ตอนที่ 96-2 ฉิงเทียนแสดงอำนาจ สังหารคนชั่ว

จำนนรักชายาตัวร้าย

เมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนเอาแต่จ้องมองหนานกงจื่อหลิงตาไม่กะพริบ อวี้เฟยเยียนจึงคีบเนื้อใส่ในชามข้าวของเขา กล่าวว่า

 

 

“กินเยอะๆ นะ!”

 

 

ถึงแม้ว่าใบหน้านางจะประดับไปด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงนางก็นุ่มนวล แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็รับรู้ได้ถึงไอเย็นที่เจืออยู่ในน้ำเสียงที่นุ่มนวลนั้น

 

 

จริงดั่งที่คาดเอาไว้ หลังจากที่กินข้าวเสร็จ อวี้เฟยเยียนก็หายเข้าไปในห้องเชียนเยี่ยเสวี่ยโดยไม่ยอมโผล่หน้าออกมาพบซย่าโหวฉิงเทียนอีกเลย

 

 

“แมวน้อย แมวน้อย—”

 

 

ซย่าฉิงเทียนเคาะประตู ปากก็ร้องเรียกชื่ออวี้เฟยเยียนเบาๆ

 

 

ใครจะคาดคิด อวี้เฟยเยียนตอบกลับมาเพียงประโยคเดียวเป็นการไล่ซย่าฉิงเทียนทางอ้อมว่า

 

 

“ข้ากับเสวี่ยไม่ได้เจอกันนาน ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนนาง”

 

 

เล่นเอาซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับเดาท่าทีของอวี้เฟยเยียนไม่ถูก หลังจากที่พวกเขาตกลงเรื่องความสัมพันธ์กันแล้ว ก็รักใคร่กันเป็นอย่างดี ไม่เคยเกิดเรื่องแบบวันนี้มาก่อน

 

 

หรือเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาลงมือเบาเกินไป มิได้จัดการกับตี้อู่หงเยี่ยขั้นเด็ดขาด

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นประเภทเน้นปฏิบัติเสียด้วย

 

 

หลังจากที่รู้สาเหตุที่อวี้เฟยเยียนโกรธเคืองแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงผลุนผลันออกจากเรือนไปทันที

 

 

เมื่อกลางวันที่บนถนน รอบกายพวกเขารายล้อมไปด้วยทหารและชาวบ้านตาดำๆ เขาไม่อยากทำร้ายคนบริสุทธิ์ ตอนที่ออกมา เขาตั้งใจป้ายกลิ่นบางอย่างเอาไว้ที่ตัวตี้อู่หงเยี่ย เพื่อที่จะติดตามที่อยู่ของพวกเขาได้ ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะไปเก็บกวาดพวกมันได้แล้ว

 

 

เนื่องด้วยตี้อู่หงเยี่ยบาดเจ็บสาหัส นางจึงต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียง ฉะนั้นหน้าที่ตามหาที่อยู่ของพวกซย่าโหวฉิงเทียนจึงตกเป็นของอู่เม่ย

 

 

อู่เม่ยเพิ่งจะเดินออกจากประตูกำลังจะเดินเข้าเรือน พลันก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง

 

 

“ใคร”

 

 

มืออู่เม่ยกุมดาบที่คาดอยู่บริเวณเอวแน่น ใจเต้นตึกตัก ในตอนนั้นเอง ร่างของชายนัยน์ตาสีม่วงผมสีเงินเดินออกมาจากมุมมืด

 

 

เพียงแค่เห็นว่าเป็นซย่าโหวฉิงเทียน อู่เม่ยก็แสยะยิ้มน่าเกลียดออกมา

 

 

“ย่ำจนรองเท้าจนเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่ต้องเปลืองแรงเลย! เจ้าปีศาจน้อย ที่แท้แล้วเจ้าก็มุดหัวอยู่ที่ฉินจื้อนี่เอง! ดีจริงๆ!”

 

 

อู่เม่ยชักดาบออกมาชี้ไปทางซย่าโหวฉิงเทียน

 

 

“นายท่านมีคำสั่ง ขอเพียงแต่เจ้าวางอาวุธยินยอมให้จับโดยดีแล้วกลับไปที่ตระกูลหนานกงกับข้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”

 

 

ตอนนั้นเองซย่าโหวฉิงเทียนจึงเข้าใจเหตุผลที่ตี้อู่หงเยี่ยมายังแผ่นดินหลัวอวี่ในทันที

 

 

“หนานกงเอ๋าหาข้าเพื่ออะไรกัน”

 

 

“คงจะไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่!”

 

 

“ถ้าไม่ละ”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนย่างสามขุนเข้าไปหาอู่เม่ยช้าๆ ปิ่นปักผมสีเงินของเขาสะท้อนแสงจนเกิดเป็นแสงสว่างวาบ ราวกับแสงระยิบระยับบนทางช้างเผือกสาดส่องลงมาบนบ่าของเขาก็ไม่ปาน

 

 

“ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตาย เช่นนั้นข้าจะส่งเสริมเจ้า!”

 

 

กล่าวจบอู่เม่ยก็พุ่งตัวเข้าหาซย่าโหวฉิงเทียนทันที

 

 

เขาดูถูกเจ้าปีศาจที่รูปร่างหน้าตาผิดแผกไปจากมนุษย์ทั่วไปตรงหน้าเป็นอย่างมาก!

 

 

ก้อนเนื้อที่เกิดจากบิดาอัปมงคล นายท่านต้องการหัวใจเจ้า ยกยอมันมากไปหน่อยแล้วกระมัง!

 

 

หลายปีก่อน เมื่อครั้งที่ซย่าโหวฉิงเทียนอาศัยอยู่ในจวนหนานกงก็ถูกกลั่นแกล้งไม่น้อย

 

 

หนานกงเอ๋าถือเป็นคนที่ละโมบในชื่อเสียงลาภยศเป็นอันมากคนหนึ่ง

 

 

ทำให้ถึงแม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนมิใช่ลูกแท้ๆ ของเขา จะชั่วดีอย่างไรก็มีสัมพันธ์ทางสายเลือดกับซย่าจื่อ อวี้ ดังนั้นเขาจึงมิอาจทรมานซย่าโหวฉิงเทียนอย่างออกหน้าออกตาได้ ทำได้เพียงให้ลูกน้องไปหาเรื่องหาราวเขาเท่านั้น

 

 

แต่ทุกปีซย่าโหวฉิงเทียนกลับมาพักอยู่ที่บ้านตระกูลหนานกงเพียงไม่กี่วันเท่านั้น

 

 

เหตุเพราะหนานกงจื่อหลิง เขาจึงหลีกเลี่ยงความวุ่นวายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

 

ดังนั้นพวกที่จ้องมาหาเรื่องก็มักจะต้องมือเปล่ากลับไป โดยมิได้ชักดาบหยิบมีดขึ้นห้ำหั่นต่อสู้กับซย่าโหวฉิงเทียนจริงๆ สักที จึงไม่รู้พลังที่แท้จริงของเขาด้วย

 

 

ในสายตาทุกคน คนที่เติบโตอยู่ในสถานที่ที่คนชั้นต่ำดำรงชีวิตอยู่นั้นไม่มีวันได้ดีไปได้!

 

 

นอกเสียจากความสามารถในการหลบหนีที่ดีเยี่ยม นอกนั้นก็เหลวไหลทั้งเพ!

 

 

อู่เม่ย ก็มีความคิดอย่างนั้นเช่นกัน

 

 

เขาดูถูกซย่าโหวฉิงเทียน ในใจของเขายิ่งดูถูกเจ้าปีศาจนี่ด้วย

 

 

หากมิใช่ก่อนหน้านี้หนานกงเอ๋าต้องการจับเป็น เพราะมีเพียงหัวใจทั้งเป็นของซย่าโหวฉิงเทียนเท่านั้นจึงจะมีประโยชน์ต่อหนานกงเช่อ อู่เม่ยคงจะฆ่าซย่าโหวฉิงเทียนไปแล้ว

 

 

แต่ทว่า อู่เม่ยจองหองได้ไม่นานก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนโจมตีจนเละ

 

 

อู่เม่ยตวัดดาบมุ่งไปที่บ่าซย่าโหวฉิงเทียน วินาทีที่ดาบห่างจากบ่าซย่าโหวฉิงเทียนราวนิ้วหนึ่งนั่นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยื่นมือออกมาใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางคีบดาบเอาไว้

 

 

“เคร้ง…”

 

 

อู่เม่ยมองดูดาบของตนที่ถูกซย่าโหวฉิงเทียนใช้เพียงสองนิ้วหักมันเป็นสองท่อน

 

 

เป็นไปไม่ได้!

 

 

ดาบเขาตีจากช่างทำดาบมือดี ถึงแม้จะไม่ถึงกับเป็นยอดฝีมือตีดาบแต่ก็นับว่ามีคุณภาพสูง

 

 

มาตอนนี้ อาวุธที่อู่เม่ยภาคภูมิใจหนักหนาถูกซย่าโหวฉิงเทียนทำลายลงอย่างง่ายดาย ลบภาพลักษณ์ของปีศาจอ่อนแอในหัวของอู่เม่ยจนสิ้น

 

 

“หนานกงเอ๋าต้องการพบข้าทำไม”

 

 

ใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนยังคงสูงส่งรูปงามเช่นเดิม เขาถามพร้อมกับจ้องมองอู่เม่ยด้วยสายตาเย็นชา

 

 

สายตาเขาราวกับมีดแหลมก็ไม่ปาน ทิ่มแทงอู่เม่ยจนตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว

 

 

หรือเขาคือปีศาจจริงๆ

 

 

“พูดมา!”

 

 

“ข้าไม่มีวันบอกเจ้า!”

 

 

ถึงแม้ว่าในใจอู่เม่ยจะหวาดกลัวตื่นตระหนกอย่างที่สุด แต่ไม่นานเขาก็สงบใจลงได้

 

 

ปีศาจน้อยทำลายอาวุธเขาได้อย่างง่ายดาย วรยุทธ์ของมันจะต้องอยู่เหนือกว่าขั้นราชันอาวุโสขึ้นไป หากอยู่ที่เมืองอู๋โยว วันนี้เขาคงไม่อาจรอดพ้นจากความตายไปได้เสียแล้ว

 

 

แต่ที่นี่คือแผ่นดินหลัวอวี่ แผ่นดินที่มีกฎแห่งฟ้าดินจำกัดเอาไว้ ไม่ว่าเจ้าปีศาจน้อยที่จะสำเร็จถึงขั้นไหน พลังวิเศษของเขาก็จะถูกจำกัดถึงเพียงแค่ขั้นปรมาจารย์ ซึ่งกฎข้อนี้พวกเขาทั้งสองล้วนต้องปฏิบัติตาม

 

 

ด้วยเหตุนี้ คนทั้งสองต่างก็เป็นปรมาจารย์เช่นเดียวกัน

 

 

ปรมาจารย์ปะทะปรมาจารย์ ใครแพ้ใครชนะยังไม่แน่เลย!

 

 

“เจ้าปีศาจน้อย ไปตายเสียเถอะ!”

 

 

อู่เมยกำมือทั้งสองข้างให้เป็นหมัด แล้วออกอาวุธหมัดโดยพุ่งเป้าไปที่หน้าอกของซย่าโหวฉิงเทียน

 

 

ถึงแม้ว่านายท่านจะมีบัญชา จะต้องใช้หัวใจซย่าโหวฉิงเทียนเป็นๆ แต่อีกฝ่ายบังคับขู่เข็ญกันถึงเพียงนี้ อู่เม่ยจึงมิอาจคิดมากได้อีก

 

 

“ไม่รู้จักเจียมตัว!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนแบมือทั้งสองข้างออก ราวกับปากใหญ่ของพญาเสือที่อ้ารอเตรียมตะครุบเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น มันจับหมัดทั้งสองข้างของอู่เม่ยเอาไว้แน่น จากนั้นก็เกิดเสียง ‘กร๊อบ’ ขึ้น เสียงนั้นราวกับเสียงเครื่องบดเนื้อก็ไม่ปาน บดตั้งแต่ข้อมือลงไปของอู่เม่ยจนแหลกเหลวทั้งหมด

 

 

“อ๊าก…”

 

 

มือทั้งสองข้างที่เคยดีแปรสภาพเป็นเฉกเช่นท่อนไม้กุดที่โชกไปด้วยเลือด ทำอู่เม่ยถอยร่นไปด้านหลัง ดวงตาทั้งสองข้างฉาบเอาไว้ด้วยความกลัว

 

 

นี่กฎแห่งฟ้าดินไม่มีผลอะไรกับปีศาจน้อยนี่เลยหรือ

 

 

วิชามารที่โหดเ**้ยมเช่นนี้หาใช่วิชาที่ปรมาจารย์พึงมีไม่!

 

 

“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง หนานกงเอ๋าคิดจะทำเรื่องชั่วช้าอะไรกันแน่”

 

 

ในขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนถาม เท้าขวาเขาไม่ได้อยู่กับที่ มันก้าวขึ้นมาเหยียบที่หน้าขาของอู่เม่ยเอาไว้

 

 

‘กร๊อบ’ เสียงนั้นดังขึ้น

 

 

ขาข้างนั้นรวมทั้งหัวเข่าถูกหักกระดูกแล้วแตะจนลอยละลิ่วกระเด็นออกไปไกล อู่เม่ยร่างโชกเลือดอยู่ที่พื้น ร่างเขาสั่นระริก

 

 

“อย่าฆ่าข้า! ขอจอมยุทธ์ไว้ชีวิตด้วย อย่าฆ่าข้า!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนไม่มีความอดทนพอที่จะมาฟังเสียงร้องของอู่เม่ย เขาวาดฝ่ามือไปกุมหัวอู่เม่ยเอาไว้

 

 

ลำแสงสีม่วงครอบหัวทั้งหัวของอู่เม่ย เพียงไม่นาน อู่เม่ยก็ร่างอ่อนปวกเปียกร่วงลงบนพื้น

 

 

ตุ๊กตาหนังมนุษย์

 

 

เมื่อเห็นความทรงจำเหล่านั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็เพิ่มแรงมากยิ่งขึ้น

 

 

สุนัขบังอาจ!

 

 

จิตใจโสมมสกปรกเลวทราม มันกล้ามีความคิดที่จะเอาแมวน้อยไปทำเป็นตุ๊กตาหนังมนุษย์ของมัน!

 

 

โดยเฉพาะเมื่อซย่าโหวฉิงเทียนได้รับรู้ถึงการกระทำอันชั่วช้าสามานย์ของอู่เม่ยที่กระทำต่อผู้คน ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ่งคั่งแค้นโกรธเคืองมากยิ่งขึ้น คนวิปลาสเช่นนี้ริอ่านเอื้อมมาแตะแมวน้อยที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขา สมควรตายหมื่นครั้ง!

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตายเสียเถอะ!”

 

 

สายฟ้าสีม่วงฟาดลงมา พลันก็มีกลิ่นเหม็นไหม้เนื้อมนุษย์ลอยขึ้นสู่อากาศแต่ไร้ควัน ทำให้ผู้คนประหลาดใจยิ่งนัก

 

 

ส่วนตี้อู่หงเยี่ยที่รักษาตัวอยู่ในห้องและเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ ทำเอานางตกใจจนแทบตัวหดเหลือครึ่งนิ้ว

 

 

“ปีศาจน้อยเก่งกาจถึงเพียงนี้”

 

 

หากมิใช่เหตุการณ์ทุกอย่างบังเกิดขึ้นต่อหน้า และนางเห็นการตายอย่างน่าอนาถของอู่เม่ยด้วยตาตนแล้วละก็ เกรงว่าตี้อู่หงเยี่ยคงจะยังดูถูกปีศาจน้อยนั่นอยู่เช่นเดิม นางคงจะยังคิดว่าเจ้าปีศาจน้อยนี่ไม่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ!

 

 

ตอนนี้จะทำเช่นไรดี