เมื่อเห็นบุรุษผมสีเงินก้าวมายังทิศที่ตนอยู่ ตี้อู่หงเยี่ยก็ยิ่งเจ็บปวดบาดแผลบริเวณหน้าอกอย่างหนัก
ต้องโทษซย่าโหวฉิงเทียนที่สมควรตายนั่น!
หากมิใช่หมอนั่นทำร้ายนางจนบาดเจ็บ นางเจอเจ้าปีศาจน้อยในตอนนี้ อย่างน้อยนางอาจจะยังมีโอกาสหลบหนีไปได้
นี่เป็นครั้งแรกที่ตี้อู่หงเยี่ยคิดได้ว่าความกระหายในผู้ชายจะทำร้ายตนเองถึงชีวิต หรือวันนี้นางจะต้องตายอยู่ที่นี่กันนะ
ไม่ได้!
นางไม่ยอม!
ตี้อู่หงเยี่ยตะเกียกตะกายขึ้นมาราวกับกำลังหาทางหลบหนีเอาชีวิตรอด
เพียงแต่ว่า ซย่าโหวฉิงเทียนไม่เปิดทางให้นางมีโอกาสได้หลบหนีด้วยซ้ำ เพราะยังมิทันที่นางจะลงจากเตียงสำเร็จ เงาใครบางคนก็ขวางที่เบื้องหน้าของนาง
“แหะๆ ท่านมาแล้วเหรอ…”
ตี้อู่หงเยี่ยแค่นยิ้มฝืนๆ ออกมา
หลายปีที่ผ่านมา นางใช้คำเรียก ‘ปีศาจน้อย’ เรียกขานคนคนนี้มาโดยตลอด โดยที่ไม่เคยรู้ว่าชื่อจริงของเขาคืออะไร ราวกับเขาไม่มีชื่อจริงก็ไม่ปาน
แม้แต่มารดาบังเกิดเกล้าของเขาก็ยังใช้สรรพนาม ‘ปีศาจน้อย’ เรียกขานเขาด้วยเช่นกัน
“เอ่อ…แม่เจ้าเป็นห่วงเจ้ามากนะ เจ้ากลับไปให้ท่านป้ารองเห็นหน้าหน่อยเพื่อให้ท่านรับรู้ว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้างก็ดี! ที่จริงแล้ว หลังจากเจ้าจากไปท่านป้ารองก็เสียอกเสียใจเป็นอย่างมาก วันๆ เอาแต่โทษตัวเองอยู่ร่ำไป นางรู้ว่าทำผิดต่อท่าน!”
หากไม่มีเรื่องไข่มุกวารีปีศาจนั่น บางทีซย่าโหวฉิงเทียนอาจจะเชื่อคำโกหกที่ตี้อู่หงเยี่ยแต่งขึ้นแล้วคิดว่าซย่าจื่ออวี้เกิดกลับตัวกลับใจเป็นคนดีขึ้นมาบ้าง
แต่ท่านแม่ต้องการให้เขาตาย ทั้งยังคิดจะควักหัวใจของเขาไปเปลี่ยนกับหัวใจหนานกงเช่อ…
เมื่อเรื่องทั้งหมดเมื่อปะติดปะต่อรวมกัน มันได้ทำลายความเมตตาส่วนสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ของ ซย่าโหวฉิงเทียนจนหมดสิ้น
เมื่อเห็นตี้อู่หงเยี่ยหน้าตาซีดขาว หน้าอกมีเลือดซึมออกมา ซย่าโหวฉิงเทียนจึงลากเก้าอี้มานั่งแล้วค่อยๆ ฟังเรื่องโกหกของตี้อู่หงเยี่ยไปเรื่อยๆ
การกระทำของซย่าโหวฉิงเทียนทำให้ตี้อู่หงเยี่ยหลงคิดไปว่าเขาเชื่อถือในคำพูดของนาง
แน่นะสิ!
ในโลกนี้ไม่นี้ลูกคนไหนที่ไม่คิดถึงคะนึงหามารดา และไม่มีลูกคนไหนที่ไม่ปรารถนาความรักจากมารดา!
ปีศาจน้อยนี่ได้รับความลำบากทรมานไม่น้อยเมื่อครั้งอยู่ที่จวนตระกูลหนานกง แต่ก็ยังคงหน้าด้านหน้าทนไปเฉลิมฉลองปีใหม่ที่นั่นทุกปี ชัดเจนแล้วว่าในใจมันยังเห็นซย่าจื่ออวี้เป็นแม่น่ะสิ!
เห็นทีว่าวันนี้นางจะรอดพ้นจากความตายได้หรือไม่ คงต้องอาศัยปากนี่แหละ!
“เด็กดี เจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธเคืองแม่เจ้าเลย นางก็ใช้ชีวิตยากลำบาก แต่มีอย่างหนึ่งที่เจ้าต้องพึงระลึกไว้เสมอ นั่นก็คือในโลกนี้ไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูก แม่เจ้าปฏิบัติกับเจ้าเช่นนั้น นางก็มีความลำบากของนางเช่นกัน!”
เพื่อเป็นการแสดงถึงความซื่อสัตย์จริงใจ ตี้อู่หงเยี่ยถึงกับไม่สนใจว่าแผลที่หน้าอกของนางกำลังหลั่งเลือด ยังคงตั้งอกตั้งใจแต่งเรื่องโกหกต่อไป
มองตี้อู่หงเยี่ยที่น่าอเนจอนาถตรงหน้าแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเย็นออกมา ในใจครุ่นคิด
เมื่อกลางวัน นางทำราวกับตนเองกินดีหมีเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น เอาแต่ยักย้ายส่ายสะโพกส่งสายตาให้ท่าเขาตลอดเวลา
ครานี้ เพื่อที่จะมีชีวิตรอด ทำตัวเองจนมีสภาพน่าอนาถ ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ เห็นเขาเป็นไอ้โง่ไปแล้วหรืออย่างไรกัน
ตี้อู่หงเยี่ย เจ้านี่ช่างเกิดมาเพื่อแสดงละครโดยแท้!
“ข้ามาคราวนี้ก็เพราะได้รับการไหว้วานจากแม่เจ้าให้มาพาเจ้ากลับบ้าน นางมีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้า ท่านป้าบอกว่า หลายปีมานี้เย็นชากับเจ้า ไม่ได้ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบเจ้าบ้างเลย นางผิดไปแล้ว นางผิดต่อเจ้า!”
“ตอนนี้ท่านโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นางได้ให้คนไปสืบเสาะถามข่าวคราวว่ามีบ้านไหนมีลูกสาวถึงอายุที่เหมาะสมที่ยังไม่แต่งงานบ้างหรือไม่ เพื่อจะตระเตรียมภรรยาที่งดงาม สูงส่งและใจกว้างเอาไว้ให้กับท่าน”
ตี้อู่หงยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าเค้า
เจ้าปีศาจนี่เติบโตอยู่ที่หลัวอวี่ ทุกปีเมื่อเทศกาลปีใหม่เขาจะกลับบ้านที่ตระกูลหนานกง คงคิดจะใช้ตระกูลหนานกงเป็นสะพาน หาทางสร้างเนื้อสร้างตัวที่เมืองอู๋โยวนี่นะสิ
เพราะอย่างไรเสีย อยู่ที่แผ่นดินหลัวอวี่ต่อไปก็ไม่มีทางได้เกิด!
ความจริงข้อนี้ เจ้าปีศาจย่อมต้องรู้อยู่แล้ว!
คนชั้นต่ำที่แผ่นดินหลัวอวี่ทุกคน ล้วนแต่คิดจนหัวแทบแตกก็เพื่อหาลู่ทางที่จะได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองอู๋โยว
ปีศาจน้อยก็คงคิดอย่างนี้เช่นกัน!
“ก่อนที่ข้าจะออกมา แม่เจ้ายังบอกอีกว่า นางจะปรึกษาหารือเรื่องเจ้ากับประมุขหนานกง ขอเพียงแค่ตระกูลหนานกงส่งเทียบเชิญให้กับเจ้า ต่อไปเจ้าก็คือคนของเมืองอู๋โยว…”
“พอแล้ว!”
เมื่อเห็นว่าตัวเองใกล้จะตายอยู่แล้ว แต่ตี้อู่หงเยี่ยก็ยังไม่รู้สึกตัว ยังคงปั้นน้ำเป็นตัวอย่างไม่ลดละ ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็หมดความอดทน
“ทำไมหรือ”
ตี้อู่หงเยี่ยถูกซย่าโหวฉิงเทียนตวาดจนขวัญหนีดีฝ่อ
เหตุใดเมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘เทียบเชิญ’ อารมณ์เขาก็แปรปรวนอย่างรุนแรงเช่นนี้นะ หรือเขากำลังโทษว่าเป็นความผิดของนางที่ไม่นำเทียบเชิญมาด้วยในครั้งนี้
แต่เรื่องทั้งหมดนี่นางแต่งขึ้นเองทั้งสิ้น หากตอนนี้เจ้าปีศาจต้องการเทียบเชิญเล่า นางจะตอบว่าอย่างไรดี
ในขณะที่ตี้อู่หงเยี่ยกำลังพูดพล่ามต่อไม่หยุดนั่นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ขยับเอ่ยปากกล่าวในสิ่งที่นางเคยกล่าวเอาไว้อีกครั้ง
“หนุ่มน้อย ในรถเจ้ามีใครอยู่กันแน่ พวกเราต้องการตรวจค้น!”
เมื่อได้ยินข้อความเมื่อครู่เข้าไป ตี้อู่หงเยี่ยถึงกับหน้าถอดสี
เรื่องเมื่อกลางวันเจ้าปีศาจน้อยนี่รู้ได้อย่างไรกัน
หรือเขาต้องการใช้เรื่องนี้มาข่มขู่นาง
ถึงแม้สามีตี้อู่หงเยี่ยเองจะเป็นเช่นขยะที่ไร้ประโยชน์ แต่อารมณ์ขี้หึงขี้หวงของเขาหนักหนายิ่งนัก
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจับตาดูนางทุกฝีก้าว แทบจะตัวติดกับนางยี่สิบสี่ชั่วโมง
หากมิใช่คราวนี้นางรับคำสั่งของตระกูลหนานกงให้ติดตามหนานกงจื่อหลิงละก็ เกรงว่าสามีของนางคงจะมิให้นางออกจากบ้านด้วยซ้ำ
ตอนนี้ เจ้าปีศาจน้อยนี่กล่าวเช่นนี้ ต้องการอะไรกันแน่
เขาคิดจะป่าวประกาศเรื่องที่นางออกนอกบ้านให้ก็เที่ยวให้ท่าผู้ชาย เมื่อกลับตระกูลหนานกงอย่างนั้นหรือ
ไม่ได้นะ!
นางจะต้องทำให้เขาปิดปากให้สนิท!
ตี้อู่หงเยี่ยขยับนิ้วแอบเอาผงยาพิษสีชมพูที่ซุกซ่อนอยู่ในเล็บสีม่วงเข้มของตนเองออกมา หากเจ้าปีศาจน้อยนี่ไม่รู้จักน้อมรับเจตนาอันดีของนางละก็ ต้องวางยาเขาให้ตายไปเลย!
ตี้อู่หงเยี่ยยังมั่นใจในวิชาพิษของตนเองเป็นอย่างมาก
นางนึกว่าตนเองซ่อนเร้นทุกอย่างเอาไว้ได้ดี จึงยังดิ้นรนครั้งสุดท้ายก่อนตาย
ซย่าโหวฉิงเทียนเห็นดังนั้นก็ ‘เหอะ’ ออกมาคำหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็กลายร่าง ซย่าโหวฉิงเทียนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“หา เจ้านี่เอง!”
ตี้อู่หงเยี่ยถลึงตาอ้าปากจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยอาการตกตะลึง
เขาคนเมื่อครู่ดวงตาสีม่วงปิ่นปักผมสีเงิน ตอนนี้นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ที่หว่างคิ้วของเขามีไฝเม็ดสีแดง นี่มันซย่าโหวฉิงเทียนอ๋องแห่งต้าโจวคนที่เจอริมถนนเมื่อตอนกลางวันนี่นา!
เขาเป็นอะไรกับเจ้าปีศาจน้อยนั่น
หรือ…เขาก็คือปีศาจน้อย!
“โง่เง่าจริงๆ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนยิ้มเยาะ
ยิ่งเขาพูดเช่นนี้ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำในสิ่งที่ตี้อู่หงเยี่ยคิดว่าถูกต้อง
ที่แท้แล้วเมื่อครู่เขาอดกลั้นมาตลอด เขากำลังดูละครฉากใหญ่ที่นางร้องเองแต่งเองนั่น!
ไอ้ปีศาจน้อยนี่น่ารังเกียจสิ้นดี!