บทที่ 561 แปลกใจ

บัลลังก์พญาหงส์

ตราบจนถึงวันที่สามสิบเดือนแปด ทั้งองค์รัชทายาทและหลี่เย่ ล้วนไม่มีความเคลื่อนไหวทั้งนั้น ตอนที่ถาวจวินหลันเข้าวังหลวงเพื่อร่วมงานสมโภช ในใจพลันวุ่นวายสับสนเป็นยิ่ง ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่างานเลี้ยงมีจุดประสงค์ร้ายแอบแฝง 

 

 

ถาวจวินหลันพูดความรู้สึกเหล่านี้ให้ชิงกูกูฟัง ชิงกูกูกลับหัวเราะร่า “กลัวอะไรเล่าเจ้าคะ? ข้าไม่เชื่อว่าฮองเฮาจะกล้าลงมือกับท่านต่อหน้าผู้คนมากมายเป็นแน่ ขอเพียงท่านไม่อยู่ลำพังก็พอแล้ว ของกินภายในวังก็อย่าได้ไปจับต้อง แสร้งทำเป็นกินสักสองสามคำเท่านั้น” 

 

 

คำพูดนี้ของชิงกูกูไม่ได้ถือว่าเป็นการพูดปลอบโยน แต่ท่าทีเช่นนี้กลับทำให้จิตใจเคร่งเครียดของถาวจวินหลันผ่อนคลายลง จนหัวเราะเช่นเดียวกัน “แม้ว่าอยากจะกิน แต่ก็ไม่มีที่จะให้คีบตะเกียบลงไป” ฤดูหนาวแต่เดิมก็ไม่ได้มีผักผลไม้สดอยู่แล้ว มีเพียงเนื้อสัตว์ใหญ่หรือเนื้อปลาเท่านั้นเอง อาหารเลี่ยนๆ วางอยู่ตรงนั้น ไฉนเลยยังจะคิดไปแตะต้องอีก? แม้ว่าจะดูไม่เลว แต่พอตะเกียบได้เข้าปากไปแล้วก็จะรู้ว่าดูได้แต่ตามืออย่าต้อง 

 

 

เพียงไม่นานก็จัดการทุกอย่างเรียบร้อย ถาวจวินหลันพาซวนเอ๋อร์เข้าวังหลวงไปร่วมงานสมโภช แน่นอนว่าซวนเอ๋อร์ยังเป็นตัวหลัก แล้วครั้งนี้นางก็ยังแต่งตัวสูงส่งเหมือนสองครั้งก่อนหน้านี้ ด้วยนางและซวนเอ๋อร์แบกหน้าตาของจวนตวนชินอ๋องเอาไว้ ไม่อาจถ่อมตัวมากเกินไปได้ 

 

 

อีกทั้งต้องเผชิญหน้ากับฮองเฮา หากถ่อมตัวมากเกินไปก็เท่ากับแสดงความอ่อนแอมิใช่หรือ? ตอนนี้นางย่อมไม่อาจอ่อนแอได้ ในทางตรงกันข้าม ยิ่งเป็นตอนนี้นางควรวางตัวสูงอีกสักหน่อย ให้คนอื่นรู้ว่าจวนตวนชินอ๋องยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น และยิ่งไม่อาจกดหัวได้ด้วยง่าย 

 

 

เพราะงานสมโภชสิ้นปี ครั้งนี้ไทเฮาต้องเสด็จออกมาร่วมงาน แต่เนื่องจากปัญหาสุขภาพทำให้อยู่นานไม่ได้ก็เท่านั้นเอง 

 

 

แต่ยามนี้ถาวจวินหลันกังวลเรื่องของฮ่องเต้มากที่สุด หลังจากเทศกาลล่าปาครั้งนั้น พระวรกายของฮ่องเต้ก็ไม่ค่อยสู้ดีมาตลอด  

 

 

ที่จริงแล้วเรื่องที่ทำให้นางกังวลใจยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือโจรลอบสังหารครั้งที่แล้ว หลังจากที่ส่งให้ฮ่องเต้ไปก็ไม่มีข่าวคราวอะไรอีก ทำให้นางอึดอัดใจมาก 

 

 

พูดตามเหตุผลแล้วก็เป็นเพียงการไต่สวนโจรลอบสังหารคนหนึ่งเท่านั้น จะยากสักเท่าไรกัน? แล้วยังต้องเสียเวลามากมายเท่าไรกัน? ต่อให้ไม่ไต่สวนไม่ได้ข่าวกลับมามากนัก แต่ก็ควรมีผลอะไรสักอย่าง 

 

 

หากไม่ได้ผลอะไรเลยก็ยิ่งร้อนใจ 

 

 

ถาวจวินหลันพบแล้วว่าช่วงนี้ไม่มีเรื่องอะไรคืบหน้าเลยทั้งนั้น ได้แต่หยุดนิ่งอยู่ที่เดิมมาโดยตลอด  

 

 

เพราะไม่อยากทักทายคนอื่น ดังนั้นถาวจวินหลันจึงคำนวณเวลาก่อนจะไป หลังจากไปถึงแล้วเพิ่งจะนั่งลงบนที่นั่งของตนเอง ฮ่องเต้ก็เสด็จมาพร้อมกับไทเฮา 

 

 

ด้วยฮ่องเต้เป็นลูกชาย จึงเดินมาพร้อมกับไทเฮา ส่วนฮองเฮานั้นเดินตามหลังห่างไปอีกหน่อย 

 

 

ถาวจวินหลันเหลือบมองสีหน้าของฮ่องเต้ เห็นว่าใบหน้าของฮ่องเต้ไม่ได้โทรมนัก ถึงได้ถอนใจ ในเพราะตอนนี้ร่างกายของฮ่องเต้สำคัญมากที่สุด 

 

 

ฮ่องเต้นั่งลงบนพระที่นั่ง ส่วนไทเฮากับฮองเฮาก็แบ่งไปนั่งสองฝั่ง 

 

 

ถาวจวินหลันลุกขึ้นพลางค้อมตัวทำความเคารพทั้งสามคน หลังจากทำความเคารพแล้วก็นั่งลงไปใหม่ ถึงได้มีเวลาไปพิจารณาคนอื่น 

 

 

พอเหลือบมองดูฮองเฮา ถาวจวินหลันก็พบว่าหลายวันมานี้ฮองเฮาคงคงไม่ได้รู้สึกดีไปกว่ากันนัก มิเช่นนั้นแล้วใต้ตาก็คงจะไม่มีรอยดำคล้ำ และไม่ได้ดูซูบเซียวขนาดนี้ 

 

 

ท่าทีของฮองเฮาใช้ได้เพียงคำว่าซูบเซียวมาพรรณนาเท่านั้น 

 

 

แล้วถาวจวินหลันก็เริ่มคิดขึ้นมาได้ ทำไมฮองเฮาถึงซูบโทรม? เป็นเพราะเรื่ององค์รัชทายาท หรือว่าแผนการของฮองเฮามีการเปลี่ยนแปลงอะไร? 

 

 

ขณะที่กำลังครุ่นคิด ฮ่องเต้ก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาเปิดงาน ถาวจวินหลันย่อมต้องดื่มแก้วหนึ่งตามไปด้วย แม้แต่ซวนเอ๋อร์ก็ยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นมาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว 

 

 

ฮ่องเต้ดื่มแก้วแรก จากนั้นก็เป็นเวลาที่คนอื่นต้องมาชนแก้วเหล้าทำความเคารพฮ่องเต้ ถาวจวินหลันยิ้มพลางมองซวนเอ๋อร์ พูดเสียงเบาว่า “ซวนเอ๋อร์ไปทำความเคารพเสด็จปู่กับเสด็จทวดเถิด” 

 

 

ซวนเอ๋อร์ถือว่าเป็นสมาชิกผู้ชายเพียงคนเดียวของจวนตวนชินอ๋องที่มาร่วมงานนี้ ฉะนั้นในตอนนี้ย่อมต้องออกหน้าด้วย แต่เดิมถาวจวินหลันยังกลัวว่าซวนเอ๋อร์จะหวาดกลัว แต่พอเห็นซวนเอ๋อร์ถือแก้วน้ำผลไม้ของตนเองยืนขึ้นมา ก็อดหัวเราะไม่ได้ เขาดูไม่กลัวแม้แต่น้อย ดูเหมือนนางคงกังวลไปเองเสียแล้ว 

 

 

ซวนเอ๋อร์คุกเข่าลงไปต่อหน้าฮ่องเต้ท่ามกลางผู้คนมากมายอย่างถูกต้อง ยกแก้วของตนเองขึ้นแล้วพูดเสียงดัง “หลานขออวยพรเสด็จปู่! ขอให้เสด็จปู่สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว” 

 

 

ฮ่องเต้ได้ยินพลันดีใจ หัวเราะเสียงดังพูดว่า “ดีๆๆ สมเป็นหลานของข้า ตกรางวัล!” 

 

 

ขันทีเป่าฉวนหยิบกิเลนน้อยทองแดงออกมา แขวนไว้ที่คอของซวนเอ๋อร์ด้วยตนเอง พลางหยิบก้อนเงินทองออกมาอีกถาดหนึ่ง ถือว่ามอบอั่งเปาให้ 

 

 

ซวนเอ๋อร์อวยพรไทเฮา สิ่งที่ไทเฮาให้เป็นจี้ปรารถนาสีทองอีกหนึ่งเส้น และให้ก้อนเงินทองออกมาอีกหนึ่งถาด 

 

 

สุดท้ายซวนเอ๋อร์ก็ไปทำความเคารพฮองเฮา แต่เพราะฮองเฮากับซวนเอ๋อร์ไม่ได้คุ้นเคยกัน ย่อมไม่อาจพูดคารมคมคายเหมือนก่อนหน้านี้ได้ หลังจากทำความเคารพและอวยพรแล้วก็ไม่ได้มีอะไรอีก 

 

 

แต่ฮองเฮาไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อย อมยิ้มแล้วทานสิ่งของ แล้วยังเอ่ยชื่นชมอีกสองสามคำ 

 

 

“ซวนเอ๋อร์มาหาทวดเร็วเข้า มานั่งตรงนี้ อีกครู่หนึ่งจะได้ดูการแสดงชัดๆ” ไทเฮาอมยิ้มพลางโบกมือเรียกซวนเอ๋อร์ไปหน้าตนเอง จากนั้นก็ส่งสิ่งของที่อยู่บนคอของซวนเอ๋อร์ทั้งหมดให้นางกำนัลถือไว้ 

 

 

ถาวจวินหลันลอบถอนหายใจ ของเหล่านั้นมีสิ่งที่ฮองเฮามอบให้ด้วย ย่อมต้องระวังไว้ให้ดี 

 

 

จากนั้นลูกๆ ของจวงอ๋องและอู่อ๋องก็เข้ามาอวยพร ขออั่งเปา จากนั้นก็เป็นองค์ชายเก้า 

 

 

พออวยพรกันหมดแล้ว ก็เริ่มการระบำเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศ งานสมโภชที่แท้จริงถึงได้เริ่มขึ้น 

 

 

แต่ถาวจวินหลันคิดในใจว่าการระบำที่ฝึกซ้อมมาอย่างละเอียดนั้น ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่ตั้งใจดู อย่างตัวนางเอง แม้จะบอกว่าตามอง แต่ก็ไม่ได้เก็บไปคิดในใจแม้แต่น้อย เพราะในใจเต็มไปด้วยเรื่องอื่น 

 

 

ไม่ว่าในใจของคนอื่นจะเป็นอย่างไร บรรยากาศในงานสมโภชครั้งนี้ก็ยังถือว่าไม่เลว จนฮ่องเต้หลุดมือทำแก้วแตกไปหนึ่งใบ 

 

 

ตอนนั้นถาวจวินหลันไปหาซวนเอ๋อร์พอดี ดังนั้นจึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ฮ่องเต้ไม่ได้ทำหลุดมือ แต่เพราะมือสั่นมากเกินไป จนจับแก้วไว้ไม่อยู่ 

 

 

หลังจากเสียงแตกกระจายดังขึ้น ฉับพลันนั้นบรรยากาศงานสมโภชก็เงียบลงทันที ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก แม้แต่นางระบำและนักดนตรีก็ชะงักไปเช่นเดียวกัน  

 

 

บรรยากาศเปลี่ยนไปเป็นอึดอัดโดยพลัน 

 

 

ฮ่องเต้คิดว่า แค่ทำแก้วหลุดมือแตกไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็จริง แต่พอคนอื่นๆ มีปฏิกิริยาเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องกลบเกลื่อนอย่างไร  

 

 

อีกทั้งถาวจวินหลันก็ยังไม่มั่นใจว่ามีคนเห็นแบบที่ตนเองเห็นอีกมากเท่าไร 

 

 

แล้วก็มีเสียงเด็กเล็กเอ่ยปากพูด “ปลอดภัยทุกปี ปลอดภัยทุกปี*” 

 

 

ถาวจวินหลันรู้ได้ทันทีว่าเป็นซวนเอ๋อร์ จากตอนแรกที่ตึงเครียด ก็ผ่อนคลายลงแล้ว ซวนเอ๋อร์รู้จักคำนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? อีกทั้งยังเอามาใช้ตอนนี้อีก 

 

 

หรือจะเป็นไทเฮา? ถาวจวินหลันนึกได้ตามสัญชาตญาณ 

 

 

แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ซวนเอ๋อร์เบี่ยงเบนความสนใจเช่นนี้ ก็ให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดเหมือนเดิม ฮ่องเต้หัวเราะพลางพูดว่า “คำพูดของเด็กจริงใจเสมอ ไม่ใช่ว่าปลอดภัยตลอดปีหรืออย่างไร?” 

 

 

ดังนั้นเรื่องนี้จึงจบไปเช่นนี้ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของฮ่องเต้ แล้วงานสมโภชก็จบลงอย่างรวดเร็ว 

 

 

ตอนที่ถาวจวินหลันกลับมาถึงจวน ท้องฟ้าก็เพิ่งจะมืดลงไม่นาน งานสมโภชเริ่มตอนบ่าย จุดประสงค์ก็เพื่อไม่ให้กลับดึกมากเกินไป 

 

 

ที่จริงแล้วยังมีเรื่องอีกมากมายที่ไม่ได้ทำ อย่างเช่นการจุดพลุ การบูชาบรรพบุรุษเป็นต้น แต่ฮ่องเต้ไม่ได้พูดถึง แล้วใครจะกล้าถามให้มากความเล่า?  ดังนั้นจึงทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้นมาก่อน แล้วปล่อยผ่านไป 

 

 

ซวนเอ๋อร์ใจจดใจจ่อกับการจุดพลุ จึงถามถึงเรื่องนี้ ถาวจวินหลันยิ้มพลางรับปากว่าจะจุดพลุ สุดท้ายนางก็คิดถึงภาพเหตุการณ์ในวังหลวง จึงถามไปว่า “ปลอดภัยตลอดปี คำนี้ใครสอนเจ้า?” 

 

 

ซวนเอ๋อร์ยิ้มตาหยีพลางตอบว่า “ครั้งที่แล้วได้ยินชิวกูกูพูดขอรับ” 

 

 

ชิวกูกูคนนี้ ก็คือชิวจื่อ 

 

 

ชิวจื่อได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “สองวันก่อนหน้านี้ซวนเอ๋อร์ทำแจกันใบหนึ่งแตก ข้าจึงพูดออกมาตามความเคยชิน ใครจะรู้ว่าเด็กหัวไวคนนี้จำได้ขึ้นใจ” 

 

 

ถาวจวินหลันอดหัวเราะไม่ได้ “ช่างบังเอิญนัก” ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ก็ไม่รู้ว่าบรรยากาศในงานจะต้องอึดอัดมากเช่นไร 

 

 

แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร อย่างน้อยวันนี้ก็เป็นวันสิ้นปี ถาวจวินหลันยังให้คนที่อยู่ในจวนมารวมตัวกันทั้งหมดเพื่อกินอาหารร่วมโต๊ะ 

 

 

แน่นอนว่าไม่สนใจเจียงอวี้เหลียนกับเซิ่นเอ๋อร์ที่อยู่ในวังหลวง 

 

 

นางเพิ่งจะทานข้าวไปได้ครึ่งเดียว ซวนเอ๋อร์ก็นั่งไม่ติดอีก บิดไปมามองออกไปข้างนอก 

 

 

ถาวจวินหลันรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาอยากจะไปจุดพลุแล้ว จึงหัวเราะและให้คนพาเขาออกไปจุดพลุ แต่ถึงจะพูดเช่นนี้ ซวนเอ๋อร์ย่อมไม่อาจออกไปจุดเองได้ จึงทำได้แค่ให้คนไปจุดให้ ส่วนซวนเอ๋อร์ยืนดูอยู่ตรงนั้น 

 

 

เสียงพลุก็ดังกระจายไปทั่วท้องฟ้า ฉับพลันนั้นบรรยากาศก็ดูครึกครื้นขึ้นมาก 

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มพูดกับจิ้งหลิงว่า “ผ่านไปอีกสองปี เด็กสาวทั้งสองคนก็โตจนวุ่นวายเช่นนี้แล้ว” 

 

 

จิ้งหลิงปิดหูของกั่วเจี่ยเอ๋อร์เอาไว้พลางหัวเราะและพูดว่า “ซวนเอ๋อร์ไม่กลัวเลย แต่กั่วเจี่ยเอ๋อร์กลัวมาก คิดว่าวันข้างหน้าคงไม่กล้าเล่นของเหล่านี้” 

 

 

ตอนที่กำลังพูดคุยกันสนุกสนาน ฉับพลันด้านนอกก็มีคนตะโกนเสียงดัง “ท่านอ๋องกลับมาแล้ว! ท่านอ๋องกลับมาแล้ว!” 

 

 

ถาวจวินหลันมึนงง ฟังไม่ชัดเท่าไรนัก จึงหันไปถามจิ้งหลิง “เจ้าได้ยินข้างนอกส่งเสียงดังอะไรหรือไม่?” 

 

 

จิ้งหลิงได้ยินอย่างชัดเจน จึงหันไปพูดกับถาวจวินหลันอย่างตื่นเต้นว่า “บอกว่าท่านอ๋องกลับมาแล้ว!” ตอนที่พูดนั้นจิ้งหลิงก็รีบลุกขึ้นมา 

 

 

 หลังจากที่ถาวจวินหลันตกใจแล้วนั้น ก็รีบลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก ในใจนั้นยังคงล่องลอยตื่นตะลึง หลี่เย่จะกลับมาได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าฟังผิดแล้วอย่างนั้นหรือ? แต่ถาวจวินหลันก็รู้ว่าตนเองฟังไม่ผิดทันที เพราะด้านนอกมีเสียงตะโกนดังขึ้นอีก 

 

 

คนที่เข้ามารายงานเป็นบ่าวผู้ชาย เห็นถาวจวินหลันก็ยิ่งตื่นเต้นเสียงดังมากกว่าเดิม “ชายารอง ท่านอ๋องกลับมาแล้วขอรับ! ในวังหลวงส่งรถมารับท่านเข้าวังหลวงขอรับ!” 

 

 

ถาวจวินหลันจำได้ว่าบ่าวชายคนนี้เป็นคนที่รับหน้าที่ดูประตู จึงรีบถามต่อว่า “แล้วท่านอ๋องเล่า?” 

 

 

 

 

 

*คำว่า 碎(ซุ่ย) แปลว่าละเอียด แต่ออกพ้องเสียงกับคำว่า 岁 (ซุ่ย) ที่แปลว่าอายุ