หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรงเป็นเวลานาน ใต้เท้าราชเลขาถึงกัดฟันระงับโทสะเอาไว้ได้ กัดฟันฝืนพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อไม่ต้องไปดีกว่า บุตรสาวป่วยมานานแล้ว อาจจะทำให้ท่านติดไปด้วย”
หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่งไม่ไหวติง กล่าวอย่างดื้อรั้นว่า “ที่ใต้เท้าราชเลขาขัดขวางไม่ให้ข้าไปเยี่ยมว่าที่ชายาของข้า คิดว่าคงไม่พอใจลูกเขยผู้นี้เป็นแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ยกเลิกการแต่งงานนี้ไปต่อหน้าท่านน้าเลยดีกว่า”
นี่เองเป็นจุดมุ่งหมายที่พวกเขามาในวันนี้ ใต้เท้าราชเลขาจึงเข้าใจทันที โมโหจนมือสั่น พยายามฝืนอยู่นาน ถึงสงบลงได้ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม ปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ กล่าวว่า “ที่สองท่านมาถึงบ้านตั้งแต่เช้า มาด้วยเรื่องการยกเลิกการแต่งงาน ใช่ไหม”
ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า “เป็นเช่นนั้น หลังจากที่ข้ากลับเมืองหลวงแล้วก็ได้ยินเรื่องของคุณหนูหลินกับเซวียนเอ๋อร์ ในเมื่อเซวียนเอ๋อร์ไม่ยอม ถึงคุณหนูหลินแต่งงานไปก็ไม่ได้รับความรัก หวังว่าใต้เท้าราชเลขาจะไตร่ตรองดูให้ดี อย่าได้ดึงดันจัดงานแต่งงานนี้ต่อไปเลย ฉวยโอกาสนี้ที่คุณหนูหลินอายุยังน้อย หาคู่แต่งงานที่เหมาะให้นางใหม่ดีกว่า”
ใต้เท้าราชเลขาคำรามเหอะ “แม่ทัพใหญ่ช่างพูดง่ายเหลือเกิน ในเมืองหลวงผู้ใดบ้างที่ไม่ทราบว่าบุตรสาวของข้ากับซื่อจื่อได้หมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งสองครอบครัวก็มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ถ้าหากบุตรสาวยกเลิกการแต่งงานนี้ไป ใครยังจะกล้ามาสู่ขอนาง”
“ความจริงเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของเรา ขอเพียงใต้เท้าราชเลขารับปากว่าจะยกเลิกการแต่งงานนี้ ไม่ว่าท่านจะมีเงื่อนไขอะไรก็ตาม พวกเรายินดีรับปาก” ฉู่เหวินเจี๋ยกล่าว
ช่วงที่ผ่านมานี้ใต้เท้าราชเลขากับฮูหยินราชเวลาก็เคยครุ่นคิดปรึกษาหารือกันมาก่อน ตั้งแต่ครั้งนั้นที่หลินหันเยียนตกใจจนสิ้นสติ พอเอ่ยถึงชื่อหวงฝู่อี้เซวียนหวาดกลัวแทบแย่ ถ้าให้บุตรสาวแต่งงานไปจริง หลินหันเยียนคงจะถูกทำลายไปชั่วชีวิต แต่ว่าถ้าหากไม่แต่งงาน บุตรสาวก็คงจะหาชายตระกูลดีๆ จากเมืองหลวงมาแต่งงานด้วยไม่ได้ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะให้บุตรสาวกลับไปแต่งงานที่บ้านเดิม ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรสาวที่ตนเฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กจนโต ทั้งสองคนก็ทนไม่ได้ คิดไปคิดมา ก็คิดหาวิธีดีๆ ไม่ได้ จนปล่อยให้ยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้ และในวันนี้ทั้งสองคนก็มาพูดคุยเรื่องนี้ถึงที่บ้าน ใต้เท้าราชเลขาให้คำตอบไม่ได้ นิ่งเงียบไปชั่วขณะ
หวงฝู่อี้เซวียนมองหน้าเขาแล้วพูดแหย่ขึ้นว่า “นานจนถึงป่านนี้แล้ว ใต้เท้าราชเลขายังคิดเงื่อนไขไม่ได้อีกหรือ นี่ไม่เหมือนตัวท่านเลย”
ใต้เท้าราชเลขาปั้นหน้าไว้ไม่อยู่ กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ที่พูดซื่อจื่อหมายความว่าอย่างไรหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียเจือแววเหยียดหยามว่า “ท่านวางหมากไว้อย่างดีแต่แรกแล้ว มีหรือจะไม่เข้าใจความหมายที่ข้าพูด”
ใต้เท้าราชเลขาหน้าแดงก่ำ
ฉู่เหวินเจี๋ยตำหนิเขา “เซวียนเอ๋อร์ อย่าไร้มารยาท”
หวงฝู่อี้เซวียนเบ้ปาก ไม่ได้พูดอะไรอีก
ฉู่เหวินเจี๋ยกล่าว “ใต้เท้าราชเลขา วันนี้พวกเรามาพูดเรื่องนี้อย่างจริงใจตรงไปตรงมา ถ้าหากท่านยังคิดไม่ออก ก็ไปปรึกษากับฮูหยินหลินสักครู่เถิด พวกเราจะรออยู่ที่นี่”
ดูเหมือนว่าวันนี้ถ้าพวกเขาไม่บรรลุเป้าหมายจะไม่ยอมรามือเป็นแน่ ใต้เท้าราชเลขากัดฟันกรอด ผุดลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปปรึกษากับฮูหยินสักครู่ ขอให้แม่ทัพใหญ่กับซื่อจื่อกรุณารอสักครู่”
ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า
ใต้เท้าราชเลขาเดินออกไปด้านนอก หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวเรื่อยๆ อย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ไปถามว่าที่ชายาของข้าด้วย”
ใต้เท้าราชเลขาชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง แล้วก็เดินออกไป
ได้ยินเสียงใต้เท้าราชเลขาเดินออกไปไกลแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าทำเกินไปแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มเผล่ หรี่ดวงตาอันกลมโตที่ใสบริสุทธิ์ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มละไมว่า “ท่านลุง ต้องแสดงอำนาจให้เขาเห็นก่อน กดอำนาจพวกเขาไว้ พวกเขาจะได้ไม่เรียกร้องเงื่อนไขที่เกินไปนัก”
ฉู่เหวินเจี๋ยโคลงศีรษะอย่างจนใจ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ
ไม่รู้ว่าพวกเขามาทำอะไรตั้งแต่เช้า ฮูหยินราชเลขากังวลใจ เดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องอย่างกระวนกระวายใจ เห็นใต้เท้าราชเลขารีบร้อนเดินเข้ามา ถามขึ้นทันควันว่า “นายท่าน วันนี้พวกเขามาบีบให้พวกเรายกเลิกการแต่งงานใช่หรือไม่”
ใต้เท้าราชเลขาพยักหน้า กล่าวว่า “มาอย่างไร้ซึ่งความปรานี เกรงว่าวันนี้ถ้าพวกเขาไม่บรรลุเป้าหมายก็จะไม่ยอมรามือไปง่ายๆ”
ฮูหยินราชเลขาพอจะคาดการณ์เรื่องนี้ได้บ้าง พอได้ยินก็กล่าวอย่างโมโหว่า “พวกเราก็ไม่ต้องรับปาก พวกเขาไม่ยอมรามือแล้วจะทำอะไรได้ หรือว่าจะก่อกวนจวนราชเลขาของเราให้ได้หรืออย่างไร”
ใต้เท้าราชเลขาโบกมือ “ฮูหยินอย่าพูดด้วยอารมณ์ บัดนี้ฉู่เหวินเจี๋ยกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เบื้องหลังของซื่อจื่อก็มีผู้สนับสนุนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง แม้ว่าวันนี้พวกเราจะไม่ยอมยกเลิกการแต่งงาน แต่จะยื้อไปได้จนถึงเมื่อไหร่ หรือว่าเราจะให้เยียนเอ๋อร์แต่งงานไปจริง”
“ไม่ได้ ข้าไม่มีวันยอมให้เยียนเอ๋อร์แต่งไปเด็ดขาด” ฮูหยินราชเลขาโบกมือ “หากเป็นเช่นนั้นก็เหมือนการส่งนางไปตายชัดๆ”
“ดังนั้นวันนี้ถือว่าเป็นโอกาสอันดี ฉู่เหวินเจี๋ยพูดแล้ว ว่าให้พวกเราเรียกร้องเงื่อนไขได้ตามใจ เขาจะรับปากพวกเราทุกอย่าง”
“ฉู่เหวินเจี๋ยกล่าวเช่นนั้นหรือ”
ใต้เท้าราชเลขาพยักหน้า “ข้าคิดว่านี่ก็คงเป็นความคิดของอ๋องฉีกับพระชายาฉี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพวกเราถึงไม่เรียกร้องเงื่อนไข ถือโอกาสนี้ยกเลิกการแต่งงานไป เช่นนี้พวกเราก็จะได้รับประโยชน์ อีกทั้งยังไม่ต้องกลายเป็นศัตรูกับพระชายาฉีด้วย”
“ตอนนี้ท่านเป็นราชเลขาที่มีตำแหน่งสูง ในบ้านก็ไม่ขัดสนเงินทอง พวกเราจะเรียกร้องเงื่อนไขอะไร” ฮูหยินราชเลขากล่าว
“ฮูหยิน ตอนนั้นที่พวกเราหมั้นหมายการแต่งงานนี้ไว้ให้เยียนเอ๋อร์ ก็เพราะว่าหวังพึ่งร่มเงาจากต้นไม้ต้นใหญ่อย่างเช่นจวนอ๋องฉี ถ้ามีเกิดอะไรขึ้นพวกเขาจะได้ช่วยเหลือเราได้ แต่ตอนนี้พวกเขาดึงดันที่จะยกเลิกการแต่งงาน พวกเราเองก็ไม่อยากให้เยียนเอ๋อร์ต้องแต่งงานไปทนรับความทุกข์ทรมาน ถ้าหากต้องการยกเลิกการแต่งงานไปแล้วยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อจวนอ๋องฉีอยู่แล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ก็เป็นโอกาสอันดี”
“นายท่านคิดวิธีที่ดีได้แล้วหรือเจ้าคะ” ฮูหยินราชเลขาถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น
ราชเลขาหลินพยักหน้า “เมื่อครู่ตอนที่ข้าเดินกลับมาคิดวิธีขว้างหินก้อนเดียวได้นกสองตัวมาได้ ตอนนี้จะปรึกษากับฮูหยินสักครู่”
น้ำเสียงของฮูหยินราชเลขายิ่งกระตือรือร้นขึ้น “นายท่านรีบพูดมาเจ้าคะ มีวิธีดีๆ อย่างไร”
“ข้าคิดว่าจะให้ฉู่เหวินเจี๋ยรับเยียนเอ๋อร์เป็นบุตรบุญธรรม เช่นนี้แล้วพวกเราไม่เพียงแต่ได้พึ่งพิงต้นไม้ต้นใหญ่เช่นเขา อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับอ๋องฉีด้วย”
ฮูหยินราชเลขาดวงตาเป็นประกาย “วิธีนี้ของนายท่านประเสริฐที่สุดเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดขึ้นอีกว่า “แต่ว่าฉู่เหวินเจี๋ยจะรับปากหรือ”
“จนถึงตอนนี้ฉู่เหวินเจี๋ยยังไม่มีบุตรแม้แต่คนเดียว เงื่อนไขนี้สำหรับเขาแล้ว ไม่ถือว่าลำบากอะไร ข้าคิดว่าเขาน่าจะรับปาก”
“ถ้าเป็นเช่นนี้ นายท่านก็รีบออกไปพูดกับพวกเขาสิเจ้าคะ”
ราชเลขาหลินโบกมือ “ไม่ต้องรีบร้อน ให้พวกเขานั่งรอที่ห้องโถงรับแขกสักพัก ทำลายความโอหังของพวกเขาเสีย อีกอย่างเรื่องนี้ต้องไปถามความคิดเห็นจากเยียนเอ๋อร์ก่อน เจ้าไปเรียกนางเข้ามาเถอะ”
ฮูหยินราชเลขาพยักหน้า ให้สาวใช้ไปตามหลินหันเยียนเข้ามา ตั้งแต่ตอนที่ตกใจจนล้มป่วยไป หลินหันเยียนก็ผ่ายผอมลงไปมาก ราวกับว่าถ้ามีลมพายุพัดมาก็คงจะปลิวหายไปกับสายลมนั้น อ่อนเพลียทั้งวัน ไร้ชีวิตชีวาไม่เหมือนแต่ก่อน ดวงตาที่เคยเปล่งประกายสดใสก็มืดสลัวไม่มีประกาย มีสาวใช้พยุงเข้ามาในห้อง ยอบกายเคารพฮูหยินราชเลขา “ท่านพ่อ ท่านแม่ เรียกลูกมาด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
เห็นบุตรสาวมีสภาพเช่นนี้แล้ว ฮูหยินราชเลขาก็ทนไม่ไหว หลังจากที่บอกให้นางนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวว่า “เยียนเอ๋อร์ วันนี้ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีมา…”
—————————-