เล่ม 14 ตอนที่ 22

Memorize

เมืองทางใต้ โมนิก้า เลิฟเฮาส์ 

 

 

“ขอโทษจริงๆ ค่ะคุณฮันนา ความไร้มารยาทที่สมาชิกเผ่าของพวกเรากระทำต่อคุณฮันนาเมื่อครั้งก่อน ฉันต้องขอโทษแทนด้วยค่ะ” 

 

 

ชั้นหนึ่งของเลิฟเฮาส์มีหญิงสาวสองคนอยู่ คนหนึ่งเป็นหญิงสาวที่หวีผมเก็บอย่างเรียบร้อยและสวมเสื้อคลุมสำหรับนักเวทอย่างสุภาพ ส่วนอีกคนคือมาดามอิมฮันนาของเลิฟเฮาส์ หญิงสาวที่สวมชุดคลุมสีขี้เถ้าอย่างเรียบร้อยกำลังก้มหัวงกๆ ให้อิมฮันนา 

 

 

อิมฮันนามองท่าทางของเธอแล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาด้วยใบหน้าลำบากใจ 

 

 

“ไม่หรอกค่ะ ไม่เป็นไร ฉันกลับคิดว่าตัวเองควรจะต้องเป็นฝ่ายขอโทษเสียอีกเพราะตอนนั้นปฏิเสธไปแบบนั้น ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจขนาดนั้นก็ได้ค่ะ” 

 

 

“ขอบคุณที่พูดแบบนั้นนะคะ พูดตามตรงว่าพวกเราก็วุ่นวายนิดหน่อยเหมือนกัน เยซึลน่ะชอบฮยอนกยู แต่ฮยอนกยูกลับไม่แม้แต่จะสังเกตสักนิดเลยจริงๆ…” 

 

 

“โฮะๆ ในฐานะผู้หญิงเหมือนกัน ฉันเข้าใจจิตใจแบบดีค่ะ ฉันเองก็ขอให้ทั้งสองคนไปด้วยกันได้ดีเร็วๆ นะคะ” 

 

 

ในที่สุดหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมาได้ ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะอย่างงดงามออกมา แต่เสียงหัวเราะนั้นคือการหัวเราะอันจืดชืดและไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ  

 

 

เป็นไปตามที่คิดไว้ ทีนี้คงตั้งใจจะค่อยๆ เริ่มเข้าประเด็นหลัก หญิงสาวจึงกระแอมครั้งสองครั้ง 

 

 

“อ้อ แล้วก็…คุณฮันนา ดูเหมือนว่าฉันจะต้องขอโทษเพิ่มอีกเรื่องน่ะค่ะ” 

 

 

“…ค่ะ” 

 

 

“สุดท้ายแล้ว ล่าสุดก็มีการอนุมัติให้เปลี่ยนเลิฟเฮาส์เป็นร้านเหล้าทั่วไปตั้งแต่วันนี้ค่ะ” 

 

 

“อ้อ…อย่างนั้นเองสินะคะ” 

 

 

“เฮ้อ ขอโทษจริงๆ ค่ะ ฉันรู้ว่าคนคนนั้นหวงแหนคุณฮันนามากขนาดไหน ถ้านึกถึงเรื่องนั้น พวกเราก็เลยไม่ทำแบบนี้ แต่สถานการณ์มันแย่ลงจริงๆ ค่ะ เป็นสถานการณ์ที่จะต้องยอมเสียแม้แต่สิ่งที่มีอยู่ใช่ไหมล่ะคะ ฉันกังวลเหมือนกันค่ะที่ต้องมาพูดเรื่องแบบนี้ระหว่างมาขอโทษ แต่ถึงอย่างนั้นก็บอกให้ทราบทีเดียว…” 

 

 

พออิมฮันนายอมรับอย่างง่ายดายเกินคาด หญิงสาวจึงเริ่มพรั่งพรูคำพูดที่เตรียมไว้ออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับรออยู่ อิมฮันนาฟังคำพูดของหญิงสาวแล้วพยักหน้าเบาๆ แต่ใบหน้าของเธอก็เผยให้เห็นสีหน้าที่บอกว่าช่วยไม่ได้อย่างแจ่มชัด 

 

 

หญิงสาวสังเกตใบหน้าของอิมฮันนาหนึ่งครั้งแล้วจึงพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบากว่าเมื่อครู่นี้เล็กน้อย 

 

 

“แล้วก็คุณทราบอยู่ใช่ไหมคะ ว่ามีคนมากมายมองเลิฟเฮาส์ไม่ดีมากๆ เลย คนคนนั้นเองก็จากไปเพราะเรื่องทีมกู้ภัยในครั้งนี้ด้วย ทางฝ่ายเราไม่มีกำลังที่จะรักษาที่นี่เอาไว้มากกว่านี้แล้วค่ะ” 

 

 

“…” 

 

 

“เพราะฉะนั้นคุณฮันนาคะ ไหนๆ ก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว มาถึงตอนนี้ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้วค่ะ ไม่ทราบว่าหลังจากนี้คุณไม่คิดจะเข้าร่วมเผ่าของพวกเราบ้างเหรอคะ พวกเราจะไม่ประพฤติตัวแย่ๆ กับคุณค่ะ หรือว่าถ้าเป็นเพราะสองคนนั้นก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไปก็ได้ค่ะ” 

 

 

“ช่วงนี้เรื่องในหัวของฉันตีกันนิดหน่อยน่ะค่ะ มีปัญหาของพวกเด็กๆ ด้วย ฉันกำลังค่อยๆ คิดอยู่ค่ะว่าจะทำยังไง ฉันจะลองคิดข้อเสนอที่คุณพูดมาสักครั้งด้วยเหมือนกันค่ะ” 

 

 

“ตามสบายเลยค่ะ อ้อ เลิฟเฮาส์มีกำหนดการว่าจะเริ่มปรับปรุงใหม่ในอีกเจ็ดวันนะคะ ถ้างั้นจนกว่าจะถึงตอนนั้นก็ขอฝากด้วยนะคะ” 

 

 

หญิงสาวคงพูดเรื่องที่จะพูดหมดแล้ว เธอจึงก้มหัวให้อย่างนอบน้อมอีกครั้งแล้วหมุนตัวไป 

 

 

อิมฮันนามองภาพด้านหลังของเธอที่เดินด้วยฝีเท้าที่สม่ำเสมอไปนอกประตู แล้วเธอก็เพียงแค่จ้องมองเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย 

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากจัดห้องเก็บของชั้นสามเสร็จแล้ว ผมเอาชนะความดื้อดึงของอันซลกับลูกยูนิคอร์นที่ดึงดันจะตามมาให้ได้ จากนั้นผมจึงไปถึงแท่นบูชาพร้อมกับคิมฮันบยอลได้อย่างยากลำบาก 

 

 

พูดตามตรงว่าครั้งนี้ผมไปเพราะมีธุระทางฝั่งของผมเอง แต่คิมฮันบยอลบอกว่าผู้ช่วยที่รับผิดชอบเธอเรียกหา เพราะฉะนั้นกำหนดการจึงตรงกันโดยบังเอิญ 

 

 

หลังจากพวกเราเดินช้าๆ มาถึงแท่นบูชา จากนั้นจึงไปยังห้องที่มีพอร์ทัลตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่แต่ละคน และในตอนที่เจ้าหน้าที่ออกไปพร้อมทั้งปิดประตูให้ ผมกำลังทอดสายตามองดูพอร์ทัลที่พลิ้วไหวเป็นแสงสีฟ้าอยู่ 

 

 

ผมนึกถึงทูตสวรรค์ที่กำลังรอคอยผมอยู่ข้างในแล้วผ่อนคลายความโกรธที่ล้นทะลักออกมาโดยอัตโนมัติให้ใจเย็นลง 

 

 

แน่นอนว่าเวลาพวกทูตสวรรค์ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย พวกเขาจะแสดงให้เห็นภาพลักษณ์ของการอุทิศตนเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ก็เป็นสถานการณ์ที่ผมมาขอความช่วยเหลือ ผมไม่สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องในเรื่องค่าความสามารถด้วยตัวเองได้ เพราะอย่างนั้นผมจึงจำเป็นต้องอดกลั้นท่าทีที่เปิดเผยให้เห็นความรู้สึกที่แท้จริงแล้วพานทำให้เสียเรื่อง 

 

 

ผมผ่อนคลายความรู้สึกภายในใจด้วยการสูดหายใจเข้าลึกๆ ผมสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่พร้อมกับวิ่งเข้าไปในพอร์ทัล 

 

 

พอพาตัวเองเข้าไปในพื้นที่ที่มีแสงสีฟ้าน้ำทะเลพลิ้วไหว พลังที่ไม่สามารถบรรยายได้ว่าคืออะไรก็เข้ามาโอบล้อมตัวผมไว้ ผมปล่อยร่างกายให้จมอยู่กับพลังที่เหมือนกับดึงร่างกายไป จากนั้นพอหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมาก็คงเข้ามาโดยไม่รู้ตัวแล้ว ผมจึงมองเห็นทิวทัศน์อันคุ้นเคยพลางกะพริบตาซ้ำๆ 

 

 

ทิวทัศน์ของที่แห่งนี้ไม่ว่าเมื่อไรก็เป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ผมมองดูรอบๆ จนทั่วแล้วพอเบนสายตาไปทางด้านหน้า ผมก็ได้เห็นแท่นบูชาทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าอันคุ้นเคย และตรงแท่นบูชานั้นก็น่าจะมีทูตสวรรค์คนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย 

 

 

พอเงยหน้าแล้วเบนสายตาขึ้นไปก็ได้เห็นทูตสวรรค์ผู้งดงามคนหนึ่งกำลังกระพือปีกโปร่งใสและจ้องมองผมอย่างที่คิด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยวี่แววของความขี้เล่นกับเส้นผมสีชมพูประกายทอง…หืม? 

 

 

‘อะไรน่ะ’ 

 

 

ทูตสวรรค์ที่นั่งอยู่บนนั้นโบกไม้โบกมือให้ ก่อนที่ผมจะพูดอะไรออกไปด้วยความสงสัยเสียด้วยซ้ำ  

 

 

“โอ้ ในที่สุดก็มาได้สักทีนะ สวัสดี~” 

 

 

“…” 

 

 

“ยังไงก็ตั้งใจจะเรียกตัวมาเร็วๆ นี้อยู่แล้ว ดีจัง~ ยินดีที่ได้เจอนะ! ฉันคือผู้ช่วยคนใหม่ที่มารับหน้าที่ให้คำปรึกษานายในครั้งนี้ ชื่อว่าซันดัลโฟน…” 

 

 

“นี่” 

 

 

พอผมพูดแทรกกลางคัน ซัลดันโฟนที่กระดิกนิ้วมือไปมาให้ผมก็เบิกตาโต แต่จากนั้นก็ค่อยๆ ยิ้มจนตาหยีพลางยักไหล่ ผมมองท่าทีนั้นแล้วไม่รู้ทำไมจึงรู้สึกไม่ชอบใจพอสมควร 

 

 

ผมวิเคราะห์สถานการณ์ในตอนนี้อย่างรวดเร็วแต่สุขุม สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ช่วยในระหว่างที่ผมไม่อยู่แน่ๆ มันไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะฉะนั้นนั่นจึงมีความเป็นไปได้มากที่สุด 

 

 

ผมนวดตรงขมับที่ปวดตุบๆ ขึ้นมาสองสามครั้ง จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบากับทูตสวรรค์ที่แย้มยิ้มอย่างเต็มไปด้วยความขี้เล่นอยู่ 

 

 

“พวกเธอเปลี่ยนแปลงผู้ช่วยโดยที่ผู้เล่นไม่ได้เห็นชอบด้วยเหรอ รีบเปลี่ยนกลับไปเป็นเซราฟอีกครั้งเร็ว” 

 

 

“จริงๆ เลย ทำไมใจร้อนแบบนี้นะ อย่าเอาแต่ทำท่าทางแบบนั้นแล้วรีบมานั่งลงตรงนี้เลย พวกเราเจอกันครั้งแรกนะ คุยกันสักหน่อยสิ หืม” 

 

 

“หลีกไป” 

 

 

“อย่าพูดแบบนั้นเซ่~ ฉันน่ะอยากลองเป็นผู้ช่วยของนายสักครั้งนะ~ แล้วก็นายน่ะ ไม่ชอบเซราฟไม่ใช่เหรอ ฉันน่าจะแตกต่างกับเซราฟที่ไม่มีความน่าเชื่อถือคนนั้นนะ ว่าไง” 

 

 

“หลบไปหน่อยเถอะน่า อ้อ เซราฟ ฉันรู้ว่าเธอกำลังฟังอยู่หมดแล้ว เพราะฉะนั้นออกมาภายในห้าวินาทีเลย ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะไม่มายังห้องเรียกตัวอีก รู้แล้วก็รีบออกมาซะ” 

 

 

“Yes” 

 

 

ทันทีที่ผมพูดจบ แสงสว่างจนแสบตาก็ส่องประกายออกมาจากด้านข้างแท่นบูชาที่ซันดัลโฟนนั่งอยู่ จากนั้นทูตสวรรค์ที่ปรากฏกายออกมาตรงกลางมวลแสงก็คือเซราฟอย่างที่คาดไว้ เธอจ้องมองผมด้วยใบหน้าสงบนิ่งแล้วจึงเบนสายตาไปทางซันดัลโฟน จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอิ่มอกอิ่มใจ(?) 

 

 

“ซันดัลโฟน ทูตสวรรค์แห่งความเจริญรุ่งเรือง ลำดับขั้นที่หนึ่ง น่าเสียดายที่ได้รับการยืนยันคำขอให้เปลี่ยนกลับสู่สภาพเดิมของผู้เล่นนะคะ จะต้องกลับสู่ตำแหน่งเดิมตามที่ได้ทำข้อสัญญาไว้ล่วงหน้าค่ะ” 

 

 

“เดี๋ยวก่อน! เรื่องแบบนี้มีที่ไหน! ยังไม่ทันได้พุดคุยกันอย่างถูกต้องเลยนะ!” 

 

 

“เรื่องนั้นเป็นธุระของคุณเองค่ะ ไม่มั่นใจในตัวเองสูงถึงขนาดนั้นจะดีกว่าไหมคะ ซันดัลโฟนไม่สามารถสนองตอบความคาดหวังของทุกคนได้หรอกค่ะ” 

 

 

“ไม่เอา! ฉันไปทั้งแบบนี้ไม่ได้นะ! นี่! เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน! นี่มันทำกันเกินไปหน่อยแล้ว!” 

 

 

ซันดัลโฟนตั้งใจจะขัดขืนไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม แต่พอเซราฟขยับมือไปมาเบาๆ เธอก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงในชั่วพริบตา 

 

 

“ทำอะไรเกินไปกันคะ ฉันเพียงแค่ดำเนินการตามข้อสัญญาที่ได้ทำกันในตอนแรกเท่านั้นเองค่ะ” 

 

 

“…!” 

 

 

ซันดัลโฟนดูเหมือนจะพูดอะไรเพิ่มอีก แต่แทบจะไม่ได้ยินเสียงของเธอแล้วราวกับถูกส่งกลับไปเรียบร้อย จากนั้นซันดัลโฟนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตาเดียว 

 

 

เซราฟทำหน้าไร้อารมณ์แต่กลับเดินขึ้นไปบนแท่นบูชาด้วยการก้าวเดินที่ดูอารมณ์ดี(?)แล้วนั่งลงเบาๆ 

 

 

“ขอโทษด้วยค่ะ ผู้เล่นคิมซูฮยอน ไม่ได้พบกันนานมากแท้ๆ แต่กลับทำให้ประสบกับเรื่องน่าขายหน้าเสียได้” 

 

 

เซราฟก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อขอโทษ ผมสับสนนิดหน่อย แต่เพราะคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ผมจึงส่ายหน้าให้นิ่งๆ มองอย่างไรเรื่องนี้ส่วนหนึ่งผมก็ผิดเหมือนกัน 

 

 

“ช่างมันเถอะ ดูๆ แล้ว ทูตสวรรค์คนอื่นๆ ก็น่าจะมองว่าท่าทางของฉันเป็นปัญหาเหมือนกัน ยังไงก็ตาม จากนี้ไปห้ามเปลี่ยนตำแหน่งกันตามใจชอบอีกนะ ถ้าเป็นระดับเดียวกับมิคาเอลหรือกาเบรียลที่เป็นทูตสวรรค์ชั้นสูงก็ไม่แน่ แต่กับคนซุ่มซ่ามแบบนั้นน่ะ ใครจะ…” 

 

 

“ขอบคุณที่พูดขนาดนั้นนะคะ ว่าแต่ว่า…หมายความว่าถ้าเป็นท่านกาเบรียลกับท่านมิคาเอลก็มีความคิดที่จะเปลี่ยนผู้ช่วยงั้นเหรอคะ” 

 

 

“ถ้าฉันตอบไปตรงนี้ว่า ‘อือ’ แล้วจะมีทูตสวรรค์คนอื่นโผล่มาอีกหรือเปล่าล่ะ” 

 

 

“ตอนนี้ท่านกาเบรียลกำลังรอคำสั่งอยู่ค่ะ” 

 

 

“บอกไปว่าไม่ต้องมา พวกนั้นไม่มีผู้เล่นที่ต้องรับหน้าที่ปรึกษาหรือไง” 

 

 

“ค่ะ จะเรียนให้ทราบตอนนี้ทันทีค่ะ” 

 

 

เซราฟทำสีหน้าผ่อนคลายขึ้นอีกขั้นแล้วเริ่มขยับมืออย่างวุ่นวาย ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือหูแว่ว รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฮัมเพลงขึ้นจมูกเบาๆ จากที่ไหนสักแห่งเลย 

 

 

เวลาผ่านไปเพียงเล็กน้อย เซราฟก็คงทำงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เธอจึงจ้องมองผมด้วยดวงตาสีเขียวหยกที่เจือความศักดิ์สิทธิ์ 

 

 

“พูดตามตรงว่าข้าตกใจมากที่ผู้เล่นคิมซูฮยอนเป็นฝ่ายมาหาก่อนค่ะ วางแผนไว้ว่าไม่นานจะเรียกตัวมาก็จริง แต่กลับล่าช้านิดหน่อยเพราะเรื่องที่ผู้ช่วยค่ะ” 

 

 

“อ๋อ เพราะมีเรื่องที่จำเป็นต้องขอคำชี้แนะจากเธอน่ะ” 

 

 

“บอกว่าเรื่องที่จะเป็นต้องขอคำชี้แนะจากข้าเหรอคะ ถ้าอย่างนั้น…” 

 

 

เซราฟทำหน้าเหมือนกำลังคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วไม่นานจึงทำสีหน้าที่เหมือนกับมีเสียงดังอ๋อเล็ดลอดออกมา ผมรีบสังเกตดูสีหน้าของเธอด้วยความรวดเร็ว ดูจากที่คิ้วของเธอเลิกขึ้นเล็กน้อยและริมฝีปากก็อ้าออกกว้างเป็นรูปสามเหลี่ยม เธอจะต้องพูดไปเรื่อยสักพักหนึ่งอีกไม่ผิดแน่ เพราะอย่างนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะพูดตัดหน้าก่อน 

 

 

“เหมือนจะรู้…” 

 

 

“เดี๋ยวก่อน เซราฟ เงียบสักหน่อยก่อนนะ” 

 

 

“ถึงไม่พูดก็เหมือนจะรู้แล้วค่ะ ตอนแรกข้าบอกแบบนั้นออกไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ ถ้าไปทั้งแบบนี้ก็แน่นอนว่าความแข็งแกร่งมีปัญหา…” 

 

 

“เดี๋ยวสิ บอกว่ารู้แล้วไง เรื่องนั้นฉันเองก็รู้เหมือนกัน มันมีปัญหาเกิดขึ้นก็เลยมาหาตอนนี้ไงละ” 

 

 

เซราฟทำสีหน้าเหมือนบอกว่าเชื่อเขาเลยแต่ก็ปิดปากเงียบลงได้อย่างยากลำบาก แต่การที่เธอส่งสายตากังวลมาไม่หยุด เป็นท่าทางที่เหมือนกับจะพุ่งเข้ามาทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเสียตอนนี้ 

 

 

ผมพูดขึ้นเบาๆ 

 

 

“ฉันรู้อยู่แล้วละว่าเธอจะพูดว่าอะไร ถึงอย่างนั้น สาเหตุที่ฉันดั้นด้นมาหาเธอเป็นเพราะคนที่จะฟังข้อเสนอเรื่องฮวาจองได้ก็ไม่มีใครอื่นนอกจากเธอแล้ว” 

 

 

“…” 

 

 

“ถ้าเธอเป็นผู้ช่วยของฉันจริง ก็ลองฟังเรื่องที่ฉันจะเล่าสักครั้งสิ อย่าทำมาเป็นพูดว่าเพื่อฉันแล้วเอาแต่พูดในสถานะของตัวเอง ตั้งแต่เมื่อก่อนเธอก็…ยังไงก็เถอะ แค่ครั้งเดียว ลองยืนในสถานะของฉันแล้วช่วยคิดดูสักครั้งก็ได้ไม่ใช่เหรอ” 

 

 

ผมเกือบจะโพล่งออกไปว่า ‘เป็นแบบนั้นตลอดเลย’ แต่ก็อดกลั้นเอาไว้ได้อย่างยากลำบาก 

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงแผ่วเบาของเซราฟก็ลอยมาจากด้านหน้า 

 

 

“…Yes” 

 

 

“ดี จะพูดแทรกกลางคันหรือไม่พูด” 

 

 

“ไม่พูดค่ะ เอาล่ะค่ะ ก่อนอื่นข้าจะลองตั้งใจฟังคำพูดของผู้เล่นคิมซูฮยอน และจะลองคิดในสถานภาพเดียวกับท่านให้ได้มากที่สุด แต่ครั้งนี้ข้าก็ไม่คิดจะถอยหรอกนะคะ ไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไร แต่การทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นก็จะไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ” 

 

 

“โอเค” 

 

 

พวกทูตสวรรค์รักษาสัญญาอย่างไร้เงื่อนไข ในเมื่อพูดแบบนั้นแล้ว ก่อนอื่นผมก็จะสามารถพูดเรื่องที่ตัวเองอยากจะพูดออกไปได้ทั้งหมด ผมตะขิดตะขวงใจกับคำพูดสุดท้ายของเธอนิดหน่อย แต่ผมเองก็เห็นชอบด้วยส่วนหนึ่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงยอมพยักหน้าให้ได้ 

 

 

ผมรู้สึกได้ถึงภายในใจที่ผ่อนคลายขึ้นหน่อย จากนั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องช้าๆ 

 

 

ผมไม่รู้ว่าเซราฟจะคิดอย่างไร แต่ตอนนี้ในหัวของผมมันสับสนวุ่นวายมากๆ ความกังวลของผมเกี่ยวกับเรื่องค่าความสามารถในปัจจุบัน และแผนการในภายภาคหน้ากับความคิดส่วนตัวของผมเกี่ยวกับเรื่องนั้น 

 

 

ผมอยากทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นพอสมควรและทำให้ค่าความสามารถอื่นเพิ่มขึ้นไปเป็นหนึ่งร้อยเอ็ดพอยต์ด้วย แต่ก็ติดที่ฮวาจอง ถึงอย่างนั้น ในทางกลับกัน หากลงทุนทั้งหมดให้กับความแข็งแกร่งก็ไม่สามารถทิ้งความติดค้างในใจเรื่องหนึ่งร้อยเอ็ดพอยต์ในค่าความสามารถอื่นได้อยู่ดี หรือไม่ก็อยากจะลองอดทนต่ออีกสักหน่อยตรงนี้ด้วยเหมือนกัน ถ้ารักษาระดับของความแข็งแกร่งไว้ที่ช่วงแปดสิบได้ก็อาจจะได้เห็นผลลัพธ์อันดีของโพชั่นวิเศษอีกครั้งหนึ่งก็ได้ 

 

 

แต่สภาพร่างกายในตอนนี้ใกล้จะเหลวแหลกเต็มที ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลาที่ไม่รู้ว่าจะระเบิดเมื่อไรเลย 

 

 

ใช่ สุดท้ายแล้ว ฮวาจองก็คือปัญหา