ตอนที่ 240 ฝ่าบาท พวกเราร่วมมือกันเถอะ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เหยียนหยุน “???” นี่เขาไปแสดงละครแกล้งเป็นแกล้งตายมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ไปข่มขู่ตั้งแต่ตอนไหนกัน? 

 

 

เมื่อครู่นี้เขาตายไปแล้วจริงๆ นะรู้ไหม? 

 

 

หากไม่ใช่เพราะท่านเซียนช่วยเอาไว้ เขาเกรงว่าตอนนี้ตนเองก็คงจะตายจนตัวแข็งไปแล้ว 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยคิดถึงถ้อยคำของจีเฉวียนอย่างละเอียดลออ จากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างจริงจังว่า “ฝ่าบาทพะยะค่ะ สองพี่น้องคู่นี้จิตใจชั่วร้ายสมองก็ร้ายกาจ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าทั้งสองพยายามชักจูงให้สองแคว้นเกิดสงครามขึ้นมา ว่าตามเหตุผล ได้แต่ต้องให้ฮ่องเต้แคว้นเหยียนของพวกเขามาไถ่ตัวคนด้วยตนเองแล้ว ตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างแค่ดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตงอีกแล้วพะยะค่ะ” 

 

 

ตอนนี้ ตู๋กูเจวี๋ยก็ชักจะเข้าใจแล้วที่จีเฉวียนบอกว่าแกะตัวอ้วนพีนั้นหมายความว่าอย่างไร 

 

 

เดิมทีหากว่าสองพี่น้องชายหญิงคู่นี้อยู่อย่างเรียบๆ ร้อยๆ ก็คงจะไม่มีเรื่องอะไรมาก ตอนนี้กลับก่อเรื่องขึ้นมา นี่มิเท่ากับว่ารีบร้อนส่งของขวัญชิ้นใหญ่มาให้พวกเขาอีกหรือ? 

 

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือ รัชทายาทแคว้นเหยียนผู้นี้ถึงกับกล้ากล่าวออกมาอย่างไร้ยางอายว่าเขาต้องการน้องเล็ก? 

 

 

แค่ก แค่ก! 

 

 

เหยียนหยุนแทบจะกระอักเลือดคั่งออกมาแล้วจริงๆ หากมิใช่เพราะในอกของเขายังมีธนูปักอยู่ดอกหนึ่ง เกรงว่าคงจะต้องออกไปลงไม้ลงมือกับตู๋กูเจวี๋ยกันสักรอบแล้ว 

 

 

แคว้นต้าโจวช่างร้ายกาจนัก เบื้องบนมีฮ่องเต้ เบื้องล่างมีเหล่าขุนนาง ทั้งหมดล้วนแต่เป็นปีศาจดูดเลือด หากไม่ได้ถูกสูบเลือดไปครึ่งร่างก็ไม่ยอมเลิกราอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

“เช่นนั้นก็ส่งหนังสือไปถวายฮ่องเต้ต้าเหยียน อธิบายต้นสายปลายเหตุ ทั้งรัชทายาทและองค์หญิง เขายังจะต้องการอยู่อีกหรือไม่ ก็คงจะต้องดูว่าความจริงใจของเขาเป็นเช่นไรแล้ว” 

 

 

ฮ่องเต้ตรัสจบ ก็ไม่คิดจะทรงกล่าวให้มากความอีก ทรงอุ้มตู๋กูซิงหลันก้าวยาวๆ สาวพระบาทจากไป 

 

 

ทิ้งไว้แต่ตู๋กูเจวี๋ย ท่านหัวหน้าราชองครักษ์และพวกราชองครักษ์อีกกลุ่มใหญ่ 

 

 

ยังมีพวกองครักษ์ลับที่จับจ้องอย่างเ**้ยมเกรียมจากด้านนอกอยู่อีกหลายคนด้วยเช่นกัน 

 

 

เหยียนหยุนที่บาดเจ็บอยู่แล้ว ต่อให้คิดจะหลบหนีก็ยังมิกล้าจะคิด 

 

 

……………………….. 

 

 

เพียงแค่ไม่กี่วัน ฮ่องเต้เฒ่าแคว้นเหยียนก็ส่งราชทูตคนสนิทมา นอกจากถวายดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตงแล้ว ยังมีแก้วแหวนเงินทองมากมายอีกหลายคันรถ 

 

 

ตอนนี้เขารู้จักฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว จึงไม่กล้าส่งเหล่าองค์ชายคนไหนมาอีก 

 

 

ไม่งั้นล่ะก็ เสียองค์หญิงและรัชทายาทไปติดๆ กันแล้วยังไม่พอ หากว่ายังส่งคนในราชวงศ์มาอีก เกรงว่าไม่ทันไรมีหวังต้องถูกจีเฉวียนจับขังเอาไว้อีก 

 

 

หากมิใช่ว่าเขาอายุมากแล้ว คงจะต้องเดินทางมาด้วยตนเองเป็นแน่ 

 

 

ฟังว่าแก้วแหวนเงินทองมากมายหลายคันรถนั้น ทั้งหมดถูกฮ่องเต้นำไปเก็บไว้ในตำหนักตี้หัวกง 

 

 

คล้ายว่าคนโปรดคนใหม่ผู้นั้นชอบใจเป็นอย่างยิ่ง? 

 

 

หน้าตาคล้ายคลึงกับไทเฮาก็แล้วไปเถอะ แม้แต่ความชื่นชอบก็ยังเหมือนกันอีก ฝ่าบาทคงจะมีพระทัยให้กับไทเฮาจริงๆ แล้วละมั้ง 

 

 

ก็ไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงผู้นั้นจะรู้สึกเช่นไรบ้าง? 

 

 

ต้นไม้ที่ตนเองปลูกขึ้นมาแท้ๆ กลับถูกตัวตายตัวแทนนำไปใช้เสียเฉยๆ คิดๆ แล้วคงจะเจ็บใจน่าดู 

 

 

แต่ว่าคนที่เจ็บใจมากกว่าก็คงต้องเป็นซูหวงกุ้ยเฟยแล้วล่ะ ตนเองท้องโตเลยเป็นโอกาสให้ผู้อื่นใช้สอย ถึงนางจะหลบองค์หญิงต้าเหยียนพ้นไปคนหนึ่ง แต่ก็หนีไม่พ้นตัวตายตัวแทนของไทเฮาน้อยอยู่ดี 

 

 

งิ้วในวังหลังตอนนี้ ยิ่งทียิ่งสนุกสนานใหญ่แล้ว 

 

 

รัชทายาทแคว้นเหยียนรักษาตัวอยู่ในวังหลวงจนดีขึ้นบ้างแล้ว ปากแผลธนูบนอกดีขึ้นมาก 

 

 

หลายวันนี้เขาจึงคิดถึงท่านเซียนนางกำนัลน้อยผู้นั้นอยู่บ่อยๆ 

 

 

ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ 

 

 

คนโปรดคนใหม่ของจีเฉวียน เขาจะสามารถแย่งชิงมาได้อย่างไร? 

 

 

เขาเคยฉวยจังหวะที่ค่ำมืดลมแรง แอบเข้าไปในตำหนักตี้หัวมารอบหนึ่ง แต่กลับถูกองครักษ์ลับของจีเฉวียนพบตัวเข้า จนถูกโยนออกมานอกวัง 

 

 

ท่านราชทูตแคว้นเหยียนเกรงว่าเรื่องราวจะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลง จึงหอบเอารัชทายาทหลบหนีไปในคืนนั้น 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวเองก็ถูกพวกเขานำตัวออกจากวังไปตั้งแต่แรก ถึงแม้ว่านางจะกระทำเรื่องสังหารญาติพี่น้องใส่ความฮ่องเต้ต้าโจวขึ้นมา แต่ฮ่องเต้เฒ่าแห่งต้าเหยียนก็ยังคำนึงถึงเลือดเนื้อเชื้อไข ไม่อาจทอดทิ้งนางได้ลงคอ 

 

 

ในที่สุดคลื่นลมที่พัดกระหน่ำก็สงบลง 

 

 

แต่ตู๋กูซิงหลันกลับปวดหัวกว่าเดิม 

 

 

นางถูกจีเฉวียนกักตัวอยู่ในตำหนักตี้หัวเสียแล้ว 

 

 

มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าพ่อไก่ขนเหล็กผู้นี้ นำแก้วแหวนเงินทองมากมายมากองต่อหน้านางจนท่วมห้อง 

 

 

จากนั้นก็ทำท่าภาคภูมิประหนึ่งนกยูงอยู่ตรงหน้านาง “หากยอมรับเรา ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของเจ้า” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…….” แม่เจ้า สวยงามเหลือเกิน! 

 

 

“ฝ่าบาท หม่อมฉันเคยบอกพระองค์มาตั้งนานมาแล้ว ว่าหม่อมฉันเป็นถังปุ๋ย! 

 

 

จีเฉวียน “ไม่อยากได้แก้วแหวนเงินทอง จะเอาปุ๋ยคอกรึไง?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันอยากจะด่าบรรพบุรุษของเขาทั้งสิบแปดรุ่น! 

 

 

“ว่าแต่ กรุสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือ ฝ่าบาทไม่สนพระทัยบ้างหรือ?” ตู๋กูซิงหลันหยิบม้านั่งตัวเล็กขึ้นมา นั่งลงไปบนกองภูเขาเงินภูเขาทองกองเล็กๆ กองนั้น “ข้าฟังมาว่า ในนั้นสะสมสมบัติเอาไว้นับไม่ถ้วน ผู้ที่ได้ไปเท่ากับได้ครอบครองแผ่นดินไปครึ่งหนึ่ง ฝ่าบาทไม่ทรงหวั่นไหวบ้างหรือเพคะ?” 

 

 

พอขลุกอยู่ในกองสมบัติ ร่างของตู๋กูซิงหลันก็เหมือนถูกฉาบด้วยประกายแสงเงินแสงทอง 

 

 

ก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้ทรงคิดว่าแสงเงินแสงทองเหล่านั้นคือสิ่งที่งดงามมากที่สุด แต่ว่าตอนนี้ พระองค์ทรงคิดว่าแสงของแก้วแหวนเงินทองที่ฉาบล้อมรอบตัวตู๋กูซิงหลันต่างหาก จึงจะเป็นที่สุดแห่งความงามในโลกหล้า 

 

 

ในตอนนั้นเอง ทรงบังเกิดความคิดที่พลุ่งพล่านขึ้นมาประการหนึ่ง ปรารถนาจะนำสมบัติทั้งหลายทั้งมวลมาวางไว้เบื้องหน้าของนาง ให้นางนั่งอยู่บนนั้น คลี่ยิ้มบางๆ 

 

 

เท่านี้ โลกก็สมบูรณ์พร้อมที่สุดแล้ว 

 

 

คิดแล้ว จีเฉวียนก็ตรัสถามออกมาประโยคหนึ่ง “สมบัติลับของแคว้นเซอปี่ซือ เจ้าชื่นชอบมากหรือ?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนม้านั่งเล็กๆ ในมือมีสายสร้อยไข่มุกทะเลตะวันออกไม่รู้กี่เส้นต่อกี่เส้น ในอ้อมแขนก็ยังมีก้อนทองกองใหญ่กว่าศีรษะตนเอง นางคิดดูอย่างละเอียดลออ “ชอบสิ มีใครไม่รักสมบัติบ้างเล่า” 

 

 

นอกจากสมบัติแล้ว ที่นางต้องการที่สุดก็คือหยกสรรพชีวิต 

 

 

แต่ว่าตอนนี้วันทั้งวันถูกจีเฉวียนกักตัวอยู่ในตำหนักตี้หัวกง รอบด้านก็มีราชองครักษ์ลับคอบจับตาดูอยู่ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ 

 

 

พอนางยื่นเท้าหน้าออกไปเท้าหลังก็ถูกจีเฉวียนจับกลับมาเรียบร้อยแล้ว ต่อให้คิดจะออกไปวิ่งเล่นก็ยังยากเลย 

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มีแต่ต้องลองกระทุ้งจีเฉวียนดูเท่านั้น 

 

 

“ฝ่าบาท พวกเรามาทำข้อตกลงกันเป็นไง?” ตู๋กูซิงหลันกวาดก้อนทองคำอีกกอบใหญ่เข้าไปในอก สองตาจ้องมองจีเฉวียนด้วยประกายวิบๆ วับๆ 

 

 

ยากนักที่จีเฉวียนจะเกิดความสนใจขึ้นมา “เจ้าว่ามา” 

 

 

“พวกเรามาร่วมมือกันเถอะ” ตู๋กูซิงหลันตบหัวเข่า “อย่างไรเสียพวกเราก็คือคนที่รักสมบัติเหมือนกัน ไยไม่กระทำการให้บรรลือโลกสักครั้ง?” 

 

 

จีเฉวียน “เรามิใช่พวกโจร” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันได้แต่กรอกตาขาวไปมา พูดกันตามจริงนะ ที่ผ่านมาสิ่งที่เขามีอันไหนที่ไม่คล้ายพฤติกรรมของมหาโจรบ้าง?” 

 

 

“ฝ่าบาท ท่านจะมองดูผู้อื่นเอากรุสมบัติไปง่ายๆ ส่วนตนเองก็ยืนมองอยู่ด้านข้างเฉยๆ หรือ?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังคงหลอกล่อต่อไป นางสูญเสียชิ้นส่วนของหยกสรรพชีวิตไปแล้ว ย่อมต้องทรมานใจอย่างมาก 

 

 

ฝ่าบาททอดพระเนตรมองดูใบหน้าที่กลมดั่งซาลาเปาของนาง ทรงดำริอยู่เป็นนานค่อยให้คำตอบออกมา “เจ้ากินให้อ้วนขึ้นมาอีกยี่สิบชั่ง เราก็จะพาเจ้าไป” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “???” ขอถามหน่อยเถอะต้องการแบบนี้เพื่อ? 

 

 

นางยิ่งทียิ่งรู้สึกว่าจีเฉวียนต้องการจะเลี้ยงนางให้อ้วนพีแล้วค่อยฆ่ากินทีเดียว 

 

 

พอคิดย้อนกลับไป ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้เห็นท่านราชครูมานานแล้ว 

 

 

ทันใดนั้นนางก็เกิดความคิดที่อุกอาจขึ้นมา สาเหตุที่ท่านราชครูอ้วนมากขนาดนั้น จะต้องเกี่ยวข้องกับจีเฉวียนถึงเก้าในสิบส่วนเป็นแน่ 

 

 

แต่ว่าตอนนี้นางเองก็ถูกเขาขุนจนอ้วนท้วนขึ้นมาเท่าหนึ่งแล้ว 

 

 

น้ำหนักตัวดูท่าทางคงจะเกินร้อยชั่งไปตั้งแรก ใบหน้าตอนนี้กลมดุจซาลาเปา หากยังเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบชั่ง? นางถึงกับไม่กล้าคิดภาพจริงๆ 

 

 

“ไม่เต็มใจหรือ?” ฝ่าบาททรงมองดูนางด้วยรอยยิ้ม “เราจะให้โอกาสเจ้าครั้งเดียว หากไม่เต็มใจเช่นนั้นก็ไม่ต้องไปแล้วละมั้ง?” 

 

 

ตรัสแล้ว เขาก็เริ่มนับถอยหลัง “สาม…สอง….” 

 

 

“กิน กิน กิน! “ตู๋กูซิงหลันรีบพยักหน้าติดๆ กัน “อ้วนก็อ้วนโว้ย ต่อให้อ้วนข้าก็ยังเป็นหญิงงาม อย่างมากก็แค่เป็นแม่นางอ้วนคนงาม ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย” 

 

 

พอคิดถึงหยกสรรพชีวิต นางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว 

 

 

อย่างมากก็แค่ค่อยไปลดความอ้วนทีหลังแล้วกัน 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

คุยกันนิดนึง: ไงล่ะระดับพี่เต้ เล็กๆ ไม่ กินแต่คำใหญ่ๆ เท่านั้นคับ! 

 

 

น้ำหนัก: 1 ชั่ง (斤jin) = 0.5กิโลกรัม 

 

 

พี่เต้ขอให้อา หลันอ้วนขึ้นอีกยี่สิบชั่ง = 10กิโลเบาๆ