ตอนที่ 168-1 ฉาฮวา

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็ยังขายหน้าเกินไปจริงๆ แม้เสิ่นเวยจะเป็นหญิงที่ถึงวัยปักปิ่นแล้ว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนยังเล็กร่างกายนี้ทรุดโทรดมากเกินไปหรืออย่างไร ถึงกระนั้นก็ไม่เคยมีระดูมาก่อน 

 

 

นอกจากแม่นมกู้จะเคยพร่ำถึงสองรอบแล้ว เสิ่นเวยก็ไม่เคยสนใจ ยุคปัจจุบันเด็กผู้หญิงจำนวนมากเพิ่งจะมีประจำเดือนครั้งแรกหลังอายุสิบห้า นางคิดว่า ไม่มีสิ่งนั้นก็ยังดีหน่อย ลดปัญหาไปได้ไม่น้อย 

 

 

แต่ใครจะคิดได้ว่าประจำเดือนครั้งแรกของเสิ่นเวยจะมากะทันหันเช่นนั้น รุนแรงเช่นนั้น ไม่ถูกเวลาเช่นนั้น นางกำลังศึกษาแผนที่ภูมิประเทศอยู่ จู่ๆ ก็รู้สึกปวดท้องน้อย ร่างกายช่วงล่างมีอะไรบางอย่างกระหน่ำออกมา ความเจ็บปวดที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนั้นทำให้นางฟุบลงบนโต๊ะทันที เสิ่นเวยกล่าวในใจว่าแย่แล้ว 

 

 

สวีโย่วเห็นแล้วย่อมต้องตกใจ “น้องสี่ น้องสี่เสิ่น เจ้าเป็นอะไรไป” เขาจับไหล่ของเสิ่นเวยแล้วถามอาการ 

 

 

เสิ่นเวยรู้ว่าตนมีระดูแล้ว แต่นางคิดไม่ถึงว่ามีระดูแล้วจะปวดเช่นนี้ ยุคปัจจุบันนางยังไม่เคยปวดมาก่อน คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับสภาพความแข็งแรงของร่างกายนี้ด้วย 

 

 

“ไม่…ไม่เป็นไร” เสิ่นเวยทนความปวดแล้วกล่าว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังเป็นสตรี จะบอกเรื่องระดูกับบุรุษโดยไม่กระดากได้อย่างไร 

 

 

สวีโย่วไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว เห็นใบหน้าเล็กๆ นี้ขาวซีด บนศีรษะก็มีเม็ดเหงื่อ เห็นนางฟุบอยู่บนโต๊ะไม่ลุกขึ้นมา จะต้องเจ็บมากแน่นอน 

 

 

“เจียงไป๋ ไปตามหมอมาเร็ว” สวีโย่วอ้าปากสั่ง “ใช่ครั้งก่อนได้รับบาดเจ็บหรือไม่ น้องสี่เสิ่นเจ้ารีบบอกข้ามา รีบบอกมาเร็ว” เขากำลังจะเข้าไปอุ้มเสิ่นเวยขึ้นมา 

 

 

“ท่าน อย่าแตะตัวข้า” เสิ่นเวยดิ้นพล่านไม่ให้สวีโย่วอุ้มนาง พอเห็นท่าทางร้อนใจของเขาก็อดทนต่อความเจ็บปวดแล้วกล่าว “ข้าไม่เป็นไรจริงๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้น” อันที่จริงนางอยากบอกว่าไม่ต้องเรียกหมอ แต่เจียงไป๋ว่องไวอย่างยิ่ง นางไม่ทันได้เอ่ยปากเขาก็วิ่งออกไปแล้ว 

 

 

เจ็บขนาดนี้แล้วยังไม่เป็นไรงั้นหรือ สวีโย่วเชื่อก็บ้าแล้ว “เจ็บตรงไหน ให้ข้าดูหน่อย” 

 

 

เสิ่นเวยออกแรงตบมือของสวีโย่วออกไป โมโหเพราะอับอายขึ้นมา เหตุใดคนผู้นี้ถึงฟังไม่รู้เรื่อง บอกเจ้าแล้วว่าไม่เป็นไรไม่ใช่หรือ เจ้าจะมองอะไรอีก ต่อให้ข้าใส่ชุดบุรุษแต่ข้าก็ยังเป็นสตรีนะ เสิ่นเวยอยากจะเตะชายหนุ่มที่สร้างความวุ่นวายผู้นี้ออกไปข้างๆ เจ้าไปยกชาร้อนมาให้ข้าสักถ้วยยังจะดีเสียกว่า ตาไม่มีแววจริงๆ 

 

 

“ออกไป ออกไป บอกให้ท่านออกไปท่านไม่ได้ยินหรือ!” เสิ่นเวยโมโหแล้ว 

 

 

สวีโย่วยังคิดว่าเสิ่นเวยถูกความเจ็บปวดก่อกวนก็ยิ่งสงสาร “เด็กดี ให้ข้าดูหน่อย อีกประเดี๋ยวหมอก็มาแล้ว อดทนอีกสักนิดเถอะ” 

 

 

ให้เขาดูอะไร? มุมปากของเสิ่นเวยกระตุก คิดภาพว่าอีกประเดี๋ยวหมอมาแล้วก็ต้องขายหน้าอยู่ดี จึงกัดฟันกรอดอย่างอดไม่ได้ สูดหายใจหนึ่งคราอย่างแรงกล่าว “ท่านอยากรู้จริงๆ ใช่หรือไม่ มานี่ ข้าจะบอกท่านให้” เสิ่นเวยกระดิกนิ้วเรียกสวีโย่ว 

 

 

สวีโย่วพยักหน้าอย่างงุนงง เห็นเสิ่นเวยเข้ามาใกล้หน้าเขา มองตรงเข้าไปในดวงตาเขาแล้วกล่าว “ข้ามีระดู รู้จักระดูหรือไม่ ก็คือสิ่งๆ นั้นที่มาทุกเดือนของสตรีอย่างไรเล่า” อย่างไรเสียก็ต้องขายหน้า ช้าเร็วจะต่างอะไร 

 

 

เห็นสวีโย่วตกตะลึงก่อน หลังจากนั้นใบหน้าที่ขาวราวกับหยกก็แดงขึ้น เขาหันหน้าหนีไปกระแอมเบาๆ อย่างทำตัวไม่ถูก “เช่นนั้น เช่นนั้นต้องการอะไร” 

 

 

ในตำราแพทย์ก็เคยเอ่ยถึงระดูของสตรี สวีโย่วย่อมรู้จัก แต่เขาก็ยังคิดไม่ถึงจริงๆ เด็กน้อยก็อายุสิบห้าแล้ว เขาไม่คิดว่านางจะยังไม่เคยมีระดูมาก่อน นึกถึงท่าทางโง่เขลาของตนเมื่อครู่ สีหน้าของสวีโย่วก็ร้อนขึ้นสามส่วน แต่หลังจากนั้นเขาก็ดีใจ มีระดูแล้วก็หมายความว่าสตรีโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถแต่งงานเข้าเรือนหอได้แล้ว 

 

 

เสิ่นเวยมองท่าทางอึดอัดของสวีโย่ว ในใจก็แอบดีใจ ให้เจ้าถาม เจ้าถามาสิ เห็นหรือยังว่าเจ้าถามมั่วซั่วเอง 

 

 

“เอาชาร้อนมาให้ข้าหนึ่งถ้วย เรียกแม่นมมาให้ข้า แล้วก็…” เสิ่นเวยพูดหนึ่งประโยคก็พลันหยุด นางยังไม่เคยปวดประจำเดือนมาก่อนจริงๆ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจริงๆ “เปลี่ยนชุดก่อน รอหมอมาแล้วค่อยดูว่าเขาว่าอย่างไร” เรื่องโง่ๆ เช่นการปกปิดอาการป่วยเพราะกลัวการรักษานี้เสิ่นเวยไม่ทำหรอก 

 

 

หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้วและดื่มน้ำขิงผสมน้ำตาลแดงที่หมอนำมาให้แล้ว เสิ่นเวยก็รู้สึกสบายขึ้นมาก หมอบอกว่า ตอนเด็กร่างกายของนางอ่อนแออย่างมาก ภายในร่างกายมีความร้อนสูง ต้องพักฟื้นให้ดี มิเช่นนั้นทุกเดือนจะต้องทรมาน 

 

 

ส่วนเสิ่นเวยเด็กน้อยแข็งแรงผู้นี้ที่กลายเป็นเด็กเล็กอ่อนแอในชั่วพริบตา นางถูกแม่นมชรากดลงบนเตียงไม่ให้ลุกไปไหน แม่นมชรายังถอนหายใจกล่าว “ท่านโหวนี่ก็จริงๆ เชียว เป็นสตรีอยู่ดีๆ เหตุใดถึงใช้ราวกับเป็นเด็กผู้ชายไปได้” นี่คือแม่นมชราที่ปรนนิบัติท่านเสิ่นโหวอยู่ที่เมืองชายแดนมาหลายปีแล้วจึงพูดจาเช่นนี้ได้ 

 

 

เสิ่นเวยรู้สึกว่าตัวเองเสียหน้าต่อหน้าสวีโย่ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมเจอเขา บนใบหน้าของสวีโย่วเองก็อึดอัดอยู่หลายส่วนจึงตามใจนาง อยากรอให้เด็กน้อยอารมณ์ดีก่อนแล้วค่อยมาใหม่ 

 

 

แต่หลายวันติดกันเด็กน้อยก็ยังไม่ยอมพบหน้าเขา เขาจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร 

 

 

“เหอะ” เสิ่นเวยหันหน้าหนีไปอีกฝั่ง แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่อยากเจอ 

 

 

สวีโย่วยิ้ม วางจดหมายในมือลงบนโต๊ะตัวเล็กข้างหน้านาง “เจ้าอยากรู้ข่าวของซีเหลียงมิใช่หรือ อยู่ในนี้หมดแล้ว” 

 

 

ศีรษะของเสิ่นเวยหันกลับมา มองสวีโย่วอย่างหวาดระแวง เจ้านี่รู้ได้อย่างไรว่านางอยากรู้ข่าวของซีเหลียง จากนั้นจึงมองจดหมายบนโต๊ะ ท่าทางสนใจอย่างยิ่ง 

 

 

สวีโย่วพยักพเยิดเบาๆ “อ่านดูเถอะ” เดิมเพียงแค่สืบหาไปเรื่อยๆ ไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้กลับสามารถทำคะแนนกับเด็กน้อยได้ 

 

 

เสิ่นเวยหยิบจดหมายขึ้นมาอย่างไม่รีรอ ดึงกระดาษหลายแผ่นข้างในออกมา นางอ่านเร็วอย่างยิ่ง ช่วงเวลาหนึ่งถ้วยชาก็อ่านเสร็จหมดแล้ว หลังจากนั้นแววตาที่มองสวีโย่วก็ประหลาดใจขึ้นมา “ดูไม่ออกว่าท่านมีฝีมือใช้ได้” 

 

 

เสิ่นเวยคิดมาตลอดว่าสวีโย่วมีฝีมือ ไม่ใช่คุณชายอ่อนแออย่างที่เห็นภายนอก มิเช่นนั้นจะจัดการมือสังหารและยอดฝีมือเหล่านั้นข้างกายเขาได้อย่างไร แต่เสิ่นเวยก็คิดไม่ถึงว่าสวีโย่วจะสืบสถานการณ์ภายในแคว้นซีเหลียงได้ชัดเจนเพียงนั้น แม้แต่การต่อสู้ต่อหน้าและลับหลังขององค์ชายหลายองค์ยังรู้ดี 

 

 

ไม่ธรรมดา ว่าที่สามีผู้นี้ของนางเป็นคนไม่ธรรมดา 

 

 

“ข้าก็มีฝีมือใช้ได้มาโดยตลอดมิใช่หรือ” สวีโย่วกล่าวอย่างแฝงความนัย 

 

 

ดวงตาของเสิ่นเวยกะพริบวาบ แววตาเผยความหยอกล้อ “ใช่แล้ว” แววตานั้นจ้องมองจนสวีโย่วลนลานเล็กน้อย โชคดีที่เพียงแค่ชั่วขณะเสิ่นเวยก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เช่นนี้อีกไม่ช้าซีเจียงก็ต้องเจอสงครามครั้งใหญ่แล้วใช่หรือไม่” 

 

 

สวีโย่วพยักหน้า “จะพูดเช่นนี้ก็ได้ องค์ชายรองของซีเหลียงจับจ้องอำนาจทหารมานานแล้ว ตอนนี้ได้สมดังใจหวัง เกรงว่าเขาจะร้อนใจอยากสร้างคุณูปการน่ะสิ” 

 

 

“โง่นัก” เสิ่นเวยแสยะปากกล่าว “เขาจะต้องเสียภรรยาซ้ำเสียขุนศึก[1]แน่นอน” 

 

 

สวีโย่วเลิกคิ้ว “เอ๋ เหตุใดเล่า” แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ 

 

 

ยังต้องถามข้าอีกหรือ เสิ่นเวยกล่าวอย่างเหยียดหยาม “องค์ชายใหญ่น่ะสิ เขาคิดว่าคุณูปการทางทหารสร้างง่ายเพียงนั้นเลยหรือ เขาคิดว่าองค์ชายใหญ่เป็นคนตายหรือไร” เสิ่นเวยไม่ชอบองค์ชายรองที่มีอำนาจมากล้นผู้นี้แม้แต่นิดเดียว 

 

 

“อ้อ น้องสี่กลับมององค์ชายใหญ่แง่ดีนัก องค์ชายใหญ่เพิ่งจะแพ้ศึก ตอนนี้ยังเก็บตัวไตร่ตรองความผิดตนอยู่ในจวน ส่วนประมุขซีเหลียงก็ยังเห็นด้วยอยู่เงียบๆ เช่นกัน” สวีโย่วกล่าว 

 

 

“คนที่มีประสบการณ์สิบปีในกองทัพจะนั่งนิ่งรอวันตายงั้นหรือ อำนาจปกครองล้วนมาจากความเด็ดขาด แผนร้ายหลอกลวงทั้งหมดเมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจที่แท้จริงล้วนเป็นเพียงเสือกระดาษ อำนาจทหารกุมอยู่ในมือผู้ใดผู้นั้นจึงจะเป็นนาย อำนาจบัญชาการในกองทัพขององค์ชายใหญ่เป็นเขาที่ต่อสู้ยึดมา องค์ชายรองอ่อนแอเกินไป เขากุมอำนาจทหารไว้ไม่อยู่หรอก” เสิ่นเวยกล่าววิเคราะห์ “ดังนั้นสงครามต่อจากนี้ไปพวกเราไม่ต้องตื่นตระหนกนัก แต่องค์ชายใหญ่ผู้นั้นพวกเรากลับต้องระวังให้มากขึ้นหน่อย” 

 

 

ฉลาดจริงๆ ในดวงตาของสวีโย่วมีความชื่นชมแวบผ่าน สตรีที่ฉลาดมีเยอะอย่างยิ่ง แต่เด็กน้อยที่มีความรู้ด้านการเมืองการปกครองและสายตาด้านยุทธศาสตร์เช่นนี้ ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็วิเคราะห์สถานการณ์ของซีเหลียงออกมาได้เกือบหมดแล้ว จะไม่ให้เขาชอบได้อย่างไร 

 

 

“หรือว่าจะทำให้องค์ชายใหญ่ผู้นั้น…” เสิ่นเวยทำท่าปาดคอ เสิ่นเวยคิดว่าขอเพียงแค่จัดการองค์ชายใหญ่ผู้นี้ได้ ฝั่งต้ายงก็นับได้ว่าชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว องค์ชายรององค์ชายสี่ที่เหลืออยู่นางไม่ได้ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง 

 

 

สวีโย่วส่ายหน้า “จวนองค์ชายใหญ่ป้องกันเข้มงวด อีกทั้งองค์ชายใหญ่ผู้นี้ก็มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง อีกทั้งยังปราดเปรียว คนทั่วไปเข้าไม่ถึงตัวเขาแน่นอน” 

 

 

“น่าเสียดาย” เสิ่นเวยเสียดายอย่างถึงที่สุด “เรื่องนี้ข้าจะลองไปคุยกับท่านปู่ แม้ว่าองค์ชายรองจะไร้ประโยชน์ แต่พวกเราก็ยังต้องเตรียมการป้องกันให้ดี” 

 

 

ขณะที่เสิ่นเวยกำลังทุ่มเทความคิดวางแผนอยู่ที่จวนจงอู่โหวซีเจียง เสิ่นเสวี่ยในจวนที่เมืองหลวงก็สร้างเรื่องอีกแล้ว ต้นเหตุก็คือฉาฮวาเด็กหญิงคนนี้ หรือจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้เป็นเพราะเด็กคนนี้เสียทีเดียว 

 

 

ตอนที่ไปร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ เสิ่นเสวี่ยได้พบจ้าวเฟยเฟยที่อยู่ข้างกายฮูหยินอวี้ฮูหยินจวนหย่งหนิงโหวว่าที่แม่สามี โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่านี่คือคุณหนูฝั่งมารดาที่ฝากให้อาศัยอยู่ในจวนหย่งหนิงโหว ในใจก็ยิ่งเกิดความตื่นตัว ในบางด้านสตรีจะมีลางสังหรณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ เสิ่นเสวี่ยรู้สึกถึงภัยคุกคามที่มาจากคุณหนูฝั่งมารดาผู้นี้ 

 

 

หลังกลับจวนไปไม่ว่าอย่างไรเสิ่นเสวี่ยก็รู้สึกไม่สบายใจ อยู่ร่วมกับสตรีที่งดงามทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้ พี่จิ่นอวี้จะ…ทุกครั้งที่เสิ่นเสวี่ยคิดถึงตรงนี้ ผ้าเช็ดหน้าในมือก็จะกำแน่น 

 

 

ข้างกายก็ไม่มีคนให้ปรึกษาได้ เสิ่นเสวี่ยหมดหนทางจึงทำได้เพียงไปหามารดาของนางที่หอธรรม 

 

 

ฮูหยินหลิวดูชราลงอย่างมาก บนศีรษะมองเห็นสีขาวได้รางๆ แล้ว ร่างกายที่มีน้ำมีนวลก็ผอมแห้งลง แต่อย่างไรเสียฮูหยินหลิวก็รักลูกสาว พอได้ยินลูกสาวกลัดกลุ้มก็เอ่ยแนะนำลูกสาวถึงวิธีกุมหัวใจของบุรุษเล็กๆ น้อยๆ 

 

 

“เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าต้องจำไว้ ผู้ชายได้ใหม่ลืมเก่าลุ่มหลงในกาม เจ้าแต่งเข้าไปแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการเอาชนะใจของสามี รีบมีลูก และต้องมีลูกชายเท่านั้น ตำแหน่งของเจ้าจึงจะมั่นคง…ผู้ชายต้องการแต่งอนุภรรยาเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ แต่ผู้ได้รับเลือกผู้นี้เจ้าต้องเป็นคนเลือก ต้องเป็นสาวใช้ข้างกายเจ้า ในมือเจ้ากุมฐานะที่ดินของนางอยู่ บิดามารดาพี่น้องของนางก็อยู่ในจวนพวกเรา ยังกลัวนางจะไม่เชื่อฟังเจ้าอีกหรือ…โดยเฉพาะห้ามให้ซื่อจื่อแต่งอนุภรรยาฐานะเทียบเท่าอะไรนั่น เหมือนคุณหนูฝั่งมารดาผู้นั้นที่เจ้าว่า นางเป็นหลานสาวของฮูหยินหย่งหนิงโหว ซ้ำยังเป็นญาติผู้น้องของซื่อจื่อ เดิมก็มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอยู่แล้ว หากได้แต่งเข้าบ้านจริงๆ ฮูหยินหย่งหนิงโหวกับซื่อจื่อก็ต้องถือหางให้ท้ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ เหมือนในจวนพวกเรา เหตุใดย่าเจ้าถึงเข้าข้างพวกเรามากกว่าเล่า หนึ่งก็เพราะว่าพ่อเจ้าเป็นบุตรคนเล็ก สองเป็นเพราะแม่เป็นหลานสาวแท้ๆ ของย่าเจ้า ดังนั้นจึงไม่อาจให้คุณหนูฝั่งมารดาผู้นั้นเข้าเรือนได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นชีวิตของเจ้าก็จะลำบาก… 

 

 

…เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์เอ๋ย ตอนนี้แม่ขอเพียงให้เจ้ามีชีวิตที่ดี ช่วยพยุงน้องชายเจ้าอีกแรง เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าต้องใช้ชีวิตให้ดีนะ” 

 

 

เสิ่นเสวี่ยถูกคำพูดของมารดาทำให้ไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม นางคิดอย่างละเอียด รู้สึกว่าท่านแม่พูดถูกอย่างยิ่ง ผู้ชายล้วนแต่ลุ่มหลงในกาม พ่อนาง ลุงนางก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันทั้งหมดมิใช่หรือ แต่เมื่อคิดว่าจะต้องให้พี่จิ่นอวี้แต่งอนุภรรยา ต้องแบ่งพี่จิ่นอวี้ร่วมกับหญิงคนอื่น นางก็รับไม่ได้จนอยากทำลายข้าวของแล้ว ต่อให้คนผู้นี้จะเป็นบ่าวไพร่ที่ต้อยต่ำก็ไม่ได้เหมือนกัน 

 

 

อี่ชุ่ยอี่หงและสาวใช้คนอื่นๆ ต่างก็ตัวสั่นระริก ไม่รู้ว่าคุณหนูเป็นอะไรไป เหตุใดถึงจ้องมองพวกนางอย่างน่าสะพรึงกลัว ซ้ำแววตายังมีความอาฆาตแวบผ่าน 

 

 

วันนี้เสิ่นเสวี่ยเดินผ่านสวนดอกไม้ข้างหลัง มองเห็นเด็กสาวคนหนึ่งถือดอกเบญจมาศหนึ่งกระถางเดินผ่านทางมา เด็กคนนั้นท่าทางประมาณแปดเก้าปี แต่กลับมีใบหน้าเล็กๆ ที่งดงาม โตขึ้นมาจะต้องเป็นหญิงงามสะคราญโฉมอย่างแน่นอน 

 

 

“นางเป็นคนของเรือนไหน” เสิ่นเสวี่ยหรี่ตามองแผ่นหลังที่เดินออกไปไกลของเด็กผู้หญิงแล้วกล่าวถาม นางมั่นใจว่านางไม่เคยเห็นเด็กคนนี้ในจวนมาก่อน 

 

 

อี่หงกับอี่ชุ่ยส่ายหน้าพร้อมกัน “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ” 

 

 

ดูจากอายุแล้ว เด็กผู้หญิงที่อายุแปดเก้าปีสูงที่สุดก็ไม่เกินลำดับสาม แต่เครื่องแต่งกายของเด็กคนนั้นกลับไม่เหมือน เสื้อผ้าบนร่างเด็กคนนั้นดีกว่าสาวใช้ใหญ่ลำดับหนึ่งเสียอีก 

 

 

“ตามไปดู” เสิ่นเสวี่ยบอกเป็นนัยให้อี่หง อี่หงตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงปฏิบัติตามคำสั่ง เดินตามหลังเด็กคนนั้นไป 

 

 

เสิ่นเสวี่ยขมวดคิ้ว คล้ายกำลังครุ่นคิด เบื้องลึกภายในใจมีความคิดผุดขึ้นมาช้าๆ 

 

 

“คุณหนู บ่าวเห็นเด็กคนนั้นเข้าไปในเรือนเฟิงหวาเจ้าค่ะ” เมื่อผ่านไปหนึ่งเค่ออี่หงก็รีบกลับมารายงาน 

 

 

เรือนเฟิงหวาหรือ เด็กคนนั้นเป็นคนของเสิ่นเวยเด็กชั่วผู้นั้นสินะ มุมปากของเสิ่นเสวี่ยเผยรอยยิ้มที่มีเลศนัยออกมา ความคิดนั้นในเบื้องลึกของจิตใจก็ยิ่งแน่วแน่ 

 

 

“พวกเจ้าสองคนไปสืบถามมาว่าเด็กคนนั้นชื่ออะไร” เสิ่นเสวี่ยกล่าวสั่ง ดูท่าแล้วจะอารมณ์ดีอย่างยิ่ง 

 

 

อี่หงสบตากับอี่ชุ่ยปราดหนึ่ง ต่างรู้สึกไม่เข้าใจสุดขีด ในใจไม่สบายใจเล็กน้อย แต่กลับไม่กล้าขัดคำสั่งของคุณหนู 

 

 

สองวันให้หลังเสิ่นเสวี่ยก็รู้แล้วว่าเด็กหน้าตาสละสลวยคนนั้นชื่อฉาฮวา เป็นคนที่เสิ่นเวยพากลับมาจากหมู่บ้านตระกูลเสิ่น ใบหน้านางเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดออกมา ไปยังเรือนซงเฮ่อของท่านย่าตามลำพัง 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] เสียภรรยาซ้ำเสียขุนศึก หมายถึงการสูญเสียซ้ำสองอย่างในครั้งเดียว