หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 807 ผู้สืบทอดมรดก
บนท้องฟ้า
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตที่กวาดออกมาราวกับพายุหยุดนิ่งจากเสียงเย็นเยือกของหญิงสาว…
ม่านตาทุกคนหดเกร็งยามมองท้องฟ้า พวกเขาเห็นมู่เฉินยืนอยู่บนอากาศพร้อมกับเงาร่างเลือนรางสีดำสามร่างที่อยู่รอบตัวที่กำจายรังสีสังหาร ฝ่ามือเหล่านั้นกำลังจะสัมผัสเขา ซึ่งเป็นพลังที่สามารถทำร้ายมู่เฉินจนได้รับบาดเจ็บร้ายแรงได้
ทว่าถัดจากเงาร่างสีดำสามร่างหญิงสาวคนหนึ่งก็ปรากฏตัวอย่างน่าประหลาด นางวางมือข้างหนึ่งแตะบนหลังของเงาร่างสีดำร่างหนึ่ง
คลื่นหลิงน่ากลัวที่อยู่ในฝ่ามือของนางทำให้เงาดำหยุดชะงักทันที ฝ่ามือที่กำลังจะซัดใส่มู่เฉินค้างนิ่งไปเช่นกัน เนื่องจากเขารู้ว่าหากคิดจะโจมตีใส่ ฝ่ามือที่ด้านหลังจะทำให้เขาต้องจ่ายราคาใหญ่หลวงแน่
บรรยากาศบนท้องฟ้าหยุดนิ่งไปในขณะนี้ ไม่มีใครกล้าทำลายความเงียบนี้ลงเลย
ดวงตาของโยวหมิงกะพริบรุนแรง แววเหี้ยมเกรียมและหวาดกลัววูบไหวออกมา ทำให้สีหน้าเรียบเฉยแต่เดิมดูบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย
สายตาโยวหมิงเต็มไปด้วยความไม่พอใจแรงกล้าเมื่อมองมู่เฉิน ถ้าเขามีเวลาสักชั่วอึดใจก็จะกำจัดมู่เฉินได้แล้ว แต่เขาไม่คิดว่า…ไฉ่เซียวจะรวดเร็วปานนี้
ในเมื่อนางสามารถปรากฏที่เบื้องหลังเขา ก็หมายความว่าฟังยี่ล้มเหลวและแผนการกำจัดมู่เฉินของเขาก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าเช่นกัน
มู่เฉินมองโยวหมิงที่แววตาวูบไหวรุนแรงก็ยิ้มบางออกมา แม้ว่าพลังฝ่ามือแหลมคมจะอยู่ตรงหน้า ดวงตาเขาก็ไม่ฉายแววหวาดกลัวใดๆ กลับกันปีกหงส์ฟ้าที่แผ่นหลังห่อตัวเข้ามาช้าๆ ก่อนที่จางหายไป
“พวกแกแพ้แล้ว” มู่เฉินทวนคำพูดอีกครั้งขณะมองโยวหมิง
“แกรนหาที่ตายใช่ไหม?” โยวหมิงเอ่ยเสียงเข้ม ตอนนี้ชีวิตของมู่เฉินอยู่ในกำมือเขาแล้ว แต่มันกลับไม่แสดงท่าทางหวาดกลัวอะไรเลย
“แกไม่กล้าพอที่จะเอาชีวิตเข้าแลกหรอก” ม่านตาสีดำของมู่เฉินจ้องเขม็งไปที่โยวหมิงขณะที่รอยยิ้มเยาะโค้งขึ้นที่มุมปาก
ม่านตาของโยวหมิงหดลงเล็กน้อย แม้ว่าตอนนี้มู่เฉินจะอยู่ในกำมือเขา แต่เมื่อทั้งคู่เผชิญหน้ากันรัศมีของฝ่ายหลังกลับมีมากกว่า ภายใต้แววตาไร้ความหวาดกลัวของมู่เฉิน ก็ทำให้เกิดเศษเสี้ยวความหวาดกลัวเบาบางเผยในส่วนลึกในใจของโยวหมิง
แม้เขาปฏิเสธที่จะยอมรับ แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งที่มู่เฉินพูดมาเป็นความจริง เขาไม่กล้าพอที่จะเอาชีวิตตัวเองไปแลกหรอก
สายตาของโยวหมิงกะพริบ จากนั้นเขาก็หายใจลึก หันมาทางไฉ่เซียวที่อยู่เบื้องหลัง “เราวางมือพร้อมกัน ข้าว่าอย่ามีเรื่องกันเลย เพราะไม่มีประโยชน์อะไรต่อทั้งสองฝ่าย”
ไฉ่เซียวเหลือบมองมู่เฉินก็เห็นเขาพยักหน้าเบาๆ ให้ เป้าหมายของพวกนางคือมรดกมังกรหงส์ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องบีบโยวหมิงให้จนตรอก เพราะแม้แต่กระต่ายยังกัดได้หากร้อนใจ ไม่ต้องพูดถึงโยวหมิงที่ไม่ใช่กระต่ายแต่เป็นหมาป่าดุร้ายเลย
โยวหมิงและไฉ่เซียวไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นทั้งคู่จึงไม่ได้กลับคำและวางมือลงในเวลาเดียวกัน พลางสลายคลื่นหลิงรุนแรงลงด้วย
วาบ!
ร่างโยวหมิงวูบไหว พริบตาก็ไปปรากฏตัวในระยะไกลออกไปหลายพันจั้ง เขามองไฉ่เซียวกับมู่เฉินด้วยความระแวดระวัง
มู่เฉินระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ร่างกายเขาสูญเสียคลื่นหลิงปริมาณมหาศาล หากการต่อสู้ยังดำเนินต่อไป เขาอาจจะเพลี่ยงพล้ำในสถานการณ์อันตราย แต่โชคดีที่ไฉ่เซียวเอาชนะฟังยี่ได้ก่อน
“สุดยอด” มู่เฉินยกนิ้วหัวแม่มือให้ไฉ่เซียว แม้เขาจะไม่ได้สู้กับฟังยี่ แต่นั่นก็คืออันดับหนึ่งของบันทึกมังกรหงส์ที่มีชื่อเสียงเหนือโยวหมิง ก่อนหน้านี้เขาได้รับประสบการณ์ทักษะของโยวหมิงแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกตกใจและชื่นชมกับความจริงที่ไฉ่เซียวสามารถเอาชนะฟังยี่ที่ทรงพลังมากกว่าได้
ท่าทางเย็นชาของไฉ่เซียวถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ดึงดูดใจคน ทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากหันมามองโดยไม่รู้ตัว แต่ในสายตาเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยความเคารพ เนื่องจากพลังที่ไฉ่เซียวแสดงออกมาทำให้พวกเขากลัวจนตัวสั่นเทิ้ม
“ฝีมือเจ้าเองก็ดีเหมือนกัน ข้าตัดสินใจไม่พลาดจริงๆ” ไฉ่เซียวยิ้มบาง แววชื่นชมเผยในดวงตาขณะที่นางมองมู่เฉิน การประจัญบานกันครั้งนี้ หากไม่ใช่เพราะมู่เฉินงัดทักษะทั้งหมดที่มีเข้าขัดขวางโยวหมิงไว้ละก็ คงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะเอาชนะฟังยี่
“เกือบไม่ไหวแล้ว” มู่เฉินเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้
มู่เฉินเห็นชัดว่าด้วยพลังในปัจจุบัน เขาทำได้เพียงขัดขวางโยวหมิงเท่านั้น แต่ถ้าเกิดการสู้เต็มรูปแบบจริงๆ โอกาสที่เขาจะชนะริบหรี่เหลือเกิน
แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น ขณะที่โยวหมิงเหลืออีกครึ่งก้าวก็จะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า แม้แต่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ คนที่อยู่ในระดับนี้ก็นับว่าได้อยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการเลยทีเดียว
แม้ว่ามู่เฉินจะมีไพ่ตายมากมายซ่อนในแขนเสื้อ แต่เขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะโยวหมิงได้ง่ายดายเหมือนกับเอาชนะหลิ่วเหยียน
“เจ้าทำให้ข้าตกใจมากที่ประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้ทั้งที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม ถ้าพวกเจ้ามีพลังยุทธ์ในระดับเดียวกัน เขาอยู่ไกลจากเจ้าหลายโยชน์แน่นอน” ไฉ่เซียวยิ้มบาง
มู่เฉินต้องยอมรับว่าคำชมหวานหูจากสตรีน่าหลงใหลเช่นนี้ ยกความทระนงที่มีเพิ่มขึ้นหลายส่วน ทำให้ร่างกายเขาเหมือนกับจะลอยได้
ชมมู่เฉินแล้ว ไฉ่เซียวก็เบนสายตาไปทางโยวหมิงเอ่ยด้วยเสียงเฉยเมย “เจ้ายังไม่ไปอีกเหรอ?”
สีหน้าของโยวหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะมองไฉ่เซียวกับมู่เฉินด้วยสายตามืดครึ้ม ก่อนจะพุ่งไปที่มู่เฉินเอ่ยเสียงเย็นเยือก “จวนยมโลกจะจำเรื่องราววันนี้ไว้ แต่ข้าหวังว่าถ้าพบกันครั้งหน้า แกจะไม่ต้องพึ่งพาสตรีมาช่วยอีกนะ”
ได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็ยิ้มบาง “บางทีแกอาจเป็นคนที่ต้องระวังตัวหากเราเจอกันในอนาคต”
แม้จะเป็นเรื่องค่อนข้างยากสำหรับเขาในการเอาชนะโยวหมิงในตอนนี้ แต่เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถไล่ตามทัน ดังนั้นหากพวกเขาพบกันอีกในอนาคต หากโยวหมิงยังมีความคิดบีบให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบเช่นนี้ มู่เฉินจะทำให้อีกฝ่ายซึ่งถึงความหมายของเจอนักรบใหม่ในอีกสามวันก็ต้องเปลี่ยนมุมมอง
“ไอ้ปากดี”
โยวหมิงแค่นเสียงเย็นชา ในฐานะเสาหลักของจอมยุทธ์รุ่นใหม่ภูมิภาคทางเหนือ ทำให้ความภาคภูมิใจของเขาไม่ด้อยไปกว่าใครอื่น การที่มู่เฉินอวดเบ่งว่าสามารถแซงหน้าเขาไปได้จึงเป็นมุกตลกในสายตาของเขา เพราะถ้าไม่ใช่ไฉ่เซียวอยู่ที่นี่วันนี้ มู่เฉินคงตายคาที่แล้ว
พูดจบแล้วโยวหมิงก็ไม่คิดอยู่ในสถานที่ที่ทำให้รู้สึกขุ่นเคืองต่อไป เขากวาดสายตามืดครึ้มมองมู่เฉินกับไฉ่เซียว จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงเหาะผ่านขอบฟ้าไป
เขารู้ว่าไฉ่เซียวไม่มีทางให้เขาอยู่ใกล้ เพื่อที่พวกเขาจะได้รับมรดกมังกรหงส์อย่างสบายใจ ในเมื่อไม่สามารถได้มรดกแล้ว ก็ไม่มีความหมายอะไรที่จะอยู่ต่อไป
เรื่องในวันนี้ต้องรอแก้แค้นในอนาคตแล้ว
“เจ้ามีปัญหาในอนาคตซะแล้ว” ไฉ่เซียวมองโยวหมิงที่จากไปก็ส่งยิ้มไม่เชิงยิ้มให้มู่เฉิน
มู่เฉินอึ้งไป
“ข้าไม่ใช่คนภูมิภาคทางเหนือ หลังจากรับมรดกมังกรหงส์แล้วข้าก็ไป แต่เจ้าเป็นสมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นก็ต้องปะหน้ากับฟังยี่และโยวหมิงอีกแน่ ถึงตอนนั้น…” ไฉ่เซียวเอ่ยเย้า
มู่เฉินพยักหน้า ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขาที่มีเรื่องกับอันดับหนึ่งและอันดับสองในบันทึกมังกรหงส์ แต่ปีที่ผ่านๆ มา มู่เฉินก็มีศัตรูมากมายจนขี้เกียจนับแล้ว เพราะสุดท้ายคนที่เขาเรียกว่าศัตรูก็กลายเป็นบันไดให้เขาเหยียบขึ้นสูงต่อไป
ดังนั้นไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่กลัวภัยคุกคามแฝงเร้นเหล่านั้น เขากลับรอคอย เพราะการมีแรงกดดันแบบนี้จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นไปอีก!
“ถ้าเจ้ากังวล หลังออกจากเขตหลงเฟิ่งก็ไปกับข้าได้ ที่ที่ข้าจะพาเจ้าไปเหมาะสมกับเจ้ามากกว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เมื่อถึงที่นั่น บางทีเจ้าอาจจะมีโอกาสฝึกยุทธ์ดีกว่าก็ได้” ไฉ่เซียวหัวเราะในลำคอ
ความแข็งแกร่งของไฉ่เซียวพิสูจน์แล้วว่าขั้วอำนาจเบื้องหลังนางไม่ใช่ธรรมดาเลย จากการคาดเดาของมู่เฉิน ภูมิหลังของนางจะต้องเป็นกลุ่มที่ไม่มีใครในภูมิภาคทางเหนือเทียบชั้นได้ บางทีอาจเป็นอย่างที่นางพูด เขาจะมีโอกาสได้รับการฝึกยุทธ์ที่ดีกว่าเมื่ออยู่ที่นั่นและนี่อาจเป็นสิ่งที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน
ทว่ามู่เฉินกลับส่ายหน้าตอบ เขาไม่คุ้นเคยกับการถูกปกป้อง ตัวเขาต้องการพุ่งไปข้างหน้าด้วยพลังของตัวเองเพื่อกลายเป็นยอดยุทธ์ เป็นจอมยุทธ์ที่ไม่ต้องพึ่งพาการปกป้องและทรัพยากรจากขั้วอำนาจอื่นใด
“เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้าหรอก ถ้าครั้งหน้าพบกัน ข้าจะช่วยเจ้าจัดการกับพวกมันเอง” มู่เฉินยิ้มบาง
คิ้วของไฉ่เซียวเลิกขึ้นเมื่อได้ยินมู่เฉินปฏิเสธนาง ทว่าจากนั้นนางก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยกับความมั่นใจที่มู่เฉินมีในคำพูด นั่นเพราะนางรู้ว่าฟังยี่น่าสะพรึงเพียงใด กระทั่งตัวนางลงมือเองในครั้งนี้ นางยังต้องใช้ความพยายามใหญ่หลวง นี่เป็นเรื่องเพ้อฝันชัดๆ ในสายตาคนอื่นเรื่องที่มู่เฉินคิดจะกำจัดสองคนนั้นได้
ทว่าไฉ่เซียวก็ไม่ได้หัวเราะเยาะคำพูดของมู่เฉิน นางมองมู่เฉินด้วยสายตามีเสน่ห์และยิ้มอ่อนโยน “ตกลง งั้นข้าก็หวังว่าครั้งหน้าที่เราเจอกัน เจ้าจะนำข่าวดีมาให้ข้านะ”
มู่เฉินยิ้มพร้อมกับพยักหน้า
ไฉ่เซียวเห็นการตอบสนองของเขาก็เบนไปมองสายตานบน้อมนับไม่ถ้วน จากนั้นนางก็มองไปทางซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “พวกเจ้ามีอะไรขัดข้องเรื่องที่พวกข้าจะรับมรดกมังกรหงส์หรือไม่?”
พอได้ยินคำพูดของไฉ่เซียว ซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนก็มองหน้ากันก่อนที่จะถอนหายใจ แม้แต่ฟังยี่กับโยวหมิงยังพ่ายแพ้ให้กับสองคนนี่ แล้วพวกเขาจะมีอะไรไปคัดค้านได้กัน? ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงแต่ส่ายหน้าอย่างรู้งาน
“งั้นก็ขอบใจ” ไฉ่เซียวเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์บนใบหน้า เสน่ห์ในรอยยิ้มทำให้แม้แต่โฉมงามอย่างซูปี้เยี่ยกับหงหยูยังดับไปวูบหนึ่งเมื่อเทียบกัน
มู่เฉินเงยหน้ามองจุดสูงสุดของจัตุรัสมังกรหงส์ ที่ตรงนั้นมีแสงสีทองเจิดจ้ากำจายออกมา ราวกับว่ามีความล้ำลึกไม่มีที่สิ้นสุดอยู่
มีความรู้สึกตื่นเต้นเกิดขึ้นในใจเขา
ในที่สุดมรดกมังกรหงส์ก็เป็นของพวกเขาแล้ว!