ตอนที่ 241 เกศาของฝ่าบาทถูกตะกุย

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“เจ้ายิ่งทียิ่งรู้จักเชื่อฟังแล้ว” ฝ่าบาททรงอารมณ์ดีขึ้นมาก เสด็จมาถึงข้างกายนาง ค่อยลูบศีรษะของนางเบาๆ 

 

 

เขายิ้มกริ่มออกมา ดูไปแล้วทั้งงดงามทั้งคล้ายกับฆาตกรโรคจิตไปพร้อมๆ กัน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถูกเขาลูบจนรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา 

 

 

แคว้นเซอปี่ซือ แค่ฟังชื่อก็ดูเหมือนคุกสักแห่งแล้ว นางไม่ขอไปคนเดียวอย่างแน่นอน 

 

 

หากลากจีเฉวียนไปเป็นตัวช่วย สำหรับนางในตอนนี้นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว 

 

 

“อะแหะแฮ่ม ตู๋กูซิงหลันกระแอมอีกสองครั้ง “ฝ่าบาท มีบางเรื่องที่พวกเราสมควรจะต้องพูดกันก่อนนะเพคะ จะได้ไม่มีปัญหาในการสะสางบัญชีในภายหลัง” 

 

 

เฮอะ! 

 

 

“เผื่อว่าตอนนั้นประสบโชคหรือได้รับทรัพย์อะไรมา จะได้ไม่กระทบถึงความรู้สึกของพวกเรา” 

 

 

“หืม? ความรู้สึกแบบไหนกัน?” ฝ่าบาททรงคว้าประเด็นสำคัญเอาไว้ในทันที 

 

 

ตู๋กูซิงหลันได้แต่กรอกตาขาว นางยังจะมีความรู้สึกกับเขาแบบไหนได้อีก? วันๆ คิดแต่จะก่อกบฎนับไหมเล่า? 

 

 

ไม่รอให้นางได้ทันตอบ ฝ่าบาทก็ตรัสถามขึ้นมาอีกว่า “ความรู้สึกนี้ลึกล้ำหรือไม่ เป็นน้ำบ่อหรือน้ำทะเล?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “……” ขอโทษที ที่นางปากมากไป เป็นความผิดของนางเอง! 

 

 

“แต่ว่าเจ้าล้วนวางใจได้ ความรู้สึกที่เรามีให้เจ้าสามารถเข้าสู่การทดสอบได้ ไม่ว่าสิ่งใดล้วนไม่เป็นผล” 

 

 

ตรัสแล้วจีเฉวียนก็ลูบศีรษะของนางอีกครั้ง ดวงเนตรที่มองมาอย่างอ่อนโยนนั้นราวกับว่ากำลังมองดูเด็กน้อยอยู่ มันอ่อนเชื่อมเสียจนตู๋กูซิงหลันหลบหนีไม่พ้นเลยทีเดียว 

 

 

ว่ากันตามจริงแล้ว หากว่าฝ่าบาททรงมีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบัน รับรองได้ว่าจะต้องได้เป็นประธานาธิบดีอย่างแน่นอน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังคงผูกผมเป็นจุกทั้งสองข้าง พออ้วนก็ยิ่งทำให้ดูเด็กลงกว่าเดิม 

 

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ผู้มากอุบาย ก็ดูคล้ายดั่งเป็นบุตรสาวที่นุ่มนิ่มคนหนึ่ง 

 

 

พระองค์ยื่นพระหัตถ์มาหยิกแก้มซาลาเปาของนาง 

 

 

อืม…..พอมีเนื้อมีหนังสัมผัสแล้วรู้สึกดีจริงๆ 

 

 

………………. 

 

 

แคว้นเซอปี่ซือ ตั้งอยู่ระหว่างบริเวณชายแดนทิศใต้ของต้าโจวที่ติดกับต้าเหยียน 

 

 

พื้นที่แถบนั้นอยู่ใกล้กับแดนหนานเจียง หลายปีก่อนแคว้นเซอปี่ซือได้ล่มสลายลง หลังจากนั้นแคว้นเซอปี่ซือก็กลายเป็นดินแดนต้องห้าม 

 

 

พืชพรรณทั้งหลายล้มตาย สรรพสัตว์ต่างพากันหลบหนี ผืนดินก็เปลี่ยนเป็นผืนทราย ทั่วทั้งวันมีแต่พายุทรายโหมขึ้นฟ้า 

 

 

มีคนมากมายที่เข้าไปตามหาทรัพย์สมบัติ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไปเยอะกลับมาน้อย 

 

 

เหล่าคนที่กลับมาก็มักจะแขนขาดขาด้วน สติสตางค์ไม่สู้ดี ราวกับว่าถูกดูดวิญญาณไป แต่ละคนกลายเป็นบ้าๆ บอๆ ขึ้นมา 

 

 

แต่อย่างไรเสียก็ยังมีคนที่ไม่กลัวตาย เดินทางเข้าไปอย่างต่อเนื่อง 

 

 

และในตอนนี้ ก็ได้ยินข่าวมาว่า แผนที่ซ่อนขุมทรัพย์ของเซอปี่ซือถูกค้นพบแล้ว แม้กระทั่งฮ่องเต้ต้าฉินก็ยังเกิดความสนใจขึ้นมาบ้าง 

 

 

โจว เหยียน ฉิน 

 

 

ในบรรดาสามแคว้นฮ่องเต้แคว้นฉินนับว่าแก่ชันษามากที่สุด ปีนี้ก็มีพระชนมายุเจ็ดสิบสองเข้าไปแล้ว ตลอดพระชนม์ชีพคล้ายดั่งตำนานเรื่องหนึ่ง อายุสิบสองขึ้นครองราชย์ ปราบปรามขุนนางโฉดในแคว้น ต่อต้านอริศัตรูภายนอก ทำให้แคว้นฉินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงแคว้นเล็กๆ ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด 

 

 

ความปรารถนาเดียวในชีวิตของฮ่องเต้แคว้นฉินก็คือรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง กลายเป็นพระจักรพรรดิเพียงหนึ่งเดียว 

 

 

น่าเสียดายที่กาลเวลาไม่เคยละเว้นผู้ใด ผู้กล้าถดถอยธรรมชาติไม่อาจฝืน 

 

 

ดังนั้นฮ่องเต้แคว้นฉินจึงยิ่งฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้ที่ขุมทรัพย์ของแคว้นเซอปี่ซือ 

 

 

ฟังมาว่าในขุมทรัพย์มีโอสถเซียนเม็ดหนึ่งสามารถทำให้คนไม่แก่ไม่ตาย หากได้รับประทานเข้าไปแล้วก็จะมีอายุยืนยาวเสมอฟ้าดิน 

 

 

ฮ่องเต้แคว้นฉินย่อมต้องไม่ยอมปล่อยผ่านไปแน่ 

 

 

…………………………………. 

 

 

ฤดูร้อนแล้ว อากาศในหนานเจียงร้อนอย่างยิ่ง 

 

 

อากาศที่อบอ้าวทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย 

 

 

บนถนนเล็กๆ รถม้าสีดำหลายคันวิ่งกุกกักไปข้างหน้า ทำเอาโคลนกระเซ็นไปตลอดทาง 

 

 

ในอากาศมีกลิ่นของหญ้าและดินโคลนหลังฝนตก พอสูดเข้าไปก็รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ 

 

 

หยวนเฟยนั่งอยู่ในรถม้า นางเปิดผ้าม่านออก เพียงยื่นมือออกไปก็คว้าเอาตะขาบตัวใหญ่ได้จากต้นไม้ที่อยู่ด้านนอก ใส่ลงไปในตระกร้าไม้ไผ่ข้างเอวของนาง 

 

 

ที่น่าแปลกก็คือตะขาบตัวโตนั่นมิได้กัดนาง พอมันดิ้นขลุกขลักอยู่ในตระกร้าไม้ไผ่พักหนึ่ง ก็สงบเสงี่ยมลงอย่างเชื่อฟัง 

 

 

หยวนเฟยถอนหายใจ “ยังคงเป็นบ้านเกิดดีที่สุดแล้ว ตะขาบหนอนหนูงูพิษต่างวิ่งอยู่ไปทั่วพื้น เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์อย่างแท้จริง” 

 

 

“ฝ่าบาทเพคะ ค่ำนี้เสวยตะขาบทอดดีหรือไม่? ตะขาบของพวกเราชาวหนานเจียงแต่ละตัวมีเนื้อมากสดอร่อย รับประกันว่าพระองค์จะต้องทรงพอพระทัยแน่นอนเพคะ” 

 

 

หยวนเฟยเท้าคาง ตะโกนไปยังรถม้าที่อยู่ด้านหน้า 

 

 

ยากนักที่จะได้เดินทางผ่านบ้านเกิด นางย่อมต้องการแสดงน้ำใจไมตรีของท้องถิ่นออกมา 

 

 

ภายในรถม้า ฝ่าบาทกำลังทอดพระเนตรออกไปด้านนอก พอทรงได้ยินเสียงของหยวนเฟย ก็ปิดม่านลงไปในทันที 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา ข้างกายยังมีเจ้าไก่ดำขนฟู 

 

 

เจ้าไก่ขนฟูคอยจับตาดูฮ่องเต้มาตลอดทาง ตอนนี้พอได้ยินคำว่าตะขาบทอด ดวงตาไก่กุ๊กของมันก็เป็นประกายขึ้นมา 

 

 

แล้วมันก็หันไปมองดูตู๋กูซิงหลันที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง 

 

 

อืม ช่วงหลายวันนี้พี่สาวตัวน้อยจะต้องได้กินตะขาบทอดทุกมื้อเป็นแน่ ถึงได้เปลี่ยนเป็นตัวกลมป๊อกเช่นนี้ 

 

 

พอมานั่งข้างๆ กันก็คล้ายดั่งเป็นลูกบอลลูกหนึ่ง 

 

 

รูปทรงเดียวกับหยดน้ำข้างบนเล็กข้างล่างใหญ่ 

 

 

หากมิใช่ว่ามันจดจำกลิ่นไอเฉพาะตัวของพี่สาวตัวน้อยได้อย่างแม่นยำ ถ้าเกิดได้เห็นเพียงแค่รูปร่างละก็ ตีให้ตายมันก็คงจะจำไม่ได้อยู่ดี 

 

 

“กุ๊ก กุ๊ก กรู้” มันกระพือปีก ตบลงไปบนท้องที่เป็นดังลูกหนังของตู๋กูซิงหลันเบาๆ 

 

 

ดูเอวเป็นชั้นๆ นี่สิ ราวกับสามชั้นที่กำลังเต้นระบำอย่างไรอย่างนั้น พี่สาวตัวน้อยไม่ใส่ใจรูปร่างเช่นนี้จะดีจริงหรือ? 

 

 

เจ้าไก่ดำขนฟูคิดย้อนกลับไป แต่ก่อนพี่สาวตัวน้อยผ่ายผอมมากๆ ยากนักที่จะมีเนื้อหนังกะเขาบ้าง เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน 

 

 

อย่างน้อยๆ มีร่างกายเช่นนี้ก็ไม่หนาวตายง่ายๆ 

 

 

คิดแล้วมันก็คลายความกังวลลง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันก้มหน้าลงมามองดูพุงสามชั้นของตนเอง นางคิดถึงช่วงก่อนหน้าที่บำรุงตนเองอย่างบ้าคลั่ง จริงๆ นะ นางรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้ตนเองไม่อยากจะกินเนื้ออีกแล้ว 

 

 

จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูตู๋กูซิงหลัน แล้วก็หันไปมองเจ้าไก่ดำขนฟูอีกครั้ง จะอย่างไรเสียพระองค์ก็ยังทรงรู้สึกว่า หากสามารถตุ๋นเจ้าไก่ตัวนี้ให้นางกินได้จึงจะดีที่สุด 

 

 

“ฝ่าบาท ข้าไม่กินไก่นะ” ตู๋กูซิงหลันอ่านสายตาของเขาออก ก็รีบส่ายศีรษะ “พวกเราออกมาเพื่อตามหาสมบัติกัน อย่าได้มัวแต่คิดเรื่องอาหารการกินมากเกินไป พระองค์ดูสิเพคะ ทุ่งหญ้าเขียวขจีของหนานเจียงช่างงดงามสดชื่นเพียงไร ต่อให้ฉวยดอกอะไรมากินสักดอกหนึ่งก็หวานหอมนะเพคะ” 

 

 

พูดแล้วนางก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นใกล้ๆ มีใบไม้เขียวพุ่มใหญ่ จึงยื่นมือออกไปดึง 

 

 

มือพึ่งจะยื่นออกไป ก็เห็นฝ่าบาทผุดลุกขึ้นมาในทันที ร่างที่สูงใหญ่บดบังนางเอาไว้ กดตัวนางลงไป 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ทันได้เปิดปาก ก็เห็นว่า ใบไม้สีเขียวที่ด้านหลังของจีเฉวียนกลุ่มนั้น ไม่รู้ว่ากลายเป็นมือสีเขียวข้างหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ มือนั้นเหวี่ยงเข้ามาคว้าเส้นเกศาของจีเฉวียนไว้ได้พอดี 

 

 

พอมันออกแรงกระตุกก็หลุดติดไปกำหนึ่ง 

 

 

รถม้าเคลื่อนห่างออกไป จึงได้เห็นว่ามือสีเขียวข้างนั้นเอาเส้นผมของเขายัดใส่ดอกไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ในร่างของมัน 

 

 

ดอกไม้นั่นขบเคี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่าเส้นผมพวกนั้นไม่อาจเคี้ยวแหลกได้จึงส่งเสียงประหลาดพลางขากถุยออกมา 

 

 

ม้าที่ลากรถอยู่ได้รับความตื่นตระหนก จึงควบตะกุยอย่างคลุ้มคลั่ง ทำเอาหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีและหนึ่งไก่ในรถม้าแทบม้วนรวมเป็นก้อนเดียว 

 

 

ฝ่าบาทสายพระเนตรไวพระหัตถ์ก็คล่องแคล่ว พอขยับยกก็เตะเจ้าไก่ดำขนฟูออกนอกรถม้าไปทันที พระองค์เองก็กอดตู๋กูซิงหลันที่อ้วนกลมเอาไว้อย่างแนบแน่น 

 

 

“ป่าของหนานเจียงอุดมไปด้วยสิ่งประหลาดมากมาย อย่าได้หยิบจับวุ่นวาย” พระองค์ทางหนึ่งกอดเจ้าอ้วนน้อยเอาไว้ ทางหนึ่งก็ตรัสว่า “ต้องการอะไร เราจะเด็ดให้เจ้าเอง” 

 

 

ว่าแล้วก็ไม่ลืมจะแทงใส่หัวใจของตู๋กูซิงหลันไปดาบหนึ่งว่า “เจ้าอวบอ้วนขาวนุ่ม พวกมันได้กินแล้วเป็นต้องติดใจ ไล่ตามมาไม่เลิกเป็นแน่”