เพิ่งจะพูดได้ถึงตรงนี้ หลินหันเยียนก็ผุดลุกขึ้นทันที เบิกตากว้างอย่างหวาดผวา ร้องตะโกนขึ้นไม่หยุด “ข้าไม่อยากแต่งงานกับเขา! ข้าไม่อยากแต่งงานกับเขา!”

 

 

“ได้ได้ได้!” ฮูหยินราชเลขารีบเข้ามาปลอบนาง “ไม่แต่งกับเขา ไม่แต่งกับเขานะ เยียนเอ๋อร์อย่าตกใจไป”

 

 

“ท่านแม่พูดคำไหนคำนั้นนะเจ้าคะ จะไม่ให้ลูกแต่งงานกับเขาจริงใช่ไหม” หลินหันเยียนถามอย่างไม่แน่ใจ

 

 

ฮูหยินราชเลขาพยักหน้า “เจ้าเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของแม่ ในเมื่อเจ้าไม่ยอม มีหรือแม่จะยอมให้ลูกแต่งงานไปรับความทุกข์ทรมาน”

 

 

หลินหันเยียนจึงสงบใจลงได้ “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นดีแล้ว ลูกยอมตายดีกว่าต้องแต่งงานกับปีศาจร้ายนั่น”

 

 

ราชเลขาสองสามีภรรยามองหน้ากับแวบหนึ่ง ฮูหยินราชเลขาพูดต่อว่า “วันนี้ซื่อจื่อกับแม่ทัพฉู่มาที่บ้านเพื่อยกเลิกการแต่งงาน พ่อกับแม่รับปากพวกเขาแล้ว แต่ว่าพวกเขารู้สึกว่าได้ติดค้างต่อเจ้า รับปากทุกอย่างไม่ว่าเราจะเรียกร้องเงื่อนไขอะไรก็ตาม พ่อกับแม่ปรึกษากันแล้ว ว่าจะให้เจ้าเป็นบุตรบุญธรรมของแม่ทัพฉู่ เจ้ายอมไหม”

 

 

หลินหันเยียนเม้มริมฝีปากไม่เอ่ยคำใด

 

 

ฮูหยินราชเลขารออยู่สักพัก เห็นนางไม่พูดอะไร จึงพูดจาหว่านล้อมขึ้นว่า “เยียนเอ๋อร์ ถึงอย่างไรเจ้าก็หมั้นหมายกับซื่อจื่อมานานหลายปี หากตอนนี้ยกเลิกการแต่งงานไป คนข้างนอกจะต้องนินทาเป็นแน่ เป็นอุปสรรคต่อการแต่งงานของเจ้าในภายหน้า แต่ถ้าเป็นบุตรบุญธรรมของแม่ทัพใหญ่ก็จะแตกต่างกันไป ไม่เพียงช่วยให้เจ้ามีงานแต่งงานที่ดีเท่านั้น ต่อไปยังมีคนอีกคนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนเจ้า”

 

 

ในที่สุดหลินหันเยียนก็พูดขึ้น “ต้องรับเป็นบุตรบุญธรรมให้ได้หรือ”

 

 

“เยียนเอ๋อร์” ราชเลขาหลินกล่าว “พ่อกับแม่ทำเพื่อเจ้านะ ถ้าเจ้ามีที่พึ่งพิงนี้ ก็จะมีแต่ผลดีไม่มีผลเสีย” พูดจบ ก็กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “แน่นอน ถ้าเจ้าไม่ยอม พ่อกับแม่ก็ไม่บังคับเจ้า”

 

 

หลินหันเยียนนิ่งคิดไปสักครู่ แล้วกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อทำเพื่อลูก ลูกก็จะยินยอมเจ้าค่ะ”

 

 

ราชเลขาสองสามีภรรยาต่างก็ถอนหายใจโล่งอก ราชเลขาหลินกล่าวว่า “ในเมื่อเยียนเอ๋อร์ตกลงแล้ว พ่อก็จะไปปรึกษากันเรื่องการรับเป็นบุตรบุญธรรม”

 

 

หลินหันเยียนพยักหน้า “ทุกอย่างให้ท่านพ่อเป็นผู้จัดการเจ้าค่ะ”

 

 

ราชเลขาหลินส่งสายตาให้กับฮูหยินของตน ฮูหยินราชเลขาเข้าใจ สั่งสาวใช้ว่า “ประคองคุณหนูกลับไปพักผ่อน”

 

 

สาวใช้รับคำ ประคองหลินหันเยียนขึ้น แล้วก็พานางกลับห้องของตัวเองไป

 

 

ราชเลขาสองสามีภรรยาก็ปรึกษาหารือกันอีกสักครู่ กำหนดเรื่องการรับบุตรบุญธรรม ราชเลขาหลินจึงกลับไปยังห้องโถงรับแขก

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยกับหวงฝู่อี้เซวียนดื่มชาจนหมดแล้ว ราชเลขาหลินก็ยังไม่กลับมา หวงฝู่อี้เซวียนเล่นถ้วยน้ำชาในมืออย่างสบายๆ แอบคาดเดาว่าราชเลขาสองสามีภรรยาจะเรียกร้องเงื่อนไขอะไรออกมา ส่วนฉู่เหวินเจี๋ย กลับนั่งหลังตรง นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างมั่นคงราวกับภูเขาไท่ซาน

 

 

ราชเลขาหลินกลับมาที่ห้องโถงรับแขก เมื่อเห็นถ้วยน้ำชาของทั้งสองคนหมดแล้วจึงตำหนิคนรับใช้ “เจ้าพวกตาบอด ยังไม่รีบมาเติมน้ำชาให้แม่ทัพใหญ่กับซื่อจื่ออีก”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเหยียดยิ้ม เปิดโปงเขาตรงๆ ว่า “ใต้เท้าราชเลขาไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนดีต่อหน้าข้า ข้าไม่เชื่อว่าคนรับใช้ในจวนของตระกูลผู้ดีจะไม่รู้จักกฎข้อนี้”

 

 

เป็นความจริงที่ราชเลขาหลินจงใจทำให้พวกเขาคอแห้ง ได้ยินเช่นนั้นจึงหัวเราะกลบเกลื่อน “ซื่อจื่อล้อเล่นแล้ว บ่าวพวกนี้เพิ่งเข้ามาใหม่ ยังไม่ค่อยจะรู้จักกฎดีนัก”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยังรักษารอยยิ้มนี้ไว้ “กฎในจวนราชเลขาช่างแตกต่างจริงๆ ในจวนอ๋องฉีของเรา จะไม่ใช้งานบ่าวที่ไม่รู้จักกฎ”

 

 

ใบหน้าของราชเลขาหลินพลันแข็งกระด้าง ระบายความโกรธเอากับคนรับใช้แทน “ยังไม่ไสหัวออกไปอีก อยากโดนหวายหรืออย่างไร”

 

 

คนรับใช้เดินออกไปอย่างสั่นๆ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนนั่งบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ถามว่า “ไม่ทราบว่าใต้เท้าราชเลขาคิดเงื่อนไขได้แล้วหรือ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนอ่านความคิดของเขาได้อย่างทะลุ ราชเลขาหลินจึงไม่ต้องปิดบังอะไรอีก พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “พวกเรามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”

 

 

“เชิญพูด”

 

 

“ขอให้แม่ทัพใหญ่รับบุตรสาวของข้าเป็นบุตรบุญธรรม”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยประหลาดใจ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตาลง

 

 

ราชเลขาหลินกล่าวว่า “บุตรสาวของข้าหมั้นหมายกับซื่อจื่อไว้ตั้วแต่ยังเล็ก บัดนี้อายุถึงเวลาแต่งงานแล้ว แต่จู่ๆ ซื่อจื่อกลับต้องการจะยกเลิกการแต่งงาน ทำให้มีผลกระทบต่อชื่อเสียงของบุตรสาวข้า ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าต่อไปจะหาคนตระกูลที่เหมาะสมได้หรือไม่ เอาแค่ตอนนี้ หากเรื่องยกเลิกงานแต่งงานแพร่ออกไป ต่อไปไม่ว่าบุตรสาวจะไปที่ใด ก็จะถูกผู้คนตราหน้า หากพูดถึงข้อที่หนักไปกว่านั้น บุตรสาวอาจจะถึงขั้นอยู่ในเมืองหลวงไม่ได้อีก หากได้เป็นบุตรบุญธรรมของแม่ทัพใหญ่ แม้จะยังมีข่าวลือต่างๆ นานา แต่ก็ยังดีกว่ามาก”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยกยิ้มอย่างที่ไม่อาจคาดเดาความคิดได้ กล่าวว่า “ใต้เท้าราชเลขากล่าวไม่ผิด แต่ว่าท่านน้าของข้ายังไม่มีครอบครัว ถ้าหากรับคุณหนูหลินเป็นบุตรบุญธรรม จะไม่เป็นการเพิ่มข่าวลือไปอีกหรือ”

 

 

ราชเลขาหลินโบกมือ “ไม่หรอก คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ทราบว่าแม่ทัพใหญ่ทำอะไรเปิดเผย เขาเป็นพ่อบุญธรรมของบุตรสาวข้า ก็จะไม่มีใครมาวิพากษ์วิจารณ์ลับหลัง”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นที่ท่านน้าข้ารับคุณหนูหลินเป็นบุตรบุญธรรมมีเงื่อนไขอะไร คงไม่ใช่แค่เป็นรับเป็นบุตรบุญธรรมธรรมดาแล้วก็จบกระมัง”

 

 

ราชเลขาหลินพยักหน้า “ซื่อจื่อกล่าวถูกแล้ว พวกเราไม่ต้องการสิ่งใดอีก เพียงแต่ต้องการให้เยียนเอ๋อร์มีแม่ทัพใหญ่เป็นพ่อบุญธรรมเท่านั้น แต่ว่าเรามีเงื่อนไขในพิธีการรับเป็นบุตรบุญธรรม”

 

 

“เงื่อนไขอะไรหรือ”

 

 

ราชเลขาหลินชูนิ้วขึ้นสองนิ้ว “มีเงื่อนไขสองประการ หนึ่งคือพิธีการรับบุตรบญธรรมกับการยกเลิกการแต่งงานต้องมีขึ้นพร้อมกัน สองการรับเป็นบุตรบุญธรรมนี้ต้องจะจัดอยู่ในจวนอ๋องฉี”

 

 

“ทำไมหรือ คุณหนูหลินให้ท่านลุงข้าเป็นพ่อบุญธรรม ไม่ใช่ว่าต้องจัดพิธีอยู่ที่จวนแม่ทัพมิใช่หรือ”

 

 

“ซื่อจื่อกล่าวไม่ผิด เดิมทีควรจะเป็นเช่นนั้น แต่เป็นเพราะว่าการยกเลิกการแต่งงานกับการรับบุตรบุญธรรมต้องจัดขึ้นพร้อมกัน จึงไม่อาจยกเลิกการแต่งงานที่จวนอ๋องฉีเสร็จแล้ว จึงค่อยไปจวนแม่ทัพ ไม่จำเป็นต้องให้วุ่นวายเช่นนั้น ดังนั้นจัดขึ้นพร้อมกันในจวนอ๋องฉีก็พอ”

 

 

“ไม่ทราบว่าใต้เท้าราชเลขาต้องการให้ใครร่วมงานบ้าง” หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตาถาม

 

 

ราชเลขาหลินโบกมือ พูดอย่างใจกว้างว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว ไม่จำเป็นต้องให้คนนอกร่วมงาน มีแค่พวกเราไม่กี่ครอบครัวก็เพียงพอแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะเบาๆ เอนหลังพิงพนักพิงเก้าอี้ “ใต้เท้าราชเลขาช่างวางหมากได้ดีจริงๆ วันนี้เปิดหูเปิดตาอี้เซวียนแล้ว”

 

 

ราชเลขาหลินลูบเคราพร้อมกับหัวเราะฮ่าๆ “ซื่อจื่อชมเกินไปแล้ว ข้าเพียงแต่ทำเพื่อบุตรสาว หากมีสิ่งใดที่ไม่เหมาะสมก็ขอให้ซื่อจื่ออภัยด้วย”

 

 

“ใต้เท้าราชเลขาขว้างหินก้อนเดียวได้นกหลายตัว มีตรงไหนที่ไม่เหมาะหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวอย่างเย้ยหยัน

 

 

ราชเลขาหลินแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจคำพูดของเขา หันหน้าไปถามฉู่เหวินเจี๋ย “ไม่ทราบว่าแม่ทัพใหญ่คิดว่าอย่างไรหรือ ตกลงเห็นชอบในเงื่อนไขข้อนี้หรือไม่”

 

 

วันนี้ฉู่เหวินเจี๋ยมีเป้าหมายไว้ว่าไม่ว่าราชเลขาหลินจะมีเงื่อนไขอะไรเขาก็จะรับปากทั้งนั้น แต่เขาคิดไม่ถึงเลย ว่าราชเลขาหลินจะเอ่ยถึงเงื่อนไขเช่นนี้ได้ เกิดความรู้สึกลำบากใจไปชั่วขณะ ใคร่ครวญแล้วจึงกล่าวว่า “ตามหลักแล้วเงื่อนไขข้อนี้ไม่ถือว่ามากเกินไป ข้าควรจะรับปากอย่างเต็มใจ เพียงแต่ ถึงอย่างไรข้าก็ยังไม่มีครอบครัว ทำเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ”

 

 

“ท่านลุง” หวงฝู่อี้เซวียนพูดอยู่ข้างๆ “ใต้เท้าราชเลขาก็บอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร ท่านไม่จำเป็นต้องไปสนใจคำพูดของคนอื่น อย่างไรคุณหนูหลินก็ไม่ได้ไปอาศัยอยู่ที่จวนแม่ทัพ ไม่มีผลกระทบอะไรต่อชีวิตของท่าน อย่างมากที่สุดก็แค่ตอนที่นางแต่งงานก็มอบสินสอดติดตัวไว้ให้นางเท่านั้น” พูดจบก็ถามใต้เท้าราชเลขาว่า “ใต้เท้าราชเลขา ท่านว่าใช่หรือไม่”

 

 

—————————-