บทที่ 29 ปีศาจในใจ (1) โดย Ink Stone_Fantasy
สำหรับเธอแล้วชีวิตช่างเรียบง่ายมาโดยตลอด…หรือจะบอกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิดเดียว
ทำงาน เลิกงาน ยิ้มแย้ม เงียบสงบ…กลับบ้าน
สำหรับจ้าวหรูแล้ว ถ้าใช้สักสีหนึ่งมาเปรียบเทียบชีวิตของเธอ น่าจะเป็นสีของกำแพงเก่านานนับสิบปีอะไรแบบนั้น
แต่เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนที่พิถีพิถันเลยทีเดียว
ไม่ว่าจุดไหนก็พิถีพิถันไปเสียหมด ภายในห้องเช่าขนาดไม่ถึงสิบตารางเมตรแห่งนี้ บนผนังติดวอลล์เปเปอร์ด้วยฝีมือตัวเอง แม้ว่าพื้นห้องจะดูเก่าแต่กลับไม่มีฝุ่นเลยสักนิด บานหน้าต่างกรงเหล็กขึ้นสนิมแล้วก็จริง แต่ตอนเปิดออกกลับไม่มีเสียงดังแสบแก้วหู
คิดดูแล้ว ถึงแม้กำแพงของห้องเดี่ยวเล็กๆ ห้องนี้จะมีรูบุ๋มทิ้งไว้ไม่ได้ซ่อมมานาน แต่ก็ใช้ของประดับเล็กๆ เรียบง่ายมาตกแต่งปกปิดไว้อย่างสวยงาม
ตอนนี้เธอกำลังทำอาหารกินเอง ถึงที่นี่ไม่มีห้องครัว แต่ถ้าลองใช้ความคิดสักหน่อย ก็ยังสามารถกั้นเป็นพื้นใช้ทำอาหารได้ด้วย
ระหว่างที่เธอกำลังหั่นผักอยู่นั้น ฉับพลันก็ได้ยินเสียงเคาะประตู…ตามหลักแล้ว ในมื้ออาหารกลางวันแบบนี้ไม่น่าจะมีคนมาหาเธอได้
“คุณคือ…คุณหม่า?!”
วินาทีที่จ้าวหรูเปิดประตูแล้วเห็นว่าเป็นนักเรียนคนหนึ่งในสถาบันสอนพิเศษ เธอก็สะดุ้งเฮือกทันที ด้วยเพราะเมื่อสองวันก่อน เธอได้รู้อีกสถานะหนึ่งของคุณหม่าคนนี้แล้ว
ใช้แล้ว เธอรู้ว่าเขาเป็นใคร เมื่อสองวันก่อนเขาเอาหมายค้น พร้อมกับพาตำรวจทีมหนึ่งมาที่สถาบันสอนพิเศษ
“อ้อ…ต้องเรียกนายตำรวจหม่าสินะคะ” จ้าวหรูเปิดประตูห้องตนไปจนสุด “ไม่ทราบว่า มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
แต่เห็นได้ชัดว่า ถึงแม้อีกฝ่ายจะแสดงเจตจำนงชัดเจน…เธอก็ไม่ได้คิดจะให้ตำรวจที่มาสอดแนมถึงสถาบันสอนพิเศษเข้ามาในห้องเลย
“คืออย่างนี้นะครับ พวกเรายังมีคำถามอยากขอให้คุณจ้าวช่วยร่วมมือตอบหน่อยน่ะครับ” หม่าโฮ่วเต๋อพูดพลางยิ้มน้อยๆ
ในฐานะตำรวจผู้มากประสบการณ์ เขารู้สึกได้รางๆ ว่าอีกฝ่ายมีท่าทีระวังตั้งรับ
สายตาของเขามองแฉลบผ่านไปข้างๆ จ้าวหรู…ห้องข้างในไม่ใหญ่มากนัก เขาจึงเห็นกระเป๋าสัมภาระที่มุมหนึ่งของพื้นห้องได้อย่างง่ายดาย…ดูเหมือนว่ามันกำลังเปิดอยู่ด้วย
ตอนนี้เองหม่าโฮ่วเต๋อก็ถามอย่างเฉยชาว่า “กำลังทำอาหารอยู่เหรอครับ? ผมมารบกวนคุณหรือเปล่า?”
“อ้อ…ไม่เป็นไรค่ะ” จ้าวหรูพยักหน้า แล้วยกมือขึ้นมาจับจี้สร้อยคอบนคอตัวเองเบาๆ อย่างลืมตัว
จี้หยดน้ำสีดำดูเรียบง่ายอันหนึ่ง
หม่าโฮ่วเต๋อพลันเหม่อลอยเล็กน้อย เขาบีบหว่างคิ้วตนเองทันที ด้วยเพราะรู้สึกคล้ายอ่อนเพลียเล็กน้อย
จ้าวหรูถึงได้พูดขึ้นต่อว่า “ยังไงฉันก็อยู่ตัวคนเดียว…ไม่ทราบว่านายตำรวจหม่ายังอยากถามอะไรอีกเหรอคะ? ฉันจำได้ว่าครั้งก่อนตอนที่พวกคุณมา ฉันก็ตอบไปชัดเจนแล้ว…ยังมีประเด็นไหนตกหล่นอยู่อีกเหรอคะ?”
“สะดวกให้เข้าไปไหมครับ?” จู่ๆ หม่าโฮ่วเต๋อก็ถามขึ้น
จ้าวหรูพูดอย่างเฉยชา “กรุณารอสักครู่นะคะ ฉันต้องเก็บห้องสักหน่อย”
“ผมเข้าใจครับ ผมจะรอ” หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า ห้องเดี่ยวขนาดเล็กที่สาวโสดเช่าอยู่อาศัย คิดว่าข้างในคงมีอะไรไม่น้อยเลยทีเดียว
แน่นอน เซอร์หม่าคิดว่าตัวเองควรหลบออกไปสักหน่อยจะดีกว่า
จ้าวหรูปิดประตู หลังจากนั้นไม่นานก็เปิดประตูมาอีกครั้ง แต่กลับให้หม่าโฮ่วเต๋อถอดรองเท้าออก…เซอร์หม่าจึงเข้าใจได้ทันทีว่า เธอเป็นหญิงสาวที่รักสะอาดมาก
กระเป๋าสัมภาระใบนั้นไม่ได้วางอยู่บนพื้นแล้ว แต่วางชิดผนังห้องและปิดไว้เรียบร้อย
“คุณจ้าวหรูครับ คุณพักอยู่คนเดียวมานานแค่ไหนแล้ว?”
“นายตำรวจหม่า คำถามแบบนี้ฉันจำเป็นต้องตอบหรือเปล่าคะ?”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่สงสัยเท่านั้นเอง” หม่าโฮ่วเต๋อยักไหล่ “อืม…คืออย่างนี้นะครับ คุณจ้าว ทางตำรวจกำลังออกหมายจับไต้โหย่วไฉ ไม่รู้ว่าสองวันมานี้ เขาเคยมาหาคุณบ้างหรือเปล่าครับ หรือว่าคุณได้ยินข่าวคราวของเขาบ้างไหมครับ คุณอย่าเข้าใจผิดนะครับ พวกเราไม่ได้สงสัยคุณ เพียงแค่ถามคุณนิดหน่อยตามระเบียบเท่านั้น ยังไงคุณก็ถือเป็นคนรู้จักของเขาด้วยเหมือนกัน”
จ้าวหรูชะงักไป เธอปล่อยมือที่กำลังเล่นจี้สร้อยคออยู่แล้วครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนส่ายหน้า “คุณไต้? ฉันไม่ทราบค่ะ ฉันกับเขาไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้น จะว่าไป ฉันก็เป็นแค่พนักงานต้อนรับหน้าเคาน์เตอร์ จะไปสนิทสนมกับผู้บริหารระดับใหญ่โตได้ยังไงกันคะ”
หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า “อืม ผมก็แค่แวะมาบอกให้คุณทราบสักหน่อย คุณจ้าวครับ ถ้าคุณได้ข่าวคราวอะไรละก็ รบกวนติดต่อพวกผมทันทีนะครับ”
จ้าวหรูยิ้มน้อยๆ พลางตอบกลับว่า “ฉันทราบแล้วค่ะ นายตำรวจหม่า…จริงสิ ฉันลืมรินน้ำชาให้คุณเลย”
“อ้อ ไม่เป็นไรครับ” หม่าโฮ่วเต๋อพูดปฏิเสธ “ผมกำลังจะกลับพอดี ยังมีธุระต้องไปที่อื่นอีก ผมแค่ผ่านมาก็เลยแวะมาดูหน่อยน่ะครับ…ถ้างั้น ไม่รบกวนแล้วครับ”
“เดี๋ยวฉันไปส่งคุณแล้วกันค่ะ” จ้าวหรูพยักหน้าพร้อมกับอมยิ้ม
…
หลังจากหม่าโฮ่วเต๋อลงไปข้างล่างแล้ว ก็รีบเดินขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว
เพิ่งจะขึ้นรถ นายตำรวจหนุ่มที่ทำหน้าที่ขับรถก็ถามอย่างแปลกใจว่า “เซอร์หม่าครับ พบอะไรบ้างไหมครับ?”
หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว “ก่อนที่ผมจะเข้าไปข้างในนั้น ผมว่าผมเห็นกระเป๋าสัมภาระของเธอเปิดอยู่ แต่พอเข้าไปแล้วกลับปิดวางไว้เรียบร้อย ในห้องเช่าของผู้หญิงคนนี้สะอาดมาก อันที่จริงไม่เห็นต้องเก็บของเพื่อกันผมไว้ข้างนอกเลย อืม…จ้าวหรูนี่อาจคิดหนี คุณโทรไปบอกให้คนออกสืบข้อมูลตามสถานีรถประจำทางและสนามบินทั้งหมดหน่อยสิ”
“รับทราบแล้วครับ”
หม่าโฮ่วเต๋อมองกระจกข้างรถแวบหนึ่ง ก่อนชี้ไปข้างหน้าพลางพูดว่า “คุณขับรถไปวนอ้อมข้างหน้าสักรอบแล้วค่อยขับกลับมา เดี๋ยวพวกเราค่อยลงไปถามเรื่องจ้าวหรูกับคนแถวๆ นี้สักหน่อยแล้วกัน ผู้หญิงคนนี้ยังจับตาดูพวกเราอยู่”
“ระวังตัวขนาดนี้ ดูท่าจะมีปัญหาแล้วนะครับ” นายตำรวจหนุ่มหันมองกระจกหลังแวบหนึ่งเช่นกัน
ฉับพลันเซอร์หม่าก็บีบหว่างคิ้วตนเอง แล้วส่ายหัวไปมา
“เซอร์หม่าครับ เหนื่อยแล้วหรือครับ?” นายตำรวจหนุ่มพูดแซว “คงไม่ใช่เพราะจับตาดูเพื่อนร่วมงานคนนั้นจนเพลียเหรอครับ?”
เขาติดตามหม่าโฮ่วเต๋อมานานพอสมควรแล้ว มีหรือจะไม่รู้ว่าเซอร์หม่าที่เปิดผ้าม่านห้องทำงานน้อยครั้งทำอะไรอยู่?
“พูดพล่ามไร้สาระอะไร ขับรถสิ!” หม่าโฮ่วเต๋อขยี้ตาแล้วพูดอย่างรำคาญ
รถยังไม่ได้แล่นออกไปไกลมากนัก นายตำรวจหนุ่มกลับเอ่ยถามทันทีว่า “เอ๊ะ เซอร์หม่า นั่นไม่ใช่ลูกชายของพี่ใหญ่ลั่วที่ท่านพูดถึงบ่อยๆ เหรอครับ?”
หม่าโฮ่วเต๋อมองไปก็เห็นลั่วชิวจริงๆ …ตอนนี้ลั่วชิวกำลังหิ้วของถุงหนึ่ง นั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ริมถนนเพียงลำพัง
“เดี๋ยวคุณรอผมแป๊บหนึ่งนะ” แล้วหม่าโฮ่วเต๋อก็ลงรถไป
…
ตอนที่ลั่วชิวรู้สึกว่ามีคนแตะเขาจากข้างหลัง ถึงได้ถอดหูฟังที่สวมอยู่ออกแล้วหันไป ก่อนเอ่ยถามด้วยหน้าตื่น “อาหม่า อามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ?”
“อ้อ…อามาทำคดีแถวนี้พอดี เห็นเธอก็เลยผ่านมาทักสักหน่อย” หม่าโฮ่วเต๋อยิ้มแล้วถามเขาว่า “แล้วเธอล่ะ ทำไมถึงมาแถวนี้? ไม่มีเรียนเหรอ?”
“วันนี้ไม่มีคาบเรียนครับ” ลั่วชิวตอบส่งๆ ไป “ได้ยินว่าแถวนี้มีตลาดผลไม้ขายส่งดีๆ ก็เลยแวะมาซื้อทุเรียนสดๆ สักหน่อยน่ะครับ”
หม่าโฮ่วเต๋อนั่งลง หัวเราะฮาลั่นแล้วพูดว่า “มิน่าล่ะ อาถึงได้กลิ่นหอมมาแต่ไกลเชียว อืม จื่อหลิงชอบกินทุเรียนมากเลยสินะ เธอเป็นเด็กมีน้ำใจจริงๆ”
“อาก็ชอบกินไม่ใช่เหรอครับ”
ลั่วชิวเอ่ยขึ้นมาเบาๆ แล้วล้วงทุเรียนที่แกะและห่อเรียบร้อยแพ็คหนึ่งออกมาจากในถุง “อาคงมัวแต่ทำงานจนลืมกินข้าวสินะครับ กินสักหน่อยสิครับ”
“งั้น อาไม่เกรงใจล่ะนะ!”
หม่าโฮ่วเต่อรับแพ็คทุเรียนมาด้วยความชื่นใจ จึงแกะแล้วหยิบขึ้นมากินชิ้นหนึ่งโดยไม่ลังเล “โอ้! หวาน! หอม! ขากลับอาต้องซื้อกลับไปสักแพ็คแล้ว!”
เซอร์หม่าแสดงท่าทางพึงพอใจ แล้วก็ยืดเส้นยืดสายพลางพูดว่า “อืม สดชื่นดีจริงๆ เมื่อกี้ยังเวียนหัวอยู่เลย! ที่แท้ก็หิวนี่เองเหรอ? ลั่วชิวเอ๊ย ของกินเธอนี่มาได้ทันเวลาพอดีเลยนะ!”
เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที เหมือนกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ความอ่อนเพลียตอนเพิ่งขึ้นรถหรือแม้กระทั่งอาการคลื่นไส้ก็หายไปโดยพลัน
“งั้นก็ดีแล้วครับ”
ลั่วชิวยิ้มๆ แล้วลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยลา “รถมาแล้ว ผมไปก่อนนะครับ”
“อ้อ ว่างๆ มากินข้าวบ้านอาสิ! จะให้อาของเธอทำหัวสิงห์ซอสน้ำแดงที่เธอชอบให้กินแน่นอน!”
บนรถ ก่อนประตูจะปิด เจ้าของร้านลั่วแค่หันมาพยักหน้าให้เขาเล็กน้อยแค่นั้น
…
…
“เซอร์หม่าครับ พวกเราถามเจ้าของอะพาร์ตเมนต์ของจ้าวหรูแล้ว ผู้หญิงคนนี้ไม่มีเพื่อนที่ไหน ปกตินอกจากออกไปทำงานแล้วก็ไม่ได้ออกไปไหนอีก ดูเหมือนว่าไม่มีใครเคยเห็นแฟนของเธอด้วยครับ”
“ทางพวกผมก็ถามเสี่ยวหลิวพนักงานอีกคนมาแล้วครับ เวลาจ้าวหรูทำงานแทบจะไม่ค่อยคุยเรื่องส่วนตัวเลย แต่จะตั้งใจทำงานมาก หลังเลิกงานก็มักจะอยู่ทำงานของพนักงานต้อนรับจนเสร็จครับ”
“ส่วนพวกผมก็ตรวจภาพวงจรปิดตามถนนแถวอะพาร์ตเมนต์ของเธอแล้ว พบว่าเธอออกจากบ้านเดือนที่แล้วในวันที่สอง วันที่สิบเจ็ด วันที่ยี่สิบ และวันที่หกเดือนนี้ครับ จนกระทั่งประมาณเกือบเที่ยงคืนถึงได้กลับมาครับ”
พอหม่าโฮ่วเต๋อได้ฟังมาถึงตรงนี้ก็ถึงกับอึ้งพลางพูดว่า “วันที่สอง วันที่สิบเจ็ด? วันที่ยี่สิบ? วันที่หกเดือนนี้?”
“ใช่ครับ เป็นวันที่เด็กนักเรียนห้าคนนั้นโดดตึกพอดีเป๊ะ!”
ในตอนนี้เอง นายตำรวจคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน แล้วพูดโพล่งขึ้นว่า “เซอร์หม่าครับ พวกเราเช็กเจอแล้วครับ จ้าวหรูคนนี้ซื้อตั๋วรถไฟไปเมือง YN แล้วจริงๆ ครับ แต่ตอนที่พวกผมเช็กบันทึกบัตรประจำตัวประชาชนของเธอพบว่าบ้านเกิดของเธอไม่ใช่เมือง YN แล้วก็ไม่มีญาติอยู่ที่เมือง YN ด้วยครับ”
“ซื้อตั๋วตอนไหน?”
“เมื่อสามวันก่อนครับ”
“นั่น…ไม่ใช่วันที่พวกเราไปค้นสถาบันสอนพิเศษเหรอ?” หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว “จะไปเมื่อไร?”
“รถเที่ยววันนี้ห้าโมงเย็นครับ อืม…ในอีกไม่ถึงเจ็ดสิบนาทีข้างหน้านี้แล้วครับ!” นายตำรวจขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามว่า “เซอร์หม่า ท่านว่าพวกเราควรทำอย่างไรดีครับ?”
หม่าโฮ่วเต๋อลุกพรวดแล้วพูดว่า “ทำยังไงอะไรล่ะ? หาข้ออ้างสักอย่างรั้งไม่ให้เธอไปได้สิ! ขืนปล่อยให้เธอออกไปนอกมณฑลแล้ว ต่อไปคิดจะหาตัวก็ยุ่งยากพอดี! เธอซื้อตัวรถไฟหนีในวันนั้นเลย นี่มันน่าสงสัยมากแล้ว! ต้องไปทำความผิดมาแน่นอน”
ตอนนี้หม่าโฮ่วเต๋อไม่ได้สูบแม้กระทั่งบุหรี่แล้วเหมือนกัน แค่รู้สึกว่าหลังจากกลางวันกินทุเรียนไปแพ็คหนึ่งแล้ว เหมือนกระปรี้กระเปร่าไปทั้งตัว จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังสดชื่นอยู่เลย
คนที่สถานีตำรวจรีบเตรียมรถไว้เรียบร้อย เตรียมพร้อมออกเดินทาง หลังจากหวังเย่ว์ชวนที่อยู่ในแผนกนี้มองอย่างไม่ใส่ใจแวบหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด ทว่ายังคงนั่งอยู่ในห้องประชุมเพียงลำพัง
เขาเลื่อนกระดานดำที่มีล้อเลื่อนมาอันหนึ่ง ตัวเขาเองกำลังคิดอะไรบางอย่าง เขาติดรูปถ่ายจำนวนมากไปบนกระดาน พร้อมกับวาดโยงเส้นสลับซับซ้อน
…
ตอนที่เซอร์หม่าเตรียมจะขึ้นรถ เขาก็แอบโทรศัพท์ก่อนครู่หนึ่ง
“ฮัลโหล ที่รักเหรอ? เย็นนี้ผมอาจจะไม่ได้กลับไปกินข้าวแล้วนะ…ตุ๋นซุปไว้แล้วเหรอ? ถึงจะกลับช้าหน่อย แต่สัญญาว่าจะซดให้เกลี้ยงเลย! อ้อ จริงสิ ถ้าคุณมีเวลาไปเดินเล่นแถวถนนซินเฟิงสักหน่อยสิ ได้ยินว่ามีตลาดผลไม้ขายส่งดีๆ แถวนั้น ทุเรียนที่นั่นอร่อยมากเลยนะ…แค่นี้ก่อนนะ ผมต้องขึ้นรถแล้ว”
เซอร์หม่ามุดขึ้นรถอย่างมีความสุข…แล้วออกรถไปทันที