1899-1 vs 1899-2 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 1899-1 วัยเด็กแสนสุข

ฉินมั่วเพิ่งจะลืมตาขึ้น ป๋อจิ่วก็เอามือมาทาบบนหน้าผากเขาแล้ว

จากนั้นเจ้าหล่อนก็ขมวดคิ้วมุ่น ไม่ส่ายหางอีกต่อไป วิ่งไปหยิบเอากล่องยาที่ชั้นล่างแล้ววิ่งกลับขึ้นมา

คงเพราะปกติเธอซุกซนมาก หากเทียบกับฉินมั่ว ร่างกายของยัยเสือน้อยมีบาดแผลเล็กจนไปถึงใหญ่อยู่เรื่อย แต่ไม่รุนแรง ส่วนมากจะมาจากการปีนกำแพงแล้วจนโดนโน่นนี่ขูดหน้าบาดมือไปหมด ไม่ก็ปวดฟันหรือท้องอืด เป็นปัญหาที่เจอบ่อยในหมู่เด็กน้อย

เหตุที่ยัยเสือน้อยรู้ดีว่ากล่องยาของบ้านนี้วางไว้ที่ไหน ก็เพราะเวลาเธอป่วยหรือบาดเจ็บ ฉินมั่วจะเป็นคนป้อนยาให้

ส่วนฉินมั่วไม่รู้ว่ายัยเสือน้อยไปทำอะไร เขามึนศีรษะ เห็นอะไรโคลงเคลงไปหมด อยากจะลุกขึ้นมาเรียกหาคน แต่เมื่อเห็นยัยเสือน้อยหอบเอากล่องยามาหา ก็ถึงกับชะงักมือ

ป๋อจิ่วหยิบเอากล่องยามาก่อน จากนั้นวิ่งไปถือกระติกใส่น้ำร้อนมาให้ ทั้งยังก้มหน้าก้มตาชงยารักษาหวัดให้ฉินมั่ว แล้วดึงเอายาเม็ดออกมา

นัยน์ตาดำขลับจ้องมองฉินมั่ว สื่อให้เขารู้ว่าเขาต้องกินยา

นับว่าเป็นครั้งแรกที่ฉินมั่วได้รับการดูแล เขามองดูยัยเสือน้อยวิ่งขึ้นลงวุ่นวาย ไปหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่งมาพลิกดูไม่กี่หน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้น “มั่วมั่ว ฉันเล่านิทานก่อนนอนไม่เป็น งั้นฉันเล่านิทานที่แต่งเองให้ฟังดีไหม”

“หือ?” ฉินมั่วรู้สึกว่ามันยากนะที่เจ้าหล่อนจะไม่ซน รู้จักเล่านิทานก่อนนอนให้เขาฟังด้วย มุมปากอดแยกยิ้มไม่ได้

เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น ยัยเสือน้อยก็หลุบตา จุ๊บแก้มเขาทีหนึ่งโดยที่ฉินมั่วไม่ทันระวัง

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะป่วยหรือว่าเหตุผลอื่น ทว่าหลังหูเขาแดงเถือกเลยทีเดียว จนเมื่ออารมณ์เปลี่ยน ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ยัยเสือน้อยเริ่มแต่งนิทาน

บ้านตระกูลป๋อชำนาญในพระธรรมคำสอนของศาสนาพุทธและคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ แม้จะเป็นคนละลัทธิความเชื่อก็ตาม แต่พอจะสังเกตได้จากสิ่งที่ยัยเสือน้อยพูดออกมา จึงส่งผลให้มีนิทานตามนี้

“กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว มีคนหนึ่งศึกษาวิชามาร ส่วนอีกคนศึกษาวิชาเซียน คนที่ศึกษาวิชามารเป็นผู้มีโทษทัณฑ์ที่ไม่อาจได้รับการยกโทษให้ ต้องอยู่อย่างตกต่ำ ไร้ร่องรอย ส่วนคนที่บำเพ็ญเซียนได้กลายเป็นเซียนลอยขึ้นฟ้า เป็นอมตะ ไม่มีใครรู้ว่าสองคนนี้รู้จักกัน แถมยังสนิทกันมากด้วย พวกเขาเจอกันเมื่อตอนแปดขวบตอนที่ไปคารวะขอเป็นลูกศิษย์เซียนท่านหนึ่งที่ภูเขาหิมะคุนหลุน แต่คนบำเพ็ญมารกลับมีนิสัยดื้อด้าน ชอบก่อเรื่อง เขามักเอายาวิเศษที่ได้มไปให้คนบำเพ็ญเซียนจนหมด เพราะคนบำเพ็ญเซียนต้องสูญเสียพลังมาก แล้วยังต้องบรรลุหลักธรรม ถึงจะเมตตาสัตว์โลกได้

ทั้งสองคนต่างมีความสามารถทัดเทียมกัน แต่มาวันหนึ่งคนบำเพ็ญมารทำความผิดครั้งใหญ่ เขาละเมิดศีลข้อการห้ามฆ่าสัตว์เพื่อช่วยศิษย์พี่ที่บำเพ็ญเซียน เลยถูกกักขังที่เทือกเขาคุนหลุนสามปี ตอนนั้นศิษย์พี่ไปอยู่เป็นเพื่อนเขาทุกวัน กลายเป็นฝ่ายให้ยาวิเศษเขาแทน แต่เขากลับปฏิเสธ คนบำเพ็ญมารบอกว่าข้ายั้งมือไม่อยู่ในเวลาที่เห็นท่านถูกทำร้าย อีกทั้งยังเมตตาต่อสัตว์โลกไม่ได้ คงเพราะเหตุนี้เขาจึงหมดคุณสมบัติที่จะกลายเป็นเซียน

 ………………………………………

ตอนที่ 1899-2 วัยเด็กแสนสุข

นับจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็กลายเป็นมาร เดินท่องโลกมนุษย์ ลิ้มรสความทุกข์ยาก เห็นทุกสรรพสิ่ง แปลงร่างเป็นคุณชายไม่ได้เอาไหนที่คอยอาศัยนอนตามโรงน้ำชา เขาจำได้เพียงคนที่สั่งสอนเขาเมื่อพบกันเป็นครั้งแรกที่ใต้เขาคุนหลุน ทว่าทั้งสองเจอหน้ากันอีกไม่ได้ หากที่ไหนที่มีศิษย์พี่ เขาก็จะพยายามเลี่ยง ทว่าหลายคนไม่เข้าใจ คนที่บำเพ็ญมารไม่จำเป็นต้องเป็นคนเลว ส่วนคนที่บำเพ็ญเซียนก็ไม่น่าจะเป็นคนดี หลายคนทำความผิดแล้วไม่กล้ายอมรับก็ถือว่าแย่มากแล้ว แต่บางคนกลับโยนความผิดไปให้คนอื่น นี่แหละคือสันดานมนุษย์ที่ไม่แยกแยะในวิถีมารหรือวิถีเซียน เพราะคนที่บำเพ็ญมารเป็นคนทำอะไรเปิดเผย กระทั่งกำความลับของผู้คนมากมายไว้ในมือ แต่ว่าคนที่มีความผิดมักคิดจะกัดคนอื่นก่อน พวกเขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยทำอะไรมาบ้าง ได้แต่ด่าว่าคนที่บำเพ็ญมาร เริ่มใส่ร้าย วางแผนล่อ

เมื่อพวกเขาได้รู้ข่าวว่าคนบำเพ็ญมารต้องผจญเคราะห์กรรมทุกรอบสิบปี ก็ฉวยโอกาสล่อให้เกิดสายฟ้ามหาประลัย นับจากนั้นเป็นต้นมา คนบำเพ็ญมารถูกทำลาย เดิมที่จิตวิญญาณน่าจะสูญสลายหมดแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อจะลงนรกไป เขาเหลือจิตวิญญาณเพียงเล็กน้อย พวกนั้นบอกว่าคนที่ทำลายเขาไม่ใช่พวกคนที่บำเพ็ญเซียน แต่เป็นตัวเขานั่นแหละที่ไม่ยอมรับชะตากรรม ทว่าในวันเดียวกัน ก็มีอีกคนที่ไม่ยอมรับชะตากรรม ด้วยการใช้เลือดเนื้อความเป็นเซียน แลกมาซึ่งการเปลี่ยนชะตา แต่ไม่ได้เปลี่ยนชะตาให้ตัวเองนะ เปลี่ยนให้อีกคนต่างหาก ก็คนที่ควรจบชีวิตลงนั่นไง พระยูไลถามเขาว่า เขาจะเสียใจไหมเมื่อต้องเปลี่ยนจากเซียนมาเป็นสิ่งที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว เขาบอกว่าไม่เสียใจ เขาคิดถึงตอนอายุแปดขวบที่ได้เจออีกคนมากที่สุด ตอนนี้เขามีบุญบารมีและความสุขอย่างพรั่งพร้อม แล้วขอให้มอบทั้งหมดให้อีกฝ่าย พระยูไลส่ายหน้าอย่างสลดใจที่มหาเซียนเช่นเขาที่เปี่ยมด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณกลับต้องมามีจุดจบเช่นนี้ เขาไม่ตอบ บอกเพียงว่ามันเป็นชะตาลิขิต เขาหัวเราะ ดาบขาวในมือกลายเป็นเงา แล้วใช้เลือดเป็นตัวนำ ชะล้างนรก ก่อความสะเทือนต่อสามโลก

คืนนั้นบนเส้นทางแปดร้อยลี้สู่นรกไม่มีวิญญาณเลย มีก็แต่สัญลักษณ์แห่งธรรมอันโชติช่วง ทอดตัวเป็นเส้นทาง ราวกับจะเรียกให้ใครกลับมา เจ้าแม่กวนอิมเห็นแล้วถึงกับหลั่งน้ำตา ระฆังที่วัดเหลยอินส่งเสียงเป็นระยะ พระยูไลได้แต่พึมพำว่า อมิตตาพุทธ”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ยัยเสือน้อยก็เอียงศีรษะ ทำท่าเหมือนรอคำชม “มั่วมั่ว เรื่องนี้สนุกไหม?”

“เธอแต่งต่อไปสิ” ฉินมั่วหันมามอง

ยัยเสือน้อยส่ายหาง “งั้นขอฉันคิดก่อนแล้วจะมาเล่าให้เธอฟังในวันพรุ่งนี้ ตอนนี้เธอนอนก่อนนะ พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาจะได้สบายดี”

ฉินมั่วมองดูใบหน้าเล็กๆ ที่เข้ามาใกล้ ก่อนจิ้มนิ้วที่หน้าเธอ “ยัยโง่ สบายใจได้”

“หือ?” ยัยเสือน้อยกะพริบตาอย่างงงงวย

ยาออกฤทธิ์แล้ว เด็กน้อยกำลังจะนอนหลับ ส่งเสียงดังออกมา “ต่อให้พวกเราโตแล้วไม่เหมือนกัน ฉันก็จะไม่ให้ใครทำร้ายเธอ”

ยัยเสือน้อยได้ยินในสิ่งที่เขาพูด นัยน์ตาเจิดจ้า

อันที่จริงเธอรู้มาว่าสิ่งที่ต้องทำในอนาคตจะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่ยอมรับ เธอเคยดูการ์ตูนและหนังมามากมาย ก็ล้วนแต่บอกว่าคนที่ไม่ได้อยู่โลกเดียวกันย่อมอยู่ร่วมกันไม่ได้

เธอเคยถามคุณตาอาน รู้ว่าบ้านเจ้าหญิงน้อยเป็นตำรวจ

ไม่ ไม่สิ น่าจะโหดกว่าตำรวจอีก ยังไงเสียก็เป็นพวกที่มาจับเธออยู่ดี ทั้งนี้เธอไม่อยากให้เขาเป็นคนมาจับเธอ และยิ่งไม่อยากให้เขาเกลียดเมื่อรู้ว่าเธอทำอะไร ถึงได้แต่งเรื่องที่สื่อความหวังนี้ออกไป

แต่สิ่งที่ทำให้เธอยินดีเหลือเกินก็คือคำพูดของเขา ยัยเสือน้อยหันไปมองดูเจ้าชายน้อยที่นอนบนเตียง

เอ เขาถือได้ว่าเป็นของของเธอหรือยังนะ?

…………………………………………………