เมื่อเห็นฉีหยุนเผิงกดสัญญาณแจ้งเตือน เจิ้งเหวยหวาก็รำพึงว่าแย่แล้ว
เขาไม่ค่อยรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเย่เทียนและตระกูลฉิน แต่วิลล่าฉินหยุนประกาศไว้ชัดเจนว่าห้ามใช้กำลัง ไม่ว่าจะเป็นใครขืนผิดกฎข้อนี้รับรองว่าต้องโดนตระกูลศิลปะการต่อสู้ที่มีประวัติมาร้อยปีอย่างตระกูลฉินลงโทษอย่างหนัก!
ต่อให้เขาเป็นสมาชิกระดับไดมอนต์และพอข้องแวะกับตระกูลฉินอยู่บ้างก็ไม่อาจฝ่าฝืนได้เช่นเดียวกัน แล้วไหนจะเย่เทียนล่ะ
กฎก็คือกฎ ไม่อย่างนั้นทำไมพวกเขาถึงนัดกันที่นี่?!
“คุณชายเย่ คราวนี้เป็นเรื่องใหญ่แล้วจริงๆ จังหวะที่คนของวิลล่าฉินหยุนยังไม่มา เราไปกันก่อนดีกว่ามั้ย?”
คิดมาถึงตรงนี้ เจิ้งเหวยหวารีบเดินมาอยู่ตรงหน้าเย่เทียน
“จะกลัวอะไร?” เย่เทียนเบ้ปาก ไม่ใส่ใจเลยสักนิด
ในเมื่อที่นี่เป็นธุรกิจของตระกูลฉิน จากที่ตระกูลฉินรู้จักเขามา บวกกับเมื่อกี้ปะหน้ากับฉินโล่หยินแล้ว เขาไม่มีอะไรต้องกังวลจริงๆ!
เจิ้งเหวยหวาอธิบายอย่างอ่อนใจ “คุณชายเย่ ที่นี่เขาห้ามลงมือกัน ไม่มีใครได้รับการยกเว้น ต่อให้เป็นผมก็ต้องถูกลงโทษอย่างหนักเหมือนกัน เรา…..”
“เจิ้งเหวยหวา นายยังอยากให้ฉันช่วยจัดการหยงฟากรุ๊ปอยู่มั้ยวะ? ถ้าอยากก็ไสหัวไปไกลๆเลย”
ไม่รอให้เขาพูดจบ ฉีหยุนเผิงก็กุมหน้าตาฟกช้ำของตัวเองและตะโกนขู่ปาวๆด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม “ไอ้ทุเรศนี่อัดฉันซะเละ แค้นนี้ฉันจะชำระกับนายอย่างละเอียดเลยล่ะ!”
“คุณชายเย่ เราไปกันก่อนเถอะ”
เจิ้งเหวยหวากวาดสายตามองเขาและไม่เก็บมาใส่ใจ ก่อนจะเกลี้ยกล่อมเย่เทียนต่อ
ยังไงซะถ้าทำให้ฉีหยุนเผิงไม่พอใจก็แค่ขาดแรงสนับสนุนไปแรงเดียว แต่ถ้าทำให้เย่เทียนโกรธได้ลงไปคุยกับรากมะม่วงแน่!
“คิดบัญชีเหรอ? ดีสิ ฉันชอบคิดบัญชีที่สุด!”
ความโมโหของเย่เทียนที่สลายไปบ้างแล้วเพิ่มพูนขึ้นอีกครั้ง
เขาผลักเจิ้งเหวยหวาออก เห็นๆว่าจะลงมือต่อ
“แน่ แน่จริงนายรอการ์ดมาก่อนสิ รังแกตาแก่อย่างฉันไม่เก่งจริงนี่หว่า!”
ฉีหยุนเผิงโดนเย่เทียนตีจนผวาไปหมดแล้ว ท่าทางเขาอย่างกับหนูที่เจอแมว เขารีบยกเก้าอี้ขึ้นมาและโวยวายเสียงดัง
“ฉันรังแกนายเหรอ ไม่ใช่ว่านายดูถูกคน แล้วหาเรื่องฉันมาตั้งแต่แรกเหรอ!”
“ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะเกรงกลัวบารมีของนาย ต่อให้โดนรังแกก็ต้องก้มหน้ารับผิด”
เย่เทียนหัวเราะเย็นๆไม่หยุด ไม่มีความรู้สึกดีๆให้เจ้านี่เลยสักนิด
ฉีหยุนเผิงพูดไม่ออกในบัดดล ไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกมาดี
แกร๊ก!
เวลานั้น จู่ๆก็มีคนผลักประตูห้องเข้ามา ชายกำยำสามสี่คนในชุดสูทเดินเข้ามาข้างในในพรวดเดียว
“เกิดอะไรขึ้น?”
ชายกำยำที่เดินนำมากวาดสายตามองห้องที่สภาพเละเทะ และขมวดคิ้วเป็นปม
“เขาลงมือทำร้ายฉัน คุณดูสิ หน้าฉันตัวฉันมีแต่แผล พวกนายรีบจับไอ้หนุ่มนั้นไว้เร็ว!”
ฉีหยุนเผิงรีบวิ่งไปอยู่ตรงหน้าชายกำยำและชี้ไปที่เย่เทียน ก่อนจะชี้ตัวเองขึ้นลง
ชายกำยำได้ฟังจึงเบนสายตาไปที่เย่เทียนอัตโนมัติ แต่สายตาไม่ฉายแววปฏิปักษ์เลยสักนิด
“ที่นี่ ที่นี่มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย พวกคุณฟังผมอธิบายก่อนครับ…..”
เจิ้งเหวยหวาที่ยืนอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะถอยหลังครึ่งก้าวด้วยความกลัว แม้ว่าชายกำยำในสูทเหล่านี้เป็นแค่การ์ด แต่หากอยู่ที่นี่เขาก็มีเรื่องด้วยไม่ได้
ไม่มีเหตุผลอื่น เขาเคยได้ยินฉินเจิ้งพูดมากับหูตัวเองว่าคนโฉดที่มีตำแหน่งเป็นการ์ดในวิลล่าฉินหยุนล้วนเป็นคนเหี้ยมที่สู้ได้อย่างน้อยหนึ่งต่อห้ากันทั้งนั้น
“เข้าใจผิดแม่แกสิ แผลบนตัวฉันนี่ฉันตีตัวเองรึไง?”
ไม่รอให้เขาพูดจบ ฉีหยุนเผิงก็ด่ากราด “เจิ้งเหวยหวา นี่คุณจะสะบั้นมิตรภาพของเราเพื่อคนนอกเพียงคนเดียวจริงๆใช่มั้ย?!”
ส่วนเฉียนหย่งซือกับเหว่ยฉีจื้อสองคนยืนเงียบอยู่ด้านข้าง มิหนำซ้ำพวกเขาสบตากันและต่างเห็นแววตานึกสนุกในสายตาอีกฝ่าย
เจิ้งเหวยหวาขมขื่น ถ้าเย่เทียนเป็นแค่คนธรรมดาเขาไม่มีทางไปล่วงเกินฉีหยุนเผิงเพราะเย่เทียนหรอก แต่เขาดันรู้จักความสามารถของเย่เทียนดี
หากฉีหยุนเผิงเป็นหมาป่า เย่เทียนก็เป็นเจ้าป่าอย่างไม่ต้องสงสัย–ราชสีห์!
“ฉีหยุนเผิง ผมแค่ว่ากันไปตามเนื้อผ้า วันนี้คุณทำเกินไปจริงๆ”
“ถ้าไม่ได้เห็นแก่ที่เรารู้จักกันมาหลายปี ผมยังอยากอัดคุณเลย!”
คิดมาถึงตรงนี้ เจิ้งเหวยหวารีบสลัดความคิดเลอะเทอะในสมองทิ้ง
“ดีๆๆ!”
ฉีหยุนเผิงผงะ ความโหดเหี้ยมฉายชัดยิ่งขึ้นบนใบหน้า เขากัดฟันกรอด “เจิ้งเหวยหวา หลังจากฉันจัดการไอ้เด็กคนนี้เสร็จค่อยมาคิดบัญชีกับนาย!”
เขาไม่มองเจิ้งเหวยหวาอีก และจ้องไปที่เย่เทียนเขม็งพร้อมคำราม “พวกนายรีบลงมือสิ ไปจับไอ้หนุ่มนั่นมา ฉันจะให้เขารู้ว่าการล่วงเกินฉันเป็นความผิดพลาดที่สุดในชีวิตเขา!”
“คุณฉี ขออภัยจริงๆครับ พวกเราไม่มีอำนาจจะจับเขา”
ทว่า ชายกำยำกลับส่ายหัว และพูดประโยคที่ทำให้ฉีหยุนเผิงแทบกระอักเลือด
“ไม่มีอำนาจ?!”
คำนี้ทำให้ทุกคนในที่นี้อึ้งกันไปในพริบตา ไม่เข้าใจเลยว่านี่มันเรื่องอะไร
“ฉัน ฉันเป็นสมาชิกระดับไดมอนต์ของพวกนายนะ วิลล่าฉินหยุนของพวกนายห้ามใช้กำลังไม่ใช่เหรอ ทำไมพวกนายจะไม่มีอำนาจ?”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง ฉีหยุนเผิงก็เดือดพล่านและด่ากราด
“คุณฉี จะพูดแบบนั้นก็ถูกครับ แต่คุณเย่ไม่เพียงแต่เป็นสมาชิกระดับทองดำของเรา แต่อยากเป็นหนึ่งในประธานของพวกเราวิลล่าฉินหยุนด้วยครับ”
ชายกำยำเบ้ปาก พูดราบเรียบ “สมองคุณโดนลาเตะมาหรือเปล่าครับ พวกเราจะตีเจ้านายตัวเองได้ยังไง?”
“สมาชิกระดับทองดำ? เจ้านาย?”
เมื่อประโยคนี้ถูกเอื้อนเอ่ย ทุกคนในที่นี้ตาโตอ้าปากค้างกันหมด ต่างมองเย่เทียนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“เจ้านาย?”
เย่เทียนก็ตกใจเหมือนกัน แต่ตั้งสติได้ในไม่ช้า และคิดว่านี่คงเป็นฝีมือของฉินโล่หยิน
“พวกนายคุยกันจบรึยัง ถ้าคุยจบแล้วก็รีบออกไปซะ ที่นี่ไม่ใช่ธุระกงการของพวกนาย”
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสืบสาวเอาความ เขาเร่งบรรดาชายกำยำอย่างรำคาญใจ
“ประธานเย่ครับ ยังไงซะวิลล่าฉินหยุนของเราก็มีกฎอยู่ หวังว่าคุณจะไม่เอาถึงชีวิตนะครับ”
ชายกำยำทั้งหมดพยักหน้าให้เย่เทียนนิดหน่อย และหันหลังเตรียมจะจากไป
ฉีหยุนเผิงรู้สึกเหมือนฝันไป ไม่อาจตั้งสติได้จากความเปลี่ยนแปลงมหันต์นี้ เขาเห็นเหล่าชายกำยำจะไปก็รีบตามเข้าไป
เย่เทียนยอมปล่อยเขาไปที่ไหน เขารีบออกแรงใต้เท้าและพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วแสง พร้อมถีบออกไป
ตึ้ง!
ฉีหยุนเผิงล้มลงตามเสียง และหัวแตกเลือดอาบในบัดดล แต่เขาไม่มีเวลามาสนเรื่องพวกนี้ เขารีบเงยหน้าขึ้นมากลับเห็นเหล่าชายกำยำออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามอง
ตึ้ง!
ประตูปิดลงอีกครั้ง ท่าทางฉีหยุนเผิงประหนึ่งสูญเสียฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยชีวิตไป คนทั้งคนดูเสียสติขึ้นมา
“เถ้าแก่ฉี เป็นยังไง? ตอนนี้ยังอยากคิดบัญชีกับฉันอยู่มั้ย?!”
ไม่รอให้ฉีหยุนเผิงตั้งสติ เสียงที่เปี่ยมด้วยความเย้ยหยันของเย่เทียนก็ดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง
“น้อง น้องชาย ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่น่าดูถูกคน ครั้งนี้นายให้อภัยฉันเถอะ”
ฉีหยุนเผิงตะลึงในใจ กล้าปากแข็งต่อไปที่ไหน เขาสั่นหัวอย่างกับพัดลม รีบร้อนร้องขอความเมตตา
“นายเรียกใครน้องชาย?”
เย่เทียนเดินเข้าไปและค่อยๆย่อตัวลง ก่อนจะตบเข้าไปอย่างแรงหนึ่งฉาด….