บทที่ 562 รอยเลือด

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันรีบถาม “เช่นนั้นท่านอ๋องเล่า?” 

 

 

บ่าวชายตอบว่า “เข้าวังหลวงไปแล้วขอรับ ตอนนี้ในวังส่งรถออกมารับ บอกว่าให้รับท่านเข้าไปพบหน้าท่านอ๋องในวังหลวงขอรับ” 

 

 

ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว “ท่านอ๋องเข้าไปก่อนแล้วหรือ? แล้วคนติดตามของเขาเล่า? ทำไมถึงไม่ส่งคนมารายงาน?” นี่ไม่เหมือนนิสัยของหลี่เย่เลย 

 

 

บ่าวชายตะลึงไป แต่กลับไม่ตอบอะไร 

 

 

ถาวจวินหลันหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นยิ้มและพูดว่า “พวกเราใช่ว่าจะไม่มีรถ ทำไมจะต้องรบกวนคนในวังหลวงด้วยเล่า? เจ้าให้คนกลับไปก่อน ข้าจะไปเปลี่ยนชุด แล้วจะพาซวนเอ๋อร์เข้าไปด้วย อย่างไรซวนเอ๋อร์ก็ไม่ได้เจอบิดาของเขานานมากแล้ว บอกว่าอยากเจอบิดาของเขาอยู่พอดี” 

 

 

พอพูดจบถาวจวินหลันก็ไม่รอให้บ่าวชายพูดอะไร ก่อนหมุนตัวเข้าไปในห้อง บรรดาบ่าวหญิงย่อมต้องไม่ยอมให่บ่าวชายเข้ามา จึงอมยิ้มพลางส่งออกไปจากเรือน 

 

 

ถาวจวินหลันเบนหน้ามองจิ้งหลิงที่มีท่าทีครุ่นคิด ก่อนถอนหายใจ “เจ้าคิดว่าเรื่องนี้น่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด?” 

 

 

จิ้งหลิงตื่นตกใจ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “หรือว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องเท็จอย่างนั้นหรือ? วังหลวงกล้าสร้างเรื่องอย่างนั้นหรือ? หากท่านอ๋องไม่ได้กลับมา พวกเขาจะกล้าพูดมั่วได้อย่างไร?” 

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะไม่พูดจา 

 

 

แล้วจิ้งหลิงก็คิดได้เอง ใครบอกว่าไม่มีทางเป็นเรื่องโกหก? ไม่ใช่คนข้างกายฮ่องเต้หรือว่าคนข้างกายไทเฮาที่มาถ่ายทอดคำพูด คำพูดของขันทีหรือนางกำนัลที่ไม่คุ้นหน้าไฉนเลยจะน่าเชื่อถือ? อีกทั้งบอกว่ามารับคนเข้าวังหลวง แต่ใครจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วจะพาไปที่ไหน? 

 

 

จิ้งหลิงตัวสั่นสะท้าน รู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองคิดเหล่านี้น่ากลัวเกินไป  

 

 

ถาวจวินหลันเห็นว่าจิ้งหลิงเข้าใจความหมายของตนเอง จึงถามอีกครั้ง “เจ้าว่าน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด?” 

 

 

จิ้งหลิงตั้งใจครุ่นคิด สุดท้ายก็ส่ายหัว “เกรงว่าจะน่าเชื่อถือเพียงห้าส่วนเท่านั้น” เงียบไปครู่หนึ่ง ก็รีบถามถาวจวินหลัน “ถ้าอย่างนั้นชายารองยังจะเข้าวังหลวงอีกหรือเจ้าคะ?” 

 

 

ถาวจวินหลันยิ้ม พยักหน้าตอบกลับ “แน่นอนว่าต้องเข้าวัง แต่จะนั่งรถม้าของจวนตนเองไป อีกทั้งยังพาคนคุ้มกันไปด้วย หลังจากข้าไปแล้ว เจ้าก็อยู่ที่เรือนเฉินเซียงคอยดูแลเด็กๆ ก่อน หากถึงเวลานั้นมีเรื่องแปลกไป เจ้าก็เรียกรวมตัวคนในจวนทั้งหมด เก็บตัวหลบอยู่ในเรือนเฉินเซียงก็พอแล้ว  

 

 

นอกจากเจ้าและเด็กๆ คนอื่นไม่จำเป็นต้องสนใจ” 

 

 

เมื่อคำพูดนี้ดังออกมา จิ้งหลิงก็ตกใจจนนิ่งไปทันที “หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรในจวนหรือเจ้าคะ?” 

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า “เพียงกำชับเอาไว้เท่านั้นเอง เหตุเพลิงไหม้คราวที่แล้ว จนถึงตอนนี้ข้ายังกังวลอยู่” แน่นอนว่าไม่ใช่การกำชับทั่วไป เพราะนางรู้สึกว่านี่อาจเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำ ด้วยกังวลเช่นนี้ นางจึงไม่อยากออกจากจวนนัก 

 

 

แต่เรื่องเกี่ยวกับหลี่เย่ นางจึงต้องเข้าไปดูในวังหลวง ดังนั้นพอคิดไปคิดมา สุดท้ายแล้วก็กำชับจิ้งหลิงไว้ก่อน เพราะคนที่นางเชื่อใจได้ก็มีเพียงจิ้งหลิงเท่านั้น 

 

 

นางต้องทำให้จิ้งหลิงเข้าใจว่าหากพบเหตุร้ายจริงๆ อะไรที่สำคัญมากที่สุด คนอื่นหรือของอย่างอื่นภายในจวนล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเด็กทั้งสามคน จะต้องปกป้องเด็กทั้งสามคนให้ดี ต่อให้จวนตวนชินอ๋องต้องราบเป็นหน้ากลองก็ไม่น่าปวดใจ แต่ในทางตรงกันข้าม หากเด็กทั้งสามคนต้องหกล้มถลอกไปแม้แต่นิดเดียว นางคงเจ็บปวดใจมาก 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ คาดหวังจากใจจริงว่าสิ่งที่ตนเองกังวลเหล่านี้จะเป็นเพียงตีตนไปก่อนไข้เท่านั้น  

 

 

จิ้งหลิงพยักหน้ารับเคร่งขรึม “ท่านเข้าวังหลวงไปอย่างวางใจเถิด แม้นต้องชีวิตหาไม่ ข้าก็ไม่มีทางปล่อยให้เด็กสามคนเป็นอะไรไปเด็ดขาด” 

 

 

ถาวจวินหลันนึกถึงอาอู่ขึ้นมากะทันหัน จึงรีบลากจิ้งหลิงเข้ามา และกระซิบบอกฐานะของอาอู่ข้างหูของนาง แต่นางไม่ได้บอกจิ้งหลิงว่าเกิดจากอี๋เฟยและองค์รัชทายาท บอกแค่ว่าองค์รัชทายาทแอบเลี้ยงดูไว้ และนางลักพาตัวมาเป็นตัวประกัน 

 

 

ต่อให้เป็นเช่นนี้จิ้งหลิงก็ยังตกใจอยู่ดี ลูกนอกสมรสขององค์รัชทายาทอยู่ในจวนตวนชินอ๋อง นี่ไม่น่าตกใจหรืออย่างไร? เพียงไม่นาน จิ้งหลิงก็มองถาวจวินหลันด้วยสงสัยเล็กน้อย 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นสายตาของจิ้งหลิงก็อึดอัด จึงเลิกคิ้วถามนางว่า “ทำไมมองข้าเช่นนี้?” 

 

 

จิ้งหลิงส่ายหน้าน้อยๆ จากนั้นก็รำพึงรำพันว่า “ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะเสียดายในภายหลังหรือไม่” เสียดายที่ไม่ได้กำจัดถาวจวินหลันไปตั้งแต่แรก เสียดายที่ไม่ลงมือทำให้ถาวจวินหลันตกที่นั่งลำบากในทุกทาง เสียดายที่ให้โอกาสถาวจวินหลันในการเติบโต 

 

 

ถาวจวินหลันเป็นคนมีความสามารถมาก ใครๆ ก็คิดไม่ถึงว่า นางจะเอาลูกชายขององค์รัชทายาทมาเลี้ยงดูได้ 

 

 

ถาวจวินหลันตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง ยิ้มพลางส่ายหน้าเดินออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ได้พูดอะไรกับจิ้งหลิงอีก นางเข้าใจความหมายของจิ้งหลิงดี นางคิดว่าบางทีฮองเฮาอาจจะรู้สึกเสียดาย หากตอนนี้ให้โอกาสฮองเฮาอีกครั้ง ฮองเฮาคงกำจัดนางตั้งแต่แรกอย่างแน่นอน คงไม่ปล่อยนางมาจนถึงตอนนี้ 

 

 

หากนางเป็นฮองเฮา นางก็ต้องรู้สึกเสียดาย จะมีอะไรที่ทำให้คนรู้สึกสะอึกอยู่ในลำคอได้ดีไปกว่าเลี้ยงดูศัตรูที่สร้างความวุ่นวายให้ตนเองภายหลังอีกเล่า? 

 

 

ไม่เหมือนกับที่คิดเอาไว้ ถาวจวินหลันคิดว่าระหว่างทางที่เข้าวังหลวงอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่คิดไม่ถึงว่ากลับเงียบสงบตลอดทาง จนเข้ามาในวังหลวงนางก็ยังไม่อยากเชื่อเท่าไรว่าจะง่ายดายขนาดนี้ 

 

 

นางคิดว่าบางทีนางคงเอาแต่หวาดระแวงฮองเฮาอยู่ตลอดเวลา จนรู้สึกอ่อนไหวไปบ้าง แม้กระทั่งเกิดเรื่องคับขันอะไร นางก็หวาดระแวงไปหมด แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็มองเห็นเป็นทหารทั้งสิ้น 

 

 

ถาวจวินหลันถามทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูวังเป็นการเฉพาะ “ตวนชินอ๋องกลับวังมาแล้วจริงหรือ?” 

 

 

องค์รักษ์ที่เฝ้าประตูรู้ฐานะของนาง จึงตอบกลับอย่างนอบน้อม “ตวนชินอ๋องกลับมาแล้วขอรับ” 

 

 

ถาวจวินหลันอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกยินดีเป็นที่ยิ่ง คิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะกลับมาจริงๆ นี่ถือเป็นเรื่องดีมากเหลือเกิน! 

 

 

แต่หลังจากรู้สึกยินดีแล้ว นางก็อดกังวลไม่ได้ หลี่เย่กลับมาตอนนี้จะถูกกล่าวโทษหรือไม่? อย่างไรเรื่องที่ฮ่องเต้ให้เขาไปจัดการ เขาต้องยังทำไม่เสร็จเป็นแน่ หากฮ่องเต้ขุดเรื่องมาตำหนิจริงๆ สุดท้ายแล้วคงไม่อาจอธิบายได้ อีกทั้งกลับมาในเวลานี้คงไม่กลับไปอีกแล้วกระมัง? 

 

 

ยังดีที่ถาวจวินหลันรู้ว่าหลี่เย่อยู่ที่ไหน นางจึงรีบตรงเข้าไป แต่ถาวจวินหลันก็ต้องแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะอยู่ในวังของฮองเฮา 

 

 

สิ่งนี้ทำให้ถาวจวินหลันรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกเท่าไรนัก ในเมื่อกลับมาแล้ว ก็คงต้องเข้าไปทำความเคารพฮองเฮาด้วย อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันสิ้นปีอีก 

 

 

หลังจากถึงตำหนักของฮองเฮาแล้ว ถาวจวินหลันก็เข้าใจโดยพลันว่าตนเองเดาผิด  

 

 

ที่จริงแล้วหลี่เย่ไม่ได้กลับมาคนเดียว ยังมีองค์ชายรัชทายาทกลับมาพร้อมกันด้วย 

 

 

ใช่แล้ว องค์รัชทายาทก็กลับมาด้วย พอได้ยินเรื่องนี้ถาวจวินหลันก็นึกว่าตนเองฟังผิดไป อย่างไรองค์ชายรัชทายาทกับหลี่เย่ก็ไม่ถูกกันนัก นางเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่าใคร อีกทั้งดูจากฐานันดรที่แข่งกันของทั้งสองคนแล้ว มองอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่วางความแค้นก่อนหน้านี้แล้วกลับมาพร้อมกันได้ 

 

 

เรื่องนี้จะมีเบื้องลึกอะไรหรือไม่? จากนั้นถาวจวินหลันก็เดาได้ตามสัญชาตญาณ 

 

 

ในตำหนักของฮองเฮายุ่งวุ่นวายมาก นางกำนัลล้วนมีท่าทีเร่งรีบ สีหน้าไม่ยินดีเท่าไรนัก และหลังจากถาวจวินหลันเข้าไปในห้อง ก็เห็นว่าทั้งฮ่องเต้กับฮองเฮาอยู่ในนั้น แน่นอนว่าหลี่เย่ก็อยู่ด้วย 

 

 

นางสังเกตเห็นเขาแทบจะภายในเสี้ยวนาทีแรก แม้ว่าจะคิดถึงมาก แต่ตอนนี้กลับไม่กล้ามองนัก หลังจากทำความเคารพฮ่องเต้และฮองเฮาอย่างถูกต้องตามกฎระเบียบแล้ว ก็หลุบตามองไปยังหลี่เย่ 

 

 

บรรยากาศในห้องแปลกไปเล็กน้อย เพียงไม่นาง ถาวจวินหลันก็ชะงักไป และยิ่งไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไรอีก เพียงแค่เหลือบตาพิจารณาหลี่เย่เท่านั้น 

 

 

หลี่เย่มีท่าทีไม่ค่อยดีนัก อาจด้วยเหน็ดเหนื่อยจากต้องเร่งรีบเดินทาง จากเดิมผมสีดำสนิทเป็นประกาย กลับดูหมองลง อีกทั้งยังดูผ่ายผอมลงไปด้วย 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นแล้วก็เจ็บปวดใจมาก สุขภาพของหลี่เย่ไม่ได้ดีมาตั้งแต่แรก ไม่รู้ว่ากว่าจะฟื้นฟูกลับมาต้องเสียแรงไปมากเท่าไร คราวนี้ผอมลงไปมากขนาดนี้ นางไม่เพียงกังวลว่าสุขภาพของเขาจะแย่ลง แต่ที่มากไปกว่านั้นคือไม่พอใจ กว่าจะขุนจนมีเนื้อหนังได้ก็ไม่ง่ายนัก ตอนนี้กลับซูบผอมไปหมดแล้วนางจะพอใจได้อย่างไร? 

 

 

จากนั้นถาวจวินหลันก็สังเกตเห็นว่า เสื้อผ้าของหลี่เย่มีรอยเลือดติดอยู่ด้วย 

 

 

ฉับพลันนางก็ตกใจไม่น้อย ที่มองออกว่าเป็นเลือด ก็เพราะว่ารอยเลือดยังสดใหม่อยู่มาก แม้จะบอกว่าแห้งแล้วเล็กน้อย แต่ก็ยังมองออกว่าเป็นสีของเลือด 

 

 

ความคิดแรกก็คือ หรือว่าหลี่เย่จะได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ? จากนั้นนางก็รีบปัดความคิดนี้ออกไปโดยพลัน อยู่ดีๆ หลี่เย่จะบาดเจ็บได้อย่างไร? หากบาดเจ็บจริง หลี่เย่คงไม่นั่งดื่มชาอยู่ตรงนี้ อีกทั้งดูจากท่าทีแล้วเหมือนเป็นรอยเลือดของคนอื่นมาเปื้อนตัวเขา ไม่เหมือนไหลซึมออกมาจากร่างกายเขาเลยสักนิด 

 

 

ความคิดที่สองคือ เลือดนั้นเป็นของใครกันแน่? หลี่เย่ไปเปื้อนมาได้อย่างไร? 

 

 

ถาวจวินหลันอยากจะถาม แต่บรรยากาศในตอนนี้ทำให้นางไม่กล้าเปิดปากพูด ทำได้เพียงรอ 

 

 

ผ่านไปนาน ตอนที่ถาวจวินหลันคิดว่าคืนนี้คงต้องยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคืน ภายในห้องก็มีบรรดาหมอหลวงเดินออกมากะทันหัน 

 

 

ถาวจวินหลันถึงได้คิดว่า ที่บรรยากาศในห้องเป็นเช่นนี้ เกรงว่าเป็นเพราะทุกคนกำลังรอฟังผลตรวจของหมอหลวง 

 

 

แต่พอคิดดูเล็กน้อย นางก็รู้แล้วว่าคนที่นอนอยู่ภายในห้องเป็นใคร น่าจะเป็นองค์ชายรัชทายาท มีเพียงองค์ชายรัชทายาทเท่านั้นที่นอนบนเตียงฮองเฮาได้ และยังทำให้ฮองเฮาเป็นกังวลเช่นนี้ 

 

 

พอหมอหลวงออกมา ฮองเฮาก็ถามอย่างกะวีกระวาดร้อนใจ “อาการขององค์ชายรัชทายาทเป็นอย่างไร?” 

 

 

หมอหลวงทำหน้าลำบากใจ มองสบตากัน ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูด 

 

 

พอเห็นภาพตรงหน้านี้ ถาวจวินหลันก็เข้าใจในทันใด เกรงว่าอาการขององค์ชายรัชทายาทคงไมสู้ดีนัก จนหมอหลวงไม่กล้าเอ่ยปากพูด 

 

 

อย่างไรไม่ว่าจะพูดอะไรออกมาตอนนี้ ก็ต้องรับผิดชอบทั้งนั้น หากหมอหลวงบอกว่าองค์รัชทายาทไม่เป็นอะไร แต่สุดท้ายผลออกมาว่าองค์รัชทายาทป่วยหนักมาก เช่นนั้นหมอหลวงก็จะต้องรับผิดชอบ 

 

 

เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาเข้าใจความหมายที่หมอหลวงแสดงออกมาอย่างชัดเจน สีหน้าก็ยิ่งไม่น่ามองมากขึ้นหลายส่วน ตบที่วางมือบนเก้าอี้ลงอย่างแรง ก่อนตะคอกถาม “ไม่มีใครยอมพูดเลยอย่างนั้นหรือ? พูดมา! องค์รัชทายาทเป็นอะไร!” 

 

 

ด้วยฮองเฮาแสดงความเกรี้ยวโกรธขนาดนี้แล้ว หมอหลวงต่างก็พากันลงไปนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น แต่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรทั้งสิ้น 

 

 

ภายในห้องนั้นเงียบสงัด แม้แต่ฮองเฮาเองก็เหมือนไม่กล้าถามอีก ด้วยเกรงว่าข่าวที่ได้ยินมาคงไม่ใช่ข่าวดีนัก 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจเบาๆ พอดูแล้วเกรงว่าองค์รัชทายาทคงจะมีแนวโน้มไปทางร้ายมากกว่าดี