ระหว่างที่เขาลงมือ สิ่งที่ติดตามดาบมานั้นยังมีพลังเข้มแข็งสายหนึ่ง
กระแสพลังธรรมชาติพุ่งมาจากสี่ด้านแปดทิศ ไม่จางลงเพราะกระบวนท่าดาบสักน้อย ทว่ากระแสพลังเข้มแข็งนี้บีบคั้นเข้ามาอย่างดุดัน ทั้งมากพอให้คนจ้องมอง
เยี่ยเม่ยเพียงแค่ยืนอยู่ข้างกายเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยังรู้สึกถึงแรงอากาศกดดัน บีบอัดจนตนรู้สึกเจ็บหน้า
นางหนักใจเล็กน้อย ดูท่านางต้องเรียนวิชากำลังภายในให้จงได้ ไม่อย่างนั้นยามประมือกับยอดฝีมือ นางประลองได้แค่ความไวกับท่วงท่าเท่านั้น
หวันเหยียนหงมีความสามารถเช่นนี้ ในดวงตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรี่ลงมีประกายความสนใจขึ้นมาหลายส่วน
เขายกมือขึ้น รับคมดาบของหวันเหยียนหง
ดาบของหวันเหยียนหงพุ่งมาอยู่ห่างจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้หนึ่งเมตรก็ไม่อาจรุกคืบเข้ามาอีก ทำให้เขาเลิกคิ้วสูง สีหน้าที่มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดูระมัดระวังขึ้นอีกหลายส่วน
วิจารณ์ว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ”
เห็นได้ชัดว่าหวันเหยียนหงยังไม่ได้ใช้แรงทั้งหมด
ยามนี้ฝ่ามือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเผชิญหน้ากับคมดาบ ขุมพลังระหว่างกลางกดดันไม่ให้ดาบขยับเข้ามาได้อีกสักครึ่งส่วน ภายใต้สายตาเยี่ยเม่ย สถานการณ์นี้ออกจะไม่สมเหตุสมผล
เรื่องนี้ไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลยสักนิด เห็นชัดๆ ว่ากำลังภายในนี้ร้ายกาจกว่าที่ตนเองคิดไว้มาก
เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง ตอบอย่างเนิบๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คิดไม่ถึงหรือ ไม่กล้าคำนึงถึงความเข้มแข็งของผู้อื่น เพียงแค่พิสูจน์ว่า ไร้ความสามารถกับไร้ความรู้เป็นข้อจำกัดทางความคิดของเจ้า”
หวันเหยียนหงหน้าคล้ำ
เสี้ยวเวลานี้สีหน้าเยี่ยเม่ยก็ไม่น่ามองสักเท่าไหร่ เพราะนางคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เรียกว่ากำลังภายในจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ แต่นางสงบใจได้โดยไว นางไม่เข้าใจกำลังภายในจริงๆ ไม่เข้าใจแม้แต่นิด สำหรับด้านกำลังภายในนั้นนางทั้งไร้สามารถทั้งไร้ความรู้
นางเป็นคนยอมรับความจริงมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้โมโห
หวันเหยียนหงกลอกตา ออกแรงอีกครั้ง พุ่งทะลวงไปด้านหน้า
ทว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับไม่ขยับ จ้องหน้าหวันเหยียนหง ถอนใจช้าๆ “ถอยไปเถอะ”
สิ้นเสียง เขารั้งมือกลับ
ในช่วงเวลาที่รั้งมือนั้นเอง ขุมพลังที่อยู่กลางฝ่ามือเปลี่ยนเป็นก้อนพลัง พุ่งเข้าใส่หวันเหยียนหง
บีบให้หวันเหยียนหงร่นถอยไปหลายเมตร เขาดีดตัวขึ้นกลางอากาศกลับไปอยู่บนหลังยอดอาชาของตน มุมปากมีรอยเลือด ส่วนสายตาที่เขามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเปลี่ยนไปเป็นระวังมากขึ้น
หนึ่งกระบวนท่าสิ้นสุดลงแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าครั้งแรกนี้หวันเหยียนหงพ่ายแพ้
หวันเหยียนหงกลับไม่ยอมรับว่าตนพ่ายแพ้เพราะเรื่องนี้ กวาดสายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เสียงเย็นชา “ดูท่าท่านอ๋องอย่างข้าคงต้องเอาจริงแล้ว”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว เอ่ยคล้ายไม่ใส่ใจว่า “ลงมือเถอะ อย่างไรเสียความสามารถที่แท้จริงของเจ้าในสายตาของเยี่ยน ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกสุนัขเพิ่งคลอด ร้องโฮ่งๆ เสียงทั้งเบาและอ่อนแอ ทว่าตนเองหลงคิดว่าสั่นสะเทือนไปทั่วหล้า”
หวันเหยียนหงสีหน้าสับสนวุ่นวาย คนผู้นี้ถึงกับเอาสุนัขมาหยามเขา
ภายใต้ความเดือดดาล ดาบยาวยกขึ้น ไม่สนใจสิ่งใดอีก ใช้กระบวนที่ท่าร้ายกาจที่สุดในชีวิตออกไปในทันที
เวลานี้กระแสพลังนับพันหมื่นเส้นคล้ายคมมีดกระจุกรวมตัวที่ดาบ เขาออกแรงยกดาบขึ้น กลางอากาศปรากฎการรวมตัวของกำลังภายในกลายเป็นดาบคมเล่มยักษ์ใหญ่กว่าดาบในมือเขาหลายร้อยเท่า
กำลังภายในเปลี่ยนรูปเป็นดาบใหญ่ยักษ์ ฟาดลงไปที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างแรง
ในเวลาเดียวกันนั้นหวันเหยียนหงตวาดด้วยโทสะ “หมื่นดาบหนึ่งสะบั้น”
ดาบยักษ์เช่นนี้ฟาดลงมา ลมโหมแรงไปทั่วสารทิศ ฝุ่นดินบนพื้นถูกพัดตลบขึ้นมา เยี่ยเม่ยหรี่ตาลงมองฉากที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างมากในสายตาของนาง คิ้วขมวดสูง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองดาบนี้ ดวงตาลุ่มลึกหรี่ลงเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มน่าชม ใช้มือเดียวทำท่าลัญจกร ลมปราณทั่วสารทิศก่อตัวรวมเช่นกัน จากนั้นเปลี่ยนเป็นแสงสีแดง เอ่ยออกด้วยเสียงน่าฟัง “แก่นมาร—ทลาย”
“ปัง” เสียงดังขึ้น
แสงมารสีแดงปะทะคมดาบ
ดินทรายทั่วทิศระเบิดคลุ้ง เหล่าทหารแถวหน้าไม่น้อยถูกลมปราณกรีด เยี่ยเม่ยกำสายบังเ**ยนแน่น ไม่สั่นสะเทือน แต่เวลานี้นางตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าต้องเรียนกำลังภายในให้ได้ นางคิดว่าไม่ว่าเป็นด้านไหนนางไม่อาจพ่ายแพ้ต่อผู้อื่น
หลังจากพลังธรรมชาติทั้งสองสายปะทะ เกิดเป็นเสียงดัง “ตู้ม”
ฝุ่นดินที่ลอยคลุ้งหายไปสิ้น หวันเหยียนหงตกลงจากหลังม้า กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
“โยว่อี้อ๋อง” ทหารต้ามั่วรีบวิ่งเข้าไปพยุงทันที
หวันเหยียนหงเงยหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เดือดดาลเป็นที่สุด ไร้ความหวาดกลัว
สิ้นกระบวนท่าที่สอง หวันเหยียนหงบาดเจ็บสาหัส ใครต่างก็รู้ว่าหากยังต่อสู้ต่อไป หวันเหยียนหงต้องตายอย่างแน่นอน กระบวนท่าที่สามเกรงว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องแสดงพลังที่แท้จริง หวันเหยียนหงบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจทนรับไหว
ทหารต้ามั่วเริ่มตื่นเต้น มองสายตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยความระวัง
วันนี้เทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งต้ามั่วเยียลี่ว์ซั่นจบชีวิตภายใต้เงื้อมือของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หากวันนี้โย่วอี้อ๋องของพวกเขายังสิ้นชีวิตในมือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีก ขวัญกำลังใจของทหารต้ามั่วจะสั่นคลอนอย่างแน่นอน ทุกคนต่างสะพรึงกลัว
ถึงในใจเหล่าทหารเป่ยเฉินจะหวาดกลัวเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมากเพียงใด ทว่าในเวลานี้หัวใจเต้นตุบตับอย่างดีใจ หากตอนนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอาชีวิตหวันเหยียนหง เช่นนี้ทหารของเป่ยเฉินต้องมีขวัญกำลังใจทวีขึ้นแน่นอน
ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในยามนี้กลับตวัดสายตามองหวันเหยียนหง ถามช้าๆ “หมื่นดาบหนึ่งสะบั้น ราชาดาบเซียวเซ่อหยางมีความสัมพันธ์อันใดกับเจ้า”
หวันเหยียนหงสีหน้าจริงจังขึ้นมา เข้าใจดีว่า “หมื่นดาบหนึ่งสะบั้น” เป็นท่าไม้ตายของราชาดาบ เมื่อคิดถึงวิธีที่ตนเองได้รับกระบวนท่านี้มา เขาไม่กล้าเอ่ยความจริง…
จ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ย “ข้าไม่เคยพบราชาดาบ กระบวนท่านี้ข้าคิดค้นเอง”
เขาเอ่ยเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับหัวเราะแล้ว ถามเขาด้วยเสียงสบายๆ “ท่าไม้ตายของราชาดาบ ไม่มีทางสอนคนนอกง่ายๆ ดังนั้น…เซียวเซ่อหยางถูกเจ้าฆ่าแล้ว? เยี่ยนขอเดาว่าเจ้าลอบทำร้ายสินะ? หรือว่าวางยา? หรือว่าแสร้งทำเป็นน่าสงสาร ให้เขาเห็นใจแล้วค่อยลงมือ”
สีหน้าหวันเหยียนหงในเวลานี้บัดเดี๋ยวขาวบัดเดี๋ยวเขียว
สีหน้าของทุกคนในที่นี้ล้วนเคร่งขรึมลง สายตาคนไม่น้อยมองหวันเหยียนหงล้วนเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างแรงกล้า
แม้กระทั่งทหารต้ามั่วมองหวันเหยียนหงอีกครั้ง สีหน้ายังไม่รู้สึกเคารพเลื่อมใส
คราวนี้เยี่ยเม่ยหันหน้ามองคนข้างๆ ถามอวี้เหว่ยด้วยเสียงเบาว่า “เซียวเซ่อหยางเป็นใครกัน ราชาดาบผู้นี้ร้ายกาจมากนักเหรอ”
อวี้เหว่ยคิดได้ว่าเตี้ยนเซี่ยของตนใส่ใจแม่นางผู้นี้มาก
รีบตอบว่า “ราชาดาบหมายถึงเขาเป็นเจ้าแห่งดาบ ฝีมือของเขาเป็นหนึ่งในใต้หล้า ที่สำคัญที่สุดคือ เขาเป็นคนในยุทธภพแต่มีคุณธรรมสูงส่งมาก จำนวนคนที่เขาช่วยไว้มีนับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์เดินดินก็ไม่เกินไป ราชาดาบทักษิณเซียวเซ่อหยาง กับเทพกระบี่อุดรโอวหยางเทาสองคนนี้เป็นคนที่ได้รับการเคารพมากที่สุดในยุทธภพ คนทั้งสองคบหาเป็นสหายสนิท คนทั่วหล้าต่างเลื่อมใส ส่วนราชาดาบจนบัดนี้หายตัวไปแล้วสามปี ไม่รู้ความเป็นตาย”
เยี่ยเม่ยพยักหน้าด้วยความเข้าใจ มิน่าล่ะ
หวันเหยียนหงมองคนข้างกายตนในเวลานี้ สายตาที่พวกเขามองตนเริ่มไม่ถูกต้อง รีบตวาดว่า “มองอะไรกัน”
เหล่าทหารต้ามั่วรีบก้มหน้าไม่กล้ามองอีก ในใจเกิดความระแวงสงสัยคุณสมบัติของโย่วอี้อ๋อง
หวันเหยียนหงเองก็ไม่คิดว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะร้ายกาจถึงขั้นบีบให้ตนไม่อาจใช้หมื่นดาบหนึ่งสะบั้นยิ่งไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเปิดโปงเรื่องนี้ตรงๆ ทั้งยังเดาได้ว่าตนลอบทำร้ายเซียวเซ่อหยาง ทว่าตนหาได้สังหารเซียวเซ่อหยาง
เขาจ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยด้วยโทสะ “เจ้าอย่าได้โป้ปดมดเท็จ ข้าไม่ได้สังหารเซียวเซ่อหยาง”
สิ้นคำพูดนี้ แววขบขันในดวงตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ่งเข้มมากขึ้น วิเคราะห์ว่า “ที่แท้เจ้าชิงเคล็ดวิชาลับของเขา แล้วปล่อยให้เขาหนีไป ไม่อาจฆ่าคนปิดปากได้?”
ยามนี้หวันเหยียนหงโมโหจนหน้าเขียวคล้ำ “ข้า…”
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ไฉนคนผู้นี้ถึงได้ฉลาดยิ่งนัก อาศัยเพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถวิเคราะห์ออกมาได้มากขนาดนี้
ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยถึงตอนนี้ กลับหมดอารมณ์สังหารคน กล่าวเนิบๆ “วันนี้รู้ความลับนี้แล้ว เยี่ยนอารมณ์ดีมาก ละเว้นชีวิตเจ้า เชื่อว่าหลังจากเรื่องนี้แพร่ออกไป ราชาดาบไม่มาแก้แค้นเจ้า เทพกระบี่ก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้ ใต้หล้านี้ยังมียอดฝีมือไล่สังหารเจ้า รักษาตัวให้ดี อย่าได้ผิดต่อความลำบากที่เยี่ยนปล่อยเจ้าไปในวันนี้”
พูดจบแล้ว องค์ชายสี่หันหน้าไปมองอวี้เหว่ย ถามช้าๆ “จริงสิ ราชาดาบยังมีความสัมพันธ์อันดีกับใครอีก”
อวี้เหว่ยรีบตอบ “ศิษย์น้องของราชาดาบคือจอมยุทธหญิงอันดับหนึ่ง น้องบุญธรรมคือหมอเทวดาซือหม่าหรุ่ย ยังมีคู่หมั้นอีกคนหนึ่งคือซินเยว่เยี่ยน พี่สาวบุญธรรมของกูเยว่อู๋เหิน ซ้ำนางยังเป็นผู้นำหนึ่งในสี่ผู้อาวุโสของหมู่ตึกกูเยว่”
คราวนี้เรียวคิ้วเยี่ยเม่ยกระตุก องค์ชายสี่ผู้นี้ช่วยหวันเหยียนหงกระทุ้งรังผึ้ง[1]หรืออย่างไร
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า กวาดตามองหวันเหยียนหง ยิ้มเอ่ย “ดูท่าชีวิตภายหน้าของโย่วอี้อ๋องช่างมีสีสันยิ่งนัก”
หวันเหยียนหงฟังจนถึงบัดนี้ จิตใจป่นปี้ไป รู้สึกว่าตัวเองแหลกสลาย หลังจากเรื่องนี้เปิดเผยแล้ว เกรงว่าตนคงจบเห่แล้ว ชื่อเสียงย่อยยับไม่ต้องเอ่ยถึง ยังถูกตามฆ่าทุกวัน
เขาถึงกับคิดว่าไม่สู้ให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฆ่าตนให้ตายไปเสียเลย ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า ไฉนคนทั่วหล้าถึงบอกว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นปีศาจที่เชี่ยวชาญการทรมานคน
เขาฝืนลุกขึ้นจากพื้น เดือดดาลจนทนไม่ไหว ชักดาบพุ่งเข้าหา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีกครั้ง “วันนี้ท่านอ๋องอย่างข้าจะสังหารเจ้าให้จงได้”
[1] ก่อเรื่องล่วงเกินคนที่ร้ายกาจ