เมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนเอาแต่จ้องมองหนานกงจื่อหลิงตาไม่กะพริบ อวี้เฟยเยียนจึงคีบเนื้อใส่ในชามข้าวของเขา กล่าวว่า
“กินเยอะๆ นะ!”
ถึงแม้ว่าใบหน้านางจะประดับไปด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงนางก็นุ่มนวล แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็รับรู้ได้ถึงไอเย็นที่เจืออยู่ในน้ำเสียงที่นุ่มนวลนั้น
จริงดั่งที่คาดเอาไว้ หลังจากที่กินข้าวเสร็จ อวี้เฟยเยียนก็หายเข้าไปในห้องเชียนเยี่ยเสวี่ยโดยไม่ยอมโผล่หน้าออกมาพบซย่าโหวฉิงเทียนอีกเลย
“แมวน้อย แมวน้อย—”
ซย่าฉิงเทียนเคาะประตู ปากก็ร้องเรียกชื่ออวี้เฟยเยียนเบาๆ
ใครจะคาดคิด อวี้เฟยเยียนตอบกลับมาเพียงประโยคเดียวเป็นการไล่ซย่าฉิงเทียนทางอ้อมว่า
“ข้ากับเสวี่ยไม่ได้เจอกันนาน ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนนาง”
เล่นเอาซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับเดาท่าทีของอวี้เฟยเยียนไม่ถูก หลังจากที่พวกเขาตกลงเรื่องความสัมพันธ์กันแล้ว ก็รักใคร่กันเป็นอย่างดี ไม่เคยเกิดเรื่องแบบวันนี้มาก่อน
หรือเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาลงมือเบาเกินไป มิได้จัดการกับตี้อู่หงเยี่ยขั้นเด็ดขาด
ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นประเภทเน้นปฏิบัติเสียด้วย
หลังจากที่รู้สาเหตุที่อวี้เฟยเยียนโกรธเคืองแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงผลุนผลันออกจากเรือนไปทันที
เมื่อกลางวันที่บนถนน รอบกายพวกเขารายล้อมไปด้วยทหารและชาวบ้านตาดำๆ เขาไม่อยากทำร้ายคนบริสุทธิ์ ตอนที่ออกมา เขาตั้งใจป้ายกลิ่นบางอย่างเอาไว้ที่ตัวตี้อู่หงเยี่ย เพื่อที่จะติดตามที่อยู่ของพวกเขาได้ ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะไปเก็บกวาดพวกมันได้แล้ว
เนื่องด้วยตี้อู่หงเยี่ยบาดเจ็บสาหัส นางจึงต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียง ฉะนั้นหน้าที่ตามหาที่อยู่ของพวกซย่าโหวฉิงเทียนจึงตกเป็นของอู่เม่ย
อู่เม่ยเพิ่งจะเดินออกจากประตูกำลังจะเดินเข้าเรือน พลันก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
“ใคร”
มืออู่เม่ยกุมดาบที่คาดอยู่บริเวณเอวแน่น ใจเต้นตึกตัก ในตอนนั้นเอง ร่างของชายนัยน์ตาสีม่วงผมสีเงินเดินออกมาจากมุมมืด
เพียงแค่เห็นว่าเป็นซย่าโหวฉิงเทียน อู่เม่ยก็แสยะยิ้มน่าเกลียดออกมา
“ย่ำจนรองเท้าจนเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่ต้องเปลืองแรงเลย! เจ้าปีศาจน้อย ที่แท้แล้วเจ้าก็มุดหัวอยู่ที่ฉินจื้อนี่เอง! ดีจริงๆ!”
อู่เม่ยชักดาบออกมาชี้ไปทางซย่าโหวฉิงเทียน
“นายท่านมีคำสั่ง ขอเพียงแต่เจ้าวางอาวุธยินยอมให้จับโดยดีแล้วกลับไปที่ตระกูลหนานกงกับข้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
ตอนนั้นเองซย่าโหวฉิงเทียนจึงเข้าใจเหตุผลที่ตี้อู่หงเยี่ยมายังแผ่นดินหลัวอวี่ในทันที
“หนานกงเอ๋าหาข้าเพื่ออะไรกัน”
“คงจะไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่!”
“ถ้าไม่ละ”
ซย่าโหวฉิงเทียนย่างสามขุนเข้าไปหาอู่เม่ยช้าๆ ปิ่นปักผมสีเงินของเขาสะท้อนแสงจนเกิดเป็นแสงสว่างวาบ ราวกับแสงระยิบระยับบนทางช้างเผือกสาดส่องลงมาบนบ่าของเขาก็ไม่ปาน
“ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตาย เช่นนั้นข้าจะส่งเสริมเจ้า!”
กล่าวจบอู่เม่ยก็พุ่งตัวเข้าหาซย่าโหวฉิงเทียนทันที
เขาดูถูกเจ้าปีศาจที่รูปร่างหน้าตาผิดแผกไปจากมนุษย์ทั่วไปตรงหน้าเป็นอย่างมาก!
ก้อนเนื้อที่เกิดจากบิดาอัปมงคล นายท่านต้องการหัวใจเจ้า ยกยอมันมากไปหน่อยแล้วกระมัง!
หลายปีก่อน เมื่อครั้งที่ซย่าโหวฉิงเทียนอาศัยอยู่ในจวนหนานกงก็ถูกกลั่นแกล้งไม่น้อย
หนานกงเอ๋าถือเป็นคนที่ละโมบในชื่อเสียงลาภยศเป็นอันมากคนหนึ่ง
ทำให้ถึงแม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนมิใช่ลูกแท้ๆ ของเขา จะชั่วดีอย่างไรก็มีสัมพันธ์ทางสายเลือดกับซย่าจื่อ อวี้ ดังนั้นเขาจึงมิอาจทรมานซย่าโหวฉิงเทียนอย่างออกหน้าออกตาได้ ทำได้เพียงให้ลูกน้องไปหาเรื่องหาราวเขาเท่านั้น
แต่ทุกปีซย่าโหวฉิงเทียนกลับมาพักอยู่ที่บ้านตระกูลหนานกงเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
เหตุเพราะหนานกงจื่อหลิง เขาจึงหลีกเลี่ยงความวุ่นวายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ดังนั้นพวกที่จ้องมาหาเรื่องก็มักจะต้องมือเปล่ากลับไป โดยมิได้ชักดาบหยิบมีดขึ้นห้ำหั่นต่อสู้กับซย่าโหวฉิงเทียนจริงๆ สักที จึงไม่รู้พลังที่แท้จริงของเขาด้วย
ในสายตาทุกคน คนที่เติบโตอยู่ในสถานที่ที่คนชั้นต่ำดำรงชีวิตอยู่นั้นไม่มีวันได้ดีไปได้!
นอกเสียจากความสามารถในการหลบหนีที่ดีเยี่ยม นอกนั้นก็เหลวไหลทั้งเพ!
อู่เม่ย ก็มีความคิดอย่างนั้นเช่นกัน
เขาดูถูกซย่าโหวฉิงเทียน ในใจของเขายิ่งดูถูกเจ้าปีศาจนี่ด้วย
หากมิใช่ก่อนหน้านี้หนานกงเอ๋าต้องการจับเป็น เพราะมีเพียงหัวใจทั้งเป็นของซย่าโหวฉิงเทียนเท่านั้นจึงจะมีประโยชน์ต่อหนานกงเช่อ อู่เม่ยคงจะฆ่าซย่าโหวฉิงเทียนไปแล้ว
แต่ทว่า อู่เม่ยจองหองได้ไม่นานก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนโจมตีจนเละ
อู่เม่ยตวัดดาบมุ่งไปที่บ่าซย่าโหวฉิงเทียน วินาทีที่ดาบห่างจากบ่าซย่าโหวฉิงเทียนราวนิ้วหนึ่งนั่นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยื่นมือออกมาใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางคีบดาบเอาไว้
“เคร้ง…”
อู่เม่ยมองดูดาบของตนที่ถูกซย่าโหวฉิงเทียนใช้เพียงสองนิ้วหักมันเป็นสองท่อน
เป็นไปไม่ได้!
ดาบเขาตีจากช่างทำดาบมือดี ถึงแม้จะไม่ถึงกับเป็นยอดฝีมือตีดาบแต่ก็นับว่ามีคุณภาพสูง
มาตอนนี้ อาวุธที่อู่เม่ยภาคภูมิใจหนักหนาถูกซย่าโหวฉิงเทียนทำลายลงอย่างง่ายดาย ลบภาพลักษณ์ของปีศาจอ่อนแอในหัวของอู่เม่ยจนสิ้น
“หนานกงเอ๋าต้องการพบข้าทำไม”
ใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนยังคงสูงส่งรูปงามเช่นเดิม เขาถามพร้อมกับจ้องมองอู่เม่ยด้วยสายตาเย็นชา
สายตาเขาราวกับมีดแหลมก็ไม่ปาน ทิ่มแทงอู่เม่ยจนตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว
หรือเขาคือปีศาจจริงๆ
“พูดมา!”
“ข้าไม่มีวันบอกเจ้า!”
ถึงแม้ว่าในใจอู่เม่ยจะหวาดกลัวตื่นตระหนกอย่างที่สุด แต่ไม่นานเขาก็สงบใจลงได้
ปีศาจน้อยทำลายอาวุธเขาได้อย่างง่ายดาย วรยุทธ์ของมันจะต้องอยู่เหนือกว่าขั้นราชันอาวุโสขึ้นไป หากอยู่ที่เมืองอู๋โยว วันนี้เขาคงไม่อาจรอดพ้นจากความตายไปได้เสียแล้ว
แต่ที่นี่คือแผ่นดินหลัวอวี่ แผ่นดินที่มีกฎแห่งฟ้าดินจำกัดเอาไว้ ไม่ว่าเจ้าปีศาจน้อยที่จะสำเร็จถึงขั้นไหน พลังวิเศษของเขาก็จะถูกจำกัดถึงเพียงแค่ขั้นปรมาจารย์ ซึ่งกฎข้อนี้พวกเขาทั้งสองล้วนต้องปฏิบัติตาม
ด้วยเหตุนี้ คนทั้งสองต่างก็เป็นปรมาจารย์เช่นเดียวกัน
ปรมาจารย์ปะทะปรมาจารย์ ใครแพ้ใครชนะยังไม่แน่เลย!
“เจ้าปีศาจน้อย ไปตายเสียเถอะ!”
อู่เมยกำมือทั้งสองข้างให้เป็นหมัด แล้วออกอาวุธหมัดโดยพุ่งเป้าไปที่หน้าอกของซย่าโหวฉิงเทียน
ถึงแม้ว่านายท่านจะมีบัญชา จะต้องใช้หัวใจซย่าโหวฉิงเทียนเป็นๆ แต่อีกฝ่ายบังคับขู่เข็ญกันถึงเพียงนี้ อู่เม่ยจึงมิอาจคิดมากได้อีก
“ไม่รู้จักเจียมตัว!”
ซย่าโหวฉิงเทียนแบมือทั้งสองข้างออก ราวกับปากใหญ่ของพญาเสือที่อ้ารอเตรียมตะครุบเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น มันจับหมัดทั้งสองข้างของอู่เม่ยเอาไว้แน่น จากนั้นก็เกิดเสียง ‘กร๊อบ’ ขึ้น เสียงนั้นราวกับเสียงเครื่องบดเนื้อก็ไม่ปาน บดตั้งแต่ข้อมือลงไปของอู่เม่ยจนแหลกเหลวทั้งหมด
“อ๊าก…”
มือทั้งสองข้างที่เคยดีแปรสภาพเป็นเฉกเช่นท่อนไม้กุดที่โชกไปด้วยเลือด ทำอู่เม่ยถอยร่นไปด้านหลัง ดวงตาทั้งสองข้างฉาบเอาไว้ด้วยความกลัว
นี่กฎแห่งฟ้าดินไม่มีผลอะไรกับปีศาจน้อยนี่เลยหรือ
วิชามารที่โหดเ**้ยมเช่นนี้หาใช่วิชาที่ปรมาจารย์พึงมีไม่!
“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง หนานกงเอ๋าคิดจะทำเรื่องชั่วช้าอะไรกันแน่”
ในขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนถาม เท้าขวาเขาไม่ได้อยู่กับที่ มันก้าวขึ้นมาเหยียบที่หน้าขาของอู่เม่ยเอาไว้
‘กร๊อบ’ เสียงนั้นดังขึ้น
ขาข้างนั้นรวมทั้งหัวเข่าถูกหักกระดูกแล้วแตะจนลอยละลิ่วกระเด็นออกไปไกล อู่เม่ยร่างโชกเลือดอยู่ที่พื้น ร่างเขาสั่นระริก
“อย่าฆ่าข้า! ขอจอมยุทธ์ไว้ชีวิตด้วย อย่าฆ่าข้า!”
ซย่าโหวฉิงเทียนไม่มีความอดทนพอที่จะมาฟังเสียงร้องของอู่เม่ย เขาวาดฝ่ามือไปกุมหัวอู่เม่ยเอาไว้
ลำแสงสีม่วงครอบหัวทั้งหัวของอู่เม่ย เพียงไม่นาน อู่เม่ยก็ร่างอ่อนปวกเปียกร่วงลงบนพื้น
ตุ๊กตาหนังมนุษย์
เมื่อเห็นความทรงจำเหล่านั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็เพิ่มแรงมากยิ่งขึ้น
สุนัขบังอาจ!
จิตใจโสมมสกปรกเลวทราม มันกล้ามีความคิดที่จะเอาแมวน้อยไปทำเป็นตุ๊กตาหนังมนุษย์ของมัน!
โดยเฉพาะเมื่อซย่าโหวฉิงเทียนได้รับรู้ถึงการกระทำอันชั่วช้าสามานย์ของอู่เม่ยที่กระทำต่อผู้คน ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ่งคั่งแค้นโกรธเคืองมากยิ่งขึ้น คนวิปลาสเช่นนี้ริอ่านเอื้อมมาแตะแมวน้อยที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขา สมควรตายหมื่นครั้ง!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตายเสียเถอะ!”
สายฟ้าสีม่วงฟาดลงมา พลันก็มีกลิ่นเหม็นไหม้เนื้อมนุษย์ลอยขึ้นสู่อากาศแต่ไร้ควัน ทำให้ผู้คนประหลาดใจยิ่งนัก
ส่วนตี้อู่หงเยี่ยที่รักษาตัวอยู่ในห้องและเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ ทำเอานางตกใจจนแทบตัวหดเหลือครึ่งนิ้ว
“ปีศาจน้อยเก่งกาจถึงเพียงนี้”
หากมิใช่เหตุการณ์ทุกอย่างบังเกิดขึ้นต่อหน้า และนางเห็นการตายอย่างน่าอนาถของอู่เม่ยด้วยตาตนแล้วละก็ เกรงว่าตี้อู่หงเยี่ยคงจะยังดูถูกปีศาจน้อยนั่นอยู่เช่นเดิม นางคงจะยังคิดว่าเจ้าปีศาจน้อยนี่ไม่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ!
ตอนนี้จะทำเช่นไรดี