่ว์ชวนเดินไปด้านหน้าโต๊ะห้องประชุม แล้วล้วงเอกสารชุดหนึ่งออกมาเปิด จากนั้นก็อ่านดูพร้อมกับพูดถามว่า “นายตำรวจหม่า แม้ว่าหลักฐานจะบ่งบอกว่านักเรียนห้าคนนี้ฆ่าตัวตาย แต่ทำไมตอนนั้นถึงไม่สงสัยประเด็นที่ว่าพวกเขาเรียนในสถาบันสอนพิเศษนี้ล่ะ?”
“นี่ก็เท่ากับรื้อคดีมาตรวจสอบใหม่ไม่ใช่หรือไง” หม่าโฮ่วเต๋อตอบอย่างเฉยชา
หวังเย่ว์ชวนมองอย่างไม่ใส่ใจแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดต่ออีกว่า “คุณเป็นคนวงรายชื่อผู้ต้องสงสัยไว้ล่ะสินะู้ต้องสงสัยายชื่อม่แล้วป็นนักเร?”
“ใช่…มีปัญหาเหรอ?”
“เปล่าครับ เลือกวงชื่อได้ดีเลยต่างหาก”
หวังเย่ว์ชวนพยักหน้าแล้วพูดต่อว่า “แต่พวกเราสามารถตีกรอบให้แคบลงมาได้อีก อย่าเพิ่งพูดถึงแรงจูงใจเลย ทำไมจู่ๆ สวีจ้าวถึงได้มามอบตัว พวกคุณเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่า ผู้ร้ายปั้นแต่งข่าวลือขึ้นมาแบบนี้ เพื่อจงใจล่อให้พวกคุณตรวจสอบไปผิดทาง? บางทีเขาอาจจะไม่ใช่อาจารย์ก็ได้…อย่างเช่น คนนี้เป็นต้น
หวังเย่ว์ชวนพลิกเปิดเอกสารไปหน้าหนึ่ง บนนั้นติดรูปคนคนหนึ่งไว้…พนักงานต้อนรับในสถาบันสอนพิเศษ ‘จ้าวหรู’
“นี่…นี่เหมือนที่เสี่ยวลั่วชิวแนะนำเลยไม่ใช่เหรอ?” หม่าโฮ่วเต๋อเผลอหลุดพูดด้วยสีหน้าตกใจ
พอเขาได้สติก็รีบเอามือปิดปากทันที
แต่หวังเย่ว์ชวนกลับได้ยินอย่างชัดเจน จึงขมวดคิ้วน้อยๆ ถามว่า “เสี่ยวลั่วชิวเป็นใครกัน? คนในสถานีตำรวจหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่หรอก เขาเป็นหลานชายของผมเอง” หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหน้า
“ใช่คนในองค์กรเราหรือเปล่า?” หวังเย่ว์ชวนกลับซักไซ้ถาม
หม่าโฮ่วเต๋อได้แต่ส่ายหัวเล็กน้อย…หวังเย่ว์ชวนคนนี้เหมือนงูพิษไม่มีผิด ความรู้สึกไวเสียจนน่าตกใจ
เขารู้ว่าเจ้าหมอนี่คิดจะพูดอะไรต่อ จึงรีบพูดตัดบทก่อน “คุณวางใจเถอะ ผมไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเบื้องหลังไม่ชอบมาพากลของสถาบันสอนพิเศษหรอก ผมยังเข้าใจกฎดี แต่จะว่าไปแล้ว การสืบคดีแบบนี้บางครั้งก็ต้องว่องไวไม่ใช่เหรอ? ผมก็แค่หาคนนอกมาช่วยให้หัวแล่นเท่านั้นเอง! เด็กนี่ก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวของคนร่วมองค์กรเราเหมือนกัน พ่อของเขาก็เป็นคนในสถานีตำรวจพวกเรา แต่เสียชีวิตในหน้าที่ไปเมื่อหลายปีก่อนเท่านั้นเอง”
“ผมไม่สนใจเรื่องของคนตายไปแล้วหรอก พ่อของเขาเป็นคนแบบไหนผมก็ไม่สน การตายในหน้าที่ก็แค่ยืนยันว่าคนคนนี้ทำหน้าที่ของตำรวจอย่างเต็มที่แล้วเท่านั้น แต่ผมไม่คิดว่าคนในครอบครัวของเขาจะมีสิทธิพิเศษอะไร และหากพูดถึงความสามารถในฐานะตำรวจแล้ว คนที่ดูแลความปลอดภัยของตัวเองในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ก็เห็นได้ชัดว่ายังดีไม่พอ”
หวังเย่ว์ชวนพูดอย่างเย็นชา “ส่วนคุณ นายตำรวจหม่า ถึงจะตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าตำรวจยังต้องพึ่งคนนอกอีก ผมก็เริ่มสงสัยความสามารถของคุณแล้วล่ะ”
พอหม่าโฮ่วเต๋อได้ยิน ก็ข่มโทสะที่คุกรุ่นอยู่ไม่ได้อีกต่อไป
ด้วยนิสัยบ้าระห่ำ จะเทพเจ้าที่ไหนเขาก็ไม่เกรงกลัว หากไม่พอใจขึ้นมา เขาก็กล้าตอกหน้าผู้บัญชาการเช่นกัน
แม้แต่เทพเจ้าเองยังไม่กล้าล้ำเส้นเซอร์หม่าเลยด้วยซ้ำ
เขาทำหน้าเคร่งขรึม แล้วเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าหวังเย่ว์ชวน พลางพูดเสียงขรึมว่า “คุณจะไปรู้อะไร? คุณรู้จักพี่ใหญ่ลั่วเหรอ? คุณรู้ว่าเขาเคยจับคนร้ายได้กี่คนงั้นเหรอ? คุณรู้อะไรบ้าง ตอนที่พวกเราทำคดี คุณยังเป็นแค่เด็กสวมผ้าอ้อมตัวเท่าลูกหมาเองไม่ใช่เหรอ?!! คุณมีสิทธิ์อะไรมาวิจารณ์ความสามารถของเขา?”
“นายตำรวจหม่า ดูจากอายุคุณแล้ว ตอนนั้นผมคงเป็นแค่เด็กจริงๆ นั่นแหละ” หวังเย่ว์ชวนพูดอย่างเฉยชา “แต่อย่างน้อย ตอนที่ผมทำคดีอยู่นี้ ก็จะไม่แอบสูบบุหรี่เล่นเกมอยู่ในห้องหรอกครับ”
“นั่นน่ะ ผมกำลังใช้ความคิดต่างหาก คุณจะรู้อะไร?!”
“ผมไม่สนวิธีการคิดของคุณ” หวังเย่ว์ชวนเคาะเอกสารในมือเบาๆ “ผมก็แค่เสนอความเห็นนิดหน่อยเท่านั้น หวังว่าคุณจะเลือกแนวทางได้ ผมเป็นคนพูดตรง ถ้าหากล่วงเกินอะไรไป ก็ขออภัยด้วยแล้วกันครับ ส่วนพี่ใหญ่ลั่วที่คุณพูดถึงเมื่อกี้ ผมจะลองหาเวลาไปดูข้อมูลของเขาสักหน่อย ถ้าผมพูดผิด ผมก็จะมาขอโทษคุณ แต่ผมคิดเสมอว่า ตำรวจที่ดูแลตัวเองไม่ได้ คงไม่ใช่ตำรวจเก่งนักหรอก”
“คุณ!”
หม่าโฮ่วเต๋อสูดลมหายใจลึกๆ พร้อมกับควบคุมอารมณ์ของตัวเองแล้วพูดว่า “คนหนุ่มไฟแรง จะอวดดีสักหน่อยก็ไม่ผิดหรอก แต่หวังว่าคุณจะทำให้ผมชื่นชมได้จนถึงที่สุด และเป็นตำรวจเก่ง ดูแลตัวเองไปได้ตลอดรอดฝั่งนะ”
“แน่นอนครับ” หวังเย่ว์ชวนตอบอย่างเฉยชา
เซอร์หม่าหยิบเอกสารแล้วเบือนหน้าเดินออกไปจากห้องประชุมโดยไม่พูดอะไรสักคำ…ในเมื่อพูดกับหมอนี่ไม่รู้เรื่อง นอกจากเรื่องงานแล้ว เขาก็ขี้เกียจพูดคุยอะไรด้วยอีก
หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหัวเล็กน้อย ก่อนออกจากสถานีตำรวจไปทำคดี เขาก็อดลอบพูดในใจไม่ได้ว่า ‘แค่ไอ้บ้าชอบยั่วโมโห…คนแบบนี้จะต้องลำบากในไม่ช้าแน่!’
“นี่ ไปสืบที่อยู่ของจ้าวหรูให้ผมหน่อย”
เขารีบโทรศัพท์ทันที
ในเมื่อผู้ว่ามณฑลส่งคนมาตามเรื่องเบื้องหลังสถาบันสอนพิเศษแล้ว ถ้าอย่างนั้นเซอร์หม่าคิดว่า เรื่องที่เขาต้องทำก็คือมุ่งมั่นสืบคดีการฆ่าตัวตายทั้งห้ารายนี้…แม้ว่านักเรียนพวกนั้นเคยทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ แต่ก็ไม่สมควรต้องตายไปแบบนี้
เซอร์หม่าก็แค่อยากทวงความยุติธรรมให้กับผู้ตายเท่านั้นเอง
…
…
“วันที่ยี่สิบเก้า สามทุ่ม ขึ้นรถตรงปากซอยสามข้างๆ ป้ายรถเมล์เก่าที่นั่งสองที่ นี่ใบเสร็จ ต้องวางเงินมัดจำก่อนนะครับ”
เฉินเหมยห่วนส่งเงินมัดจำจำนวนหนึ่งให้ชายคนนี้อย่างรวดเร็ว แล้วรับใบเสร็จมา ก่อนก้มหน้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เธอคิดว่าตัวเองควรหนีไปจากเมืองนี้ดีกว่า
วันนี้เธอเปิดเครื่องดูข้อความและสายโทรเข้าบนหน้าจอโทรศัพท์ ก็รู้ว่ากู้เฟิงแจ้งความคนหายแล้ว…เธอจะปรากฏตัวแบบนี้อีกไม่ได้ และจะยิ่งให้ใครรู้เรื่องที่ลูกชายของเธอยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้ด้วย
นี่เป็นรถเมล์ธรรมดาที่ไปไกลถึงนอกมณฑล ไม่ต้องใช้บัตรประจำตัวประชาชนก็สามารถซื้อที่นั่งได้…ไปเริ่มต้นใหม่ที่อื่นแล้วกัน ก็เหมือนตอนนั้นที่เธอพาลูกชายหนีจากครอบครัวนั้นจนมาถึงเมืองนี้
เสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกาย สามสี่วันมานี้หลังจากพายุฝน ยังคงครึ้มฟ้าครึ้มฝน และหนาวเย็นอยู่บ้าง
ทันใดนั้น เฉินเหมยห่วนก็หันไปมองด้านหลังตัวเองแป๊บหนึ่ง
สาเหตุที่รีบหนี นอกจากรู้ว่ากู้เฟิงแจ้งความแล้ว ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ เธอรู้สึกว่าหลายวันมานี้ เหมือนมีใครกำลังสะกดรอยตามเธอ ทำให้เธอเสียวสันหลังแปลกๆ…แต่เธอก็ไม่รู้ว่าใครกำลังสะกดรอยตามเธอ
แต่พอหันไป ก็ไม่เห็นอะไรเลย
หลังจากรู้ว่าเธอรีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็วแล้ว เงาคนที่ใส่ผ้าปิดปาก สวมหมวกและแว่นดำคนหนึ่งถึงได้เดินโผล่ออกมาจากในร้านค้าแห่งหนึ่ง และตามหลังเธอไปห่างๆ