มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 535
ชิ้นส่วนกฎทั้งสิบแปดชิ้น หลัวซิวได้มอบให้กับเหยียนเยว่เอ๋อร์สิบสามชิ้นเพื่อหลอมรวมเข้าสู่ร่างกาย ชิ้นส่วนกฎอีกห้าชิ้นที่เหลืออยู่ เขาได้นำไปวางไว้ในหอฝึกฝนแห่งหนึ่งในแดนปริศนา ให้คนระดับผู้คุมกฎขึ้นไปของสำนัก ได้มาศึกษาทำความเข้าใจ

เมื่อเทียบกับผลการฝึกตนของคนอื่น ๆ ที่ต่างก็มีความก้าวหน้า ในสองปีมานี้ผลการฝึกตนของหลัวซิว กลับก้าวหน้าได้อย่างเชื่องช้า ยังอยู่ห่างจากการบรรลุถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสอง อยู่อีกไม่น้อยเลยทีเดียว

หินตรีภพที่ใหญ่ที่สุดก้อนนั้น เขายังไม่สามารถตัดใจที่จะใช้มันได้ หลังจากที่สถานการณ์ของสำนักได้มั่นคงลง เขาเตรียมที่จะจากไปสักระยะ

เรื่องราวต่าง ๆ ของสำนัก มอบให้เกาเหลียนหงดูแลเป็นการชั่วคราว ส่วนหลัวซิวนั้นในระยะเวลาสองปีมานี้ เขาได้กลั่นยาเอาไว้จำนวนมาก สามารถให้สำนักไท่เสวียนใช้ได้ในระยะยาว

เมื่อทราบว่าหลัวซิวเตรียมที่จะไปฝึกตนที่โลกภายนอก เดิมทีเหยียนเยว่เอ๋อร์คิดจะไปกับเขาด้วย แต่เนื่องจากผลการฝึกตนได้มาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเก็บตัวฝึกตน ไม่สามารถออกจากการเก็บตัวในช่วงเวลาอันสั้นได้

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามที่สยบมาได้ในตอนที่ได้รับภูตอัคคีกลืนกินตนนนั้น ตอนนี้ได้บรรลุถึงระดับที่สามารถทัดเทียมกับราชายุทธ์ได้ หลัวซิวจึงได้ใช้มันเป็นพาหนะ มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอาณาจักรใต้

ตามคำกล่าวของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ แม้ว่าทางเข้าของแดนนานาอสูรประปรากฏขึ้นแบบสุ่ม ๆ เป็นระยะ แต่ก็มีวิธีที่จะกำหนดทางเข้าได้เช่นกัน จะต้องเพิ่มระดับของค่ายกลให้บรรลุถึงปรมาจารย์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าถึงจะได้

สำหรับหลัวซิวแล้ว อย่าว่าแต่ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าเลย ต่อให้เป็นระดับเจ้ายุทธจักรขั้นเก้า ก็ยังห่างไกลจากเขาอีกมากนัก

อย่างไรก็ตามถ้าหากมีสักวันที่สามารถกำหนดทางเข้าของแดนนานาอสูร และวางทางเข้าของแดนนานาอสูรไว้ที่สำนักได้ พอถึงตอนนั้นก็จะให้ศิษย์ในสำนักเข้าไปฝึกฝนในแดนปริศนาเพิ่มระดับผลการฝึกตนได้ มีผลดีมากเลยทีเดียว

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามบินไปในอากาศด้วยความเร็วที่ไม่นับว่าเร็วนัก แต่หลัวซิวก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ระยะนี้ผลการฝึกตนของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป ก้มลงมองภูเขาและผืนดิน แม่น้ำใหญ่ไหลทะลัก ทำให้จิตใจเบิกบานไปกับธรรมชาติ

แดนนานาอสูรดำรงอยู่มาเป็นเวลานานมาก แบ่งออกเป็นเก้าเขตใหญ่ ๆ อสูรกายที่อยู่ในดินแดนที่หนึ่งนั้นเทียบได้กับแดนฝึกชี่ไห่ แบ่งตามประเภทเช่นนี้ เพิ่มระดับขึ้นเรื่อย ๆ ในเขตที่ห้านั้นเป็นอสูรระดับหก เทียบได้กับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์

เขตที่ห้าของแดนนานาอสูร ก็คือจุดมุ่งหมายของการเดินทางในครั้งนี้ของหลัวซิวนั่นเอง

“เขตที่ห้านั้นเป็นอสูรระดับหก เขตที่หกเป็นอสูรระดับเจ็ดมกุฎยุทธ์ เขตที่เจ็ดเป็นอสูรระดับแปดมหายุทธ์ เขตที่แปดเป็นอสูรระดับเก้าเจ้ายุทธจักร เขตที่เก้านั้น ก็จะไม่ใช่จักรพรรดิอสูรระดับเก้ามหาจักรพรรดิยุทธ์หรอกหรือ?”

จากการอธิบายของมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ หลัวซิวยากที่จะจินตนาการได้ว่าผู้ใดกันที่สร้างสถานที่เพาะเลี้ยงอสูรแบบนี้ขึ้นมาได้ หรือว่ามีคนที่สามารถเลี้ยงจักรพรรดิอสูรระดับเก้าเอาไว้เป็นเชลยได้จริง ๆ?”

ระดับเจ้ายุทธจักรและระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ เป็นระดับเก้าเช่นเดียวกัน ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า แทบจะเป็นขีดสุดที่นักยุทธ์บรรลุถึงแล้ว ระยะเวลาอันไม่สิ้นสุดตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน สามารถข้ามผ่านระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าบรรลุถึงแดนนิรันกาลได้ ล้วนเป็นคนที่หาได้ยาก

“ในสายตาของพวกเรา บางทีระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าอาจจะสุดยอดเอามาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบางสิ่งบางอย่างที่เหนือธรรมชาติ ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า จะนับอะไรได้กันล่ะ?”

มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเหมือนได้ทอดถอนใจอย่างหดหู่เล็กน้อย

แดนนิรันกาล สำหรับทุกคนที่ได้ฝึกตนในโลกยุทธ์แล้ว เป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต เพราะแดนนิรันกาล เป็นตัวแทนของความเป็นอมตะ!

แม้ว่าผลการฝึกตนของเจ้าจะสูงส่งเพียงใด อย่างไรก็จะต้องตาย ยากที่จะหนีพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ผู้แข็งแกร่งในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ สามารถมีอายุขัยได้ถึงหมื่นปี หลังจากหมื่นปีผ่านไป ก็ต้องกลายเป็นเถ้าถ่าน มาจากที่ไหนหลับไปที่นั่นเช่นกัน

อาจมีบางคนที่คิดว่าระยะเวลาหมื่นปีนั้นยาวนาน แต่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานไม่มีที่สิ้นสุดนั้น หมื่นปีนับเป็นเพียงการดีดนิ้วเท่านั้นเอง

สามารถบรรลุถึงแดนนิรันกาลได้ ไม่ใช่ว่าจะมีชีวิตนิรันดร์ แต่หลังวจากที่อายุขัยได้ถึงขีดสุด สามารถรักษาดวงวิญญาณไม่ให้แตกสลายในการเวียนว่ายตายเกิดเอาไว้ได้เพียงเล็กน้อย มีโอกาสที่จะฟื้นฟูความทรงจำของชาติก่อน ในตอนที่ไปเกิดใหม่ได้

เพราะฉะนั้นแล้ว ก็นับเป็นความอมตะอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงได้เรียกระดับนี้ว่าแดนนิรันกาล