ตอนที่ 167-2 เด็กที่รู้จักร้องไห้มีลูกอมให้กิน

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ท่านเสิ่นโหวเห็นหลานชายคนโตของเขากลับมาอย่างปลอดภัยก็วางใจลง ท่าทางถอนหายใจเฮือกใหญ่เช่นนั้นทำให้เสิ่นเวยแสยะปาก “ท่านปู่ ท่านลำเอียงเกินไปแล้ว มีแต่พี่ใหญ่เป็นหลานชายของท่าน ส่วนข้าก็เก็บมาเลี้ยงใช่หรือไม่ เหอะ” นางโยนดาบไปในมือให้เถาฮวา นั่งลงบนเก้าอี้แล้วบันดาลโทสะ “ข้ารึอุตส่าห์เป็นห่วงวิ่งออกไปช่วยเช่นนี้ แต่ในสายตาท่านปู่กลับมีแต่หลานชายคนโต เหอะๆๆๆ” เสียงที่แค่นออกมาสี่ครั้งถูกแค่นออกมาด้วยน้ำเสียงที่ต่างกัน 

 

 

เถาฮวาที่ไม่มีโอกาสได้ฆ่าศัตรูกำลังอัดอั้นไม่พอใจ เห็นคุณหนูส่งดาบหมื่นโลหิตมาให้นาง ดวงตาก็เป็นประกายทันที กอดดาบหมื่นโลหิตวิ่งไปฟันต้นไม้ฟันเสาในสนามฝึกอย่างว่องไวแล้ว 

 

 

นางจับจ้องดาบโลหิตของคุณหนูมานานแล้ว มักจะรู้สึกดูดีกว่ากระบองเหล็กของนางมาก ตอนนี้อยู่ในมือนางแล้ว จะไม่ดีใจได้อย่างไร 

 

 

เสิ่นเชียนที่เดิมยังรู้สึกผิดอยู่ รวมถึงท่านปู่ของพวกเขาต่างก็อารมณ์ดีแล้ว เด็กปีศาจคนนี้แม้หงุดหงิดแต่ก็ยังมีเหตุผลเช่นนี้ ดูท่าทางเหลวไหลนั่น ไหนเลยจะเหมือนบุตรสาวในตระกูลใหญ่ เหมาะจะเป็นอันธพาลน้อยในตลาดเสียมากกว่า 

 

 

“เจ้าสี่อย่าโมโหไป นี่เป็นครั้งแรกที่พี่สังหารศัตรูมิใช่หรือ เจ้าเก่งเพียงนั้น ไหนเลยจะต้องให้ท่านปู่เป็นห่วง” เสิ่นเชียนเป็นพี่ชายแสนดีจึงเอ่ยปลอบเสิ่นเวยอย่างอ่อนโยน “ใช่หรือไม่ท่านปู่ ครั้งนี้โชคดีที่ได้น้องสี่ มิเช่นนั้นหลานก็คงจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาแล้ว” 

 

 

“อะไรนะ” ท่านเสิ่นโหวตกใจ ไต่ถามสถานการณ์หลานชายทันที 

 

 

เสิ่นเชียนเล่าเรื่องที่ตนถูกคนยิงธนู เกือบจะไม่รอดชีวิต แต่เสิ่นเวยยิงธนูจากข้างหลังช่วยชีวิตเขาไว้ได้ให้ท่านปู่ฟังหนึ่งรอบ 

 

 

ท่านเสิ่นโหวฟังแล้วก็หวาดกลัวอยู่พักหนึ่ง เจ้าสี่เป็นผู้ช่วยชีวิต สายตาที่เขามองเสิ่นเวยก็ยิ่งอ่อนโยน 

 

 

ทว่าสายตาเสิ่นเวยกลับดูถูก หันหน้าหนี 

 

 

เมื่อดวงตาเล็กๆ นั้นกลอกกลิ้งไปมา เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงก็กลั้นหัวเราะสุดชีวิต ธาตุแท้ของน้องสี่ที่เพียบพร้อมใจกว้างเช่นนั้นในจวนเป็นเช่นนี้หรอกหรือ ช่างน่ารักอะไรเช่นนี้ 

 

 

ท่านเสิ่นโหวเองก็กลั้นขำ เขารู้ว่านิสัยใจแคบของเด็กคนนี้กำเริบอีกแล้ว ก็แค่ไม่ได้เป็นห่วงเจ้าเพียงแค่ชั่วขณะมิใช่หรือ เจ้าแข็งกล้าราวกับราชสีห์ ยังต้องให้คนเป็นห่วงอีกหรือ 

 

 

แต่ว่าคำนี้ท่านเสิ่นโหวเองก็ทำได้เพียงคิดในใจ เขาไม่กล้าพูดออกไป หากยั่วยุเด็กคนนี้จนโมโหไม่ยอมทำการทำงานขึ้นมาเขาจะทำอย่างไร 

 

 

“เอาล่ะๆๆ เป็นความผิดของปู่พอใจหรือยัง เจ้าไปเอานิสัยอารมณ์ร้อนเช่นนี้มาจากไหนกัน” ท่านเสิ่นโหวพูดจาดีๆ โน้มน้าว เห็นนางไม่สะทกสะท้านจึงกล่าว “ในคลังของปู่ยังเก็บดาบดีไว้หลายเล่ม เจ้าไปเลือกสักเล่มดีหรือไม่” ท่านเสิ่นโหวรู้วิธีปลอบหลานสาวเป็นอย่างดี 

 

 

“สองเล่ม” เสิ่นเวยตาลุกวาว เริ่มต่อรอง คิดจะซื้อนางด้วยดาบหนึ่งเล่ม ไหนเลยจะมีเรื่องที่เสียเปรียบเช่นนนี้ 

 

 

“เจ้าชอบเสนอเงื่อนไขสูงนัก ทั้งชีวิตนี้ของปู่เจ้าเก็บดาบล้ำค่าไว้สี่เล่ม เจ้าเอ่ยปากจะเอาครึ่งหนึ่ง ไม่ได้ เล่มเดียวพอ” ท่านเสิ่นโหวถลึงตายิ้มพลางด่า 

 

 

“โธ่เอ๊ย ท่านปู่ เหตุใดท่านถึงใจแคบเพียงนี้ ดาบหนึ่งเล่มท่านก็มอบให้ไม่ได้หรือ ข้าทั้งเสียเลือดเสียเหงื่อ ท่านให้ดาบพังๆ ข้าหนึ่งเล่มได้หรือ ฝั่งข้าคนเยอะขนาดนั้น แบ่งพอที่ไหนเล่า อย่างน้อยก็สองเล่มเถอะ มิเช่นนั้นท่านก็ให้ข้าหมดเลยก็ได้ ท่านวางไว้ในคลังก็ขึ้นสนิมเปล่าๆ” เสิ่นเวยตะโกนคอแข็ง ด้านการต่อรองเป็นจุดแข็งของนาง ยังไม่มีอะไรที่นางนำกลับมาไม่ได้ 

 

 

คุณชายใหญ่สวีทะนงตนยิ่งนัก แต่ทรัพย์สินส่วนตัวก็ถูกนางกุมไว้ในมือแล้วมิใช่หรือ แม้ต้องกลับเมืองหลวงก่อนแล้วค่อยทำตามสัญญา แต่ตอนนี้ในมือนางก็กุมตราประทับเล็กของเขาอยู่ ได้ทรัพย์สินส่วนตัวมาแล้วจึงจะคืนตราประทับเล็ก 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็ไม่ได้พูดเท็จ นางมีผู้ใต้บังคับบัญชาหนึ่งกลุ่มใหญ่ โอวหยางไน่ จางสง เฉียนเป้า หู่โถว ยังมีเหยาทงกัวซวี่และคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ตามอีกด้วย เพียงแค่คนที่นางเอ่ยชื่อนี้ก็มีเกือบสิบคนแล้ว ดาบสองเล่มจะแบ่งพอได้อย่างไร 

 

 

“เจ้า เจ้าเป็นโจรหรือไร” ท่านเสิ่นโหวชี้เสิ่นเวยแต่พูดไม่ออก มีคนที่เถียงคำไม่ตกฟากเช่นนี้ด้วยหรือ แล้วเสียเลือดเสียเหงื่ออะไร ผู้เฒ่าเช่นเขาเห็นนานแล้วว่า เนื้อหนังบนร่างหลานสาวของเขาไม่มีบาดแผลแม้แต่นิดเดียว กลับเป็นหลานชายคนโตของเขา เสื้อคลุมถูกผ่าเป็นแนวยาว ไม่รู้เหมือนกันว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ 

 

 

“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่สน ท่านจะให้ข้าทั้งหมด หรือท่านจะให้ข้าสองเล่ม” เสิ่นเวยกระดิกขาทำท่าทางอันธพาล 

 

 

เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงมองจนดวงตาจะหลุดออกมาแล้ว น้องสี่ของเขาพูดจากับท่านปู่เช่นนี้หรือ ท่านปู่ก็ยัง อืม อัธยาศัยดี? เสิ่นเชียนคิดอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะคิดคำที่ค่อนข้างเหมาะสมเช่นนี้ออก 

 

 

เลื่อมใสจริงๆ อิจฉาจริงๆ เสิ่นเชียนศรัทธาน้องสี่ผู้นี้ของเขาอยู่ในเบื้องลึกของจิตใจ 

 

 

เห็นท่าทางตะลึงงันเช่นนั้นของพี่ใหญ่และญาติผู้พี่ เสิ่นเวยก็เลิกคิ้วอย่างเข้าใจ กับท่านปู่ของตนมีอะไรให้ต้องวางกิริยาดีงาม แน่นอนว่ามีอะไรก็พูดสิ่งนั้น อยากได้อะไรก็ต่อรองสิ่งนั้น หนึ่งร้องไห้สองก่อกวนสามผูกคอตาย งอแงทำตัวไร้เหตุผล วิธีไหนดีก็ใช้วิธีนั้น 

 

 

ท้ายที่สุดก็ถูกเสิ่นเวยก็ต่อรองจนได้ดาบล้ำค่าสองเล่มมา อีกสองเล่มที่เหลือก็ปกป้องไว้ไม่ได้ เล่มหนึ่งให้เสิ่นเชียน อีกเล่มหนึ่งให้หร่วนเหิง ผู้รู้เห็นเป็นพยานมีส่วนแบ่ง 

 

 

อันที่จริงเสิ่นเวยไม่ได้คิดคำนวณไว้จริงๆ แต่นิสัยของคนเห็นแก่ตัว นางกังวลว่านางมอบให้ตลอดจะถูกคนไม่เห็นคุณค่าเอาได้ เจ้าทำดี นั่นก็ถูกต้องแล้ว ไม่มีคำชม ไม่มีรางวัล 

 

 

แต่นางไม่ใช่ ข้าทำดี มีคุณูปการ ข้าก็จะตะโกนออกมา ข้าได้รับความไม่เป็นธรรม ข้ามอบอะไรให้ ข้าก็จะตะโกนออกมา ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเมินข้า เด็กที่รู้จักร้องไห้จึงจะมีลูกอมให้กิน 

 

 

เสิ่นเวยเอาดาบล้ำค่าสองเล่มมาเล่นหนึ่งรอบ รู้สึกว่าสู้ดาบหมื่นโลหิตของนางไม่ได้ นึกถึงดาบหมื่นโลหิตก็พบว่าเถาฮวาเด็กคนนั้นไม่อยู่แล้ว เมื่อมองหา หึ ก็เจอนางกำลังฟันไม้ฟันเสาด้วยความสนุกสนานอยู่ 

 

 

ใช้ของต้องใช้ให้เต็มความสามารถ ดาบสองเล่มนี้จะให้ใครดี แม้ว่าโอวหยางไน่และคนอื่นๆ จะมีอาวุธหมดแล้ว แต่ใครจะไม่ชอบที่ได้มีอาวุธเยอะๆ คิดอยู่ครู่ใหญ่เสิ่นเวยก็คิดไม่ออกว่าจะให้ใคร จึงเรียกคนทั้งหมดมาให้โอวาทเสียเลย 

 

 

อันดับแรกนางแสดงความแหลมคมของดาบล้ำค่าสองเล่มนี้รอบหนึ่งก่อน หลังจากนั้นก็ประกาศ ‘ของน้อยไม่พอแบ่งจะทำอย่างไร เช่นนั้นก็ดูว่าใครฆ่าศัตรูได้มากกว่ากัน ใครสร้างคุณงามความดีมาก ใครมีคุณูปการสูง เช่นนั้นก็มอบรางวัลให้ผู้นั้น’ 

 

 

ตอนนี้เสิ่นเวยไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยละอันตรายของเมืองชายแดนแล้ว มีของเตรียมรบเพียงพอ ตามการคุ้มกันเมือง กองทัพใหญ่ซีเหลียงบุกโจมตีไม่ได้ในชั่วขณะ ตอนนี้เมืองชายแดนมีทุนพอที่จะบดขยี้ซีเหลียงได้ช้าๆ แล้ว 

 

 

แต่กองทัพใหญ่ซีเหลียงไม่ได้ เดิมซีเหลียงโจมตีชายแดนก็เพื่อแย่งเสบียงอาหาร ให้เขามาใช้ชีวิตอยู่ในที่ราบตอนกลางจริงๆ พวกเขาก็คงจะไม่คุ้นชิน ตอนนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว โจมตีเมืองชายแดนไม่ได้เสียที เช่นนั้นกองทัพซีเหลียงที่ยิ่งใหญ่จะกินอะไรเล่า 

 

 

ดังนั้นสงครามครั้งนี้ ซีเหลียงจึงร้อนใจยิ่งกว่าต้ายง 

 

 

ช่วงนี้ เสิ่นเวยเสนอความเห็นกับท่านปู่นางอีก ให้พี่ใหญ่ของนางพาคนออกจากเมืองไปรบแบบกองโจรกับญาติผู้พี่ ตีได้ก็ตี ตีไม่ได้ก็หนี หนึ่งเพื่อฝึกฝนคน สองเพื่อตัดกำลังทหารซีเหลียง 

 

 

“เหตุใดเจ้าถึงไม่ไป” ปฏิเสธไม่ได้ว่าความคิดนี้ทำให้ท่านเสิ่นโหวตาลุกวาว ทันใดนั้นก็คิดได้ว่าเด็กคนนี้อาจจะมีอุบายอะไรอีกจึงถามอย่างไม่วางใจ 

 

 

แววตาของเสิ่นเวยเหยียดหยาม ชี้จมูกตัวเองแล้วกล่าว “ข้ายังต้องฝึกอีกหรือ ข้าหวังดีกับพี่ใหญ่ทั้งนั้น ไม่ฆ่าทหารซีเหลียงให้เยอะขึ้น ไม่เห็นเลือดให้เยอะขึ้น เมื่อศึกใหญ่มาถึงจริงๆ แล้วท่านจะวางใจได้หรือ” ถึงตอนนั้นไม่ใช่ว่าต้องมาทุกข์ใจกับนางหรือไร 

 

 

ญาติผู้พี่ ลูกชายคนเดียวของตระกูลฝั่งมารดานาง นางจะมองดูเขาตายในสนามรบเฉยๆ ได้อย่างไร พี่ใหญ่ ก็ยิ่งตายไม่ได้ ในรุ่นของพวกเขาก็มีพี่ใหญ่ที่ยังพอใช้ได้ ก่อนที่น้องชายของนางจะโตก็ต้องมีคนดูแลมิใช่หรือ 

 

 

ฉวยโอกาสตอนที่ศึกใหญ่ยังไม่เริ่มโยนสองคนนี้ไปเห็นเลือดหน่อยดีกว่า อย่างไรเสียก็มีทหารลับตามไปไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก 

 

 

เฮ้อ นางมีชีวิตที่เป็นทุกข์แต่กำเนิดสินะ 

 

 

สำหรับนาง เหอะ ฤดูหนาว หนาวเพียงนี้ นางไม่ออกไปหาความลำบากหรอก ต้องจำศีล จำศีลอยู่ในห้องจึงจะถูก เสิ่นเวยไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน แต่นางกลัวหนาว โดยเฉพาะฤดูหนาวที่ซีเจียง ความหนาวที่สายลมพัดผ่านหน้าราวกับมีดกรีด ความหนาวเย็นนั้นเหมือนสามารถทะลุเข้าไปในกระดูกได้ 

 

 

เสิ่นเวยห่อตัวเองเป็นก้อนกลมก็ยังรู้สึกหนาว อยากจะอยู่บนเตียงเตาตลอดเวลา 

 

 

สวีโย่วเข้ามาเห็นท่าทางหดหน้าหดศีรษะของเสิ่นเวยก็รู้สึกขำ ฤดูหนาวที่ซีเจียงหนาวอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ได้หนาวขนาดนี้มิใช่หรือ 

 

 

เสิ่นเวยเห็นสวีโย่วเข้ามากลับหงุดหงิด “ท่านมาทำไม” ตอนนี้นางไม่อยากต้อนรับเขาแม้แต่นิดเดียว ขายหน้าจริงๆ เลย 

 

 

นึกถึงเรื่องน่าอับอายเรื่องนั้นที่นางทำต่อหน้าสวีโย่วแล้ว เสิ่นเวยก็อยากจะขุดหลุมฝังตัวเองอย่างยิ่ง ขายหน้า ขายหน้าเกินไปแล้วจริงๆ ภาพลักษณ์ที่ดีงามของนางพังทลายหมดแล้ว 

 

 

ต้องโทษสวีโย่วเจ้าโรคจิตผู้นี้คนเดียวเลย เสิ่นเวยแค้นจนกัดฟันกรอด ไหนเลยจะเหลือหน้าให้สวีโย่วมองได้อีก นางไม่อยากให้เขาปรากฏตัวออกมาอีกตลอดกาล จะได้ไม่ต้องทำให้นางนึกถึงเรื่องน่าอับอายอีก 

 

 

เหอะ ต่อให้หน้าตาดีกว่านี้ข้าก็ไม่อยากมองแล้ว