ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 3 ต้นเหมยสี่ฤดู ก็โรยราในฤดูใบไม้ร่วง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ในสายตาของชาวโลก ใต้เท้าสังฆราชนั้นเชื่อมั่นและเอ็นดูเฉินฉางเซิงอย่างที่สุด ขนาดที่ว่าออกจะน่าประหลาดอยู่บ้าง พูดกันตามเหตุผล แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงควรจะปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของเขา ทว่าความจริงนั้น ตั้งแต่ค่ายทหารมาจนถึงเมืองสวินหยาง เฉินฉางเซิงได้ทำเรื่องมากมายที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของใต้เท้าสังฆราช ไม่ว่าจะมองมาจากมุมไหน ใต้เท้าสังฆราชก็ควรจะผิดหวังอย่างมาก หรืออย่างน้อยก็ต้องถามหาเหตุผล

แต่ใต้เท้าสังฆราชไม่ได้ถาม เขาเพียงแค่มองเฉินฉางเซิงเงียบๆ แล้วพูดขึ้น “ยากจะจินตนาการจริงๆ ว่าศิษย์พี่จะสอนศิษย์เช่นเจ้าได้”

เฉินฉางเซิงนิ่งไป เขาพลันพบว่าความทรงจำที่ตนมีต่ออาจารย์ช่างเลือนรางเหลือเกิน สรุปแล้วอาจารย์เป็นคนอย่างไรกันแน่ ในสายตาของใต้เท้าสังฆราช ศิษย์ที่เขาสั่งสอนควรจะเป็นอย่างไรกัน เขาไม่รู้คำตอบ แต่เขามั่นใจอย่างมากว่า คำพูดประโยคนี้ของใต้เท้าสังฆราชนั้นถูกต้อง เพราะว่าเดิมทีเขาไม่ได้ถูกอาจารย์สั่งสอนมา แต่เป็นศิษย์พี่ของเขาที่สั่งสอนมา…

นึกถึงวัดเก่าที่เมืองซีหนิง หมอกที่หลังเขาและเสียงที่อยู่ท่ามกลางสายหมอกเหล่านั้น ยังมีศิษย์พี่ไปจนถึงดอกไม้ป่า เขาค่อนข้างจะเหม่อลอยอยู่บ้าง

ใต้เท้าสังฆราชมองเขาอย่างสงบและแย้มยิ้ม ใจคิดว่าในเวลาเช่นนี้ จะเป็นใครก็ต้องกังวล ผลคือเด็กน้อยผู้นี้กลับยังมีอารมณ์มาคิดเรื่องอื่น ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง

“นั่งเถิด” เขาพูดกับเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงส่งเสียงตอบไป และนั่งลงบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย เขาไม่ได้นั่งพิงพนัก และก็ไม่ได้ตั้งใจนั่งเพียงครึ่งเดียว สรุปคือเขาเชื่อฟังอย่างว่าง่ายจริงๆ ไม่ได้มีจุดใดที่ตั้งใจเป็นพิเศษ

ใต้เท้าสังฆราชชี้ไปที่กาน้ำชา

เฉินฉางเซิงเข้าใจ จึงยกกาน้ำชารินใส่ถ้วยตรงหน้าใต้เท้าสังฆราชจนเต็ม เขาคิดดู แล้วก็รินใส่ถ้วยชาตรงหน้าของตนใบนั้นจนเต็มเช่นกัน หลังจากนั้นก็เริ่มเหม่อลอย

เพราะว่าเขานึกถึงเรื่องในสองคืนนั้นที่สวนร้อยหญ้า บนโต๊ะเล็กตัวนั้นที่ตนนั่งดื่มชาอย่างไร้คำพูดกับฮูหยินผู้นั้น

ใต้เท้าสังฆราชวางถ้วยชาลง และเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ลองพูดเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนโจวสิ”

พูดอย่างไม่ใส่ใจ ที่ต้องการฟังก็เป็นเนื้อหาที่ไม่ใส่ใจ เพราะว่ามีเรื่องหนึ่งที่สามารถยืนยันได้แน่ ในสวนโจวไม่มีซูหลี

“ในสวนโจว…ข้าได้พบกับแม่นางผู้หนึ่ง” จิตใต้สำนึกของเฉินฉางเซิงพลันพูดขึ้นมา

ใต้เท้าสังฆราชชะงักไป แล้วถามขึ้น “หือ?”

เฉินฉางเซิงถึงได้สติกลับมา เขารู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว จึงรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนโจว บรรยายออกมาอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ตั้งแต่ที่ได้รับร่มกระดาษทองด้ามนั้นมาจากตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย จนกระทั่งพูดถึงสุสานของโจวตู๋ฟู พื้นฐานแล้วไม่ได้มีสิ่งใดตกหล่น มีเพียงแค่พวกรายละเอียดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องหลัก ยกตัวอย่างเช่นหญิงสาว แน่นอนว่าเขาไม่มีทางพูดขึ้น ก็ไม่รู้เพราะเหตุผลใด เขาถึงไม่ได้พูดถึงเคล็ดวิชาดาบสองท่อนกับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่สูญหายเหล่านั้น…

แสงจากท้องฟ้าได้ลอดผ่านชายคาตำหนักลงมา ส่องมาถึงพื้นที่แวววาวราวกับหยก สะท้อนให้พื้นกลายเป็นตารางมากมาย ราวกับกระดานหมากก็ไม่ปาน

ใต้เท้าสังฆราชนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองดูพื้นแล้วนิ่งเงียบเป็นเวลาแสนยาวนาน

สุสานโจว กระบี่บังฟ้า ร่มกระดาษทอง เขาหลีซาน สระกระบี่ คลื่นอสูร นี่เป็นนิทานปรัมปราในช่วงหลายร้อยปีมานี้ เป็นพรหมลิขิตระหว่างโลกทั้งสอง เมื่อเขาได้ฟังจนจบ ก็อดไม่ได้ที่จะปลงอนิจจัง

“ที่แท้…สระกระบี่ก็คือทะเลกระบี่ ซึ่งก็คือที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล สุสานของคนผู้นั้นก็อยู่ภายใน”

เสียงของใต้เท้าสังฆราชได้ดังขึ้นมาในตำหนักที่เงียบสงบ

ในฐานะนักปราชญ์ที่สูงส่งอย่างหาใดเปรียบของโลกมนุษย์ การควบคุมของเขาที่มีต่อโลกใบนี้ได้ไกลเกินกว่าจินตนาการของคนธรรมดาทั่วไป แต่จนกระทั่งถึงวันนี้ เขาเพิ่งจะรู้ว่าในทุ่งหญ้าที่เมื่อหลายปีก่อนตนเคยได้เห็นผืนนั้น ถึงกับซุกซ่อนความลับเอาไว้มากมายถึงเพียงนั้น

“โลงศพศิลาสีดำในสุสานโจวว่างเปล่า” แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงไม่มีทางลืมรายละเอียดที่สำคัญอย่างมากนี้

ใต้เท้าสังฆราชยิ้มโดยที่ไม่ได้เอ่ยพูดอะไร ความเป็นความตายของคนผู้นั้นสำหรับคนจำนวนมากแล้วก็เป็นปริศนา แต่อย่างไรเวลาก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เขาก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่แล้ว

ตรงกันข้าม ใต้เท้าสังฆราชสนใจในเรื่องอื่นมากยิ่งกว่า “เช่นนี้แล้ว ในตอนนี้กระบี่เหล่านั้นก็ล้วนอยู่ในมือของเจ้า”

เฉินฉางเซิงไม่ได้ลังเลใดๆ เขาปลดกระบี่สั้นที่ข้างเอวออก และประคองส่งไปให้ทั้งสองมือ

ในตอนแรกที่อยู่โรงเตี๊ยมในสวนหลีจื่อ ถังซานสือลิ่วอยากจะหยิบกระบี่ของเขาก็ยังถูกเขาปฏิเสธไป แต่ในตอนนี้เขาไม่อาจจะปฏิเสธได้ เพราะว่าใต้เท้าสังฆราชเป็นสังฆราช และยังเป็นอาจารย์อาของเขา

กระบี่ในสระกระบี่อยู่ในมือของเขา เรื่องนี้ก็ไม่อาจจะปกปิดไปได้ ในตอนที่ต่อสู้กับขุนพลเทพเซวียเหอที่ทุ่งกว้าง กระบี่พวกนี้ก็ได้ปรากฏร่องรอยออกมาแล้ว

“เจ้ารู้ว่าฝักกระบี่นี่คืออะไรหรือเปล่า” ใต้เท้าสังฆราชไม่ได้รับกระบี่สั้น แต่มองมาที่เขาแล้วถามขึ้น

เฉินฉางเซิงส่ายหัว

ใต้เท้าสังฆราชค่อนข้างจะหดหู่ แล้วพูดขึ้น “นี่เป็นสมบัติประจำสำนักฝึกหลวงในตอนนั้น ในภายหลังได้หายสาบสูญไปท่ามกลางหยาดเลือดและเปลวเพลิงนั่น ที่แท้ก็ถูกอาจารย์ของเจ้าเอาไปแล้ว”

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

“ข้ากับศิษย์พี่เป็นเพื่อนร่วมโรงเรียน และยิ่งเป็นศิษย์ร่วมสำนัก พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรกับสติปัญญาของเขา ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนอยู่เหนือกว่าข้าไปไกล สุดท้ายกลับเป็นข้าที่ได้สืบทอดตำแหน่งใต้เท้าสังฆราช ส่วนเขาก็ไปเป็นหัวหน้าของสำนักฝึกหลวง”

ใต้เท้าสังฆราชมองดูท้องฟ้าที่นอกตำหนัก ดวงดาวที่สะท้อนในตาทั้งสองข้างบ้างก็ส่องสว่างบ้างก็ดับไป ราวกับเมฆและวันเวลา “เพราะว่าความยึดติดของเขามีมากนัก เจ้าอย่าได้เอาอย่างเขา”

เฉินฉางเซิงยังคงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร สำหรับเรื่องของสำนักฝึกหลวงในตอนนั้น กระทั่งถึงวันนี้ เขาล้วนไม่รู้เรื่องราวที่แท้จริง และต่อให้รู้ เขาก็ไม่มีคุณสมบัติอะไรที่จะพูด

“กระบี่เหล่านั้นที่อยู่ในสระกระบี่ควรจะทำเช่นไร”

“พระราชวังหลีจะประกาศไปทั่วหล้า เหล่าสำนักพรรคที่ยังมีคนรุ่นหลัง ให้เข้ามาลงชื่อก่อน หลังจากนั้นก็ส่งกระบี่คืนให้กับพวกเขา ส่วนสำนักพรรคที่ขาดผู้สืบทอดไปแล้ว กระบี่เหล่านั้นก็ให้เจ้าทำการเก็บรักษาไว้ด้วยตัวเอง”

เฉินฉางเซิงเข้าใจ จัดการเรื่องนี้เช่นนี้ เช่นนั้นหลังจากที่แสงดวงดาวส่องสว่างสุสานเทียนซูแล้ว ตนก็ถือว่าได้สร้างความชอบใหญ่หลวงให้กับโลกมนุษย์อีกครั้ง ข้อครหาที่มาจากการตายของเหลียงเสี้ยวเซียวกับจวงห้วนอวี่เหล่านั้น ก็จะลดลงไปอย่างมาก เขาจึงพูดขึ้น “ล้วนว่าตามที่ท่านกำหนด”

มิได้เคารพภายใต้มงกุฎ มิได้ลากแขนเสื้อแล้วเรียกขานอาจารย์อา เพียงแค่เรียกขานว่าท่านอย่างแผ่วเบา ก็ถือว่าได้ก้าวหน้าไปบ้างแล้ว ความก้าวหน้าของการที่สุดท้ายก็กลับมายังโลกอันชิดใกล้ระหว่างศิษย์อาจารย์

ใต้เท้าสังฆราชพอใจอย่างมาก พลางพูดกับเขา “ไปเถอะ พักผ่อนให้สบายเสียหน่อย”

มองดูสีหน้าของเขา ใต้เท้าสังฆราชเข้าใจว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไร จึงพูดขึ้น “อีกไม่นานเจ๋อซิ่วก็จะได้ออกมา”

ตั้งแต่ต้นจนจบ ใต้เท้าสังฆราชไม่ได้ถามเขาถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซูหลีแม้แต่ประโยคเดียว

……

……

เพิ่งกลับมาถึงจิงตู ไหนเลยจะสามารถพักผ่อนสบายๆ ได้ เมื่อออกจากพระราชวังหลี เขากลับสำนักฝึกหลวงไม่ได้ และไม่อาจไปเยี่ยมเจ๋อซิ่ว เฉินฉางเซิงก็ถูกอาจารย์ซินรับไปที่สำนักการศึกษากลาง

ใบเฟิงแดง (ใบเมเปิ้ลแดง) เดิมทีก็เป็นดั่งเปลวเพลิง แต่ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อน กลับเป็นสีเขียวขจี ก็เหมือนกันกับสิ่งก่อสร้างที่อยู่หลังต้นเฟิง (ต้นเมเปิ้ล) นั่น สิ่งก่อสร้างซึ่งมีสถานะเป็นสำนักงานพระราชาคณะการศึกษาเทวาศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักวัฒนธรรมนิกายหลวง

ในส่วนที่ลึกที่สุดของตำหนักศึกษา ภายในห้องที่เต็มไปด้วยดอกเหมยห้องนั้น เหมยหลี่ซากำลังนั่งหลับตาอยู่ที่ด้านหลังโต๊ะ ราวกับหลับแต่ก็เหมือนไม่ได้หลับ รอยฝ้าคนชราบนใบหน้านั้นสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ก็เหมือนกับผลเหมยสีชาดในถาดบนโต๊ะนั่น เฉินฉางเซิงยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะ มองผ่านถาดใส่ผลเหมยสีชาดไปยังใต้เท้ามุขนายก ในใจค่อนข้างจะมีความซับซ้อนอยู่บ้าง

เมื่อเทียบกับใต้เท้าสังฆราช มุขนายกเหมยหลี่ซากับเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดกันเลย พูดตามเหตุผลแล้ว ควรจะเรียกได้ว่าเป็นคนแปลกหน้าเสียยิ่งกว่า แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขากลับรู้สึกมาโดยตลอดว่าใต้เท้ามุขนายกดีต่อเขาอย่างมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการสอบใหญ่หรือการไปสวนโจว มุขนายกเหมยหลี่ซาล้วนให้ความสะดวกและความช่วยเหลือกับเขาอย่างมาก ถึงแม้ในบางครั้ง เรื่องเหล่านั้นจะทำให้เขากดดันมากขึ้น แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขารู้สึกสับสน ไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ แต่อยู่ตรงที่ใต้เท้ามุขนายกกำลังชราลง

เฉินฉางเซิงไม่รู้ระดับการบำเพ็ญเพียรของมุขนายกเหมยหลี่ซา แต่ด้วยคุณวุฒิของเขาสามารถตั้งตัวเป็นอิสระต่อใต้เท้าสังฆราชในนิกายหลวงได้ และอำนาจในการส่งผลกระทบ ยังมีท่าทีของพวกจูลั่วที่มีต่อเขา ก็น่าจะคิดได้ว่าระยะห่างของเขากับเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่น่าจะห่างไกลนัก นักบวชที่มีระดับพลังเช่นนี้ เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรผู้อื่น การจะอยู่เกินแปดร้อยปีก็เป็นเรื่องที่สามารถเห็นได้ตามปกติ ในวันเวลาที่ยาวนานนี้ เหล่าผู้แข็งแกร่งที่มีการบำเพ็ญสูงส่งลึกล้ำถึงจะค่อยๆ แก่ลง ก็จะมีเพียงแค่ลักษณะของเส้นผมหนวดเครากับพวกริ้วรอยนิดหน่อย ไม่มีทางที่จะมีท่าทีแก่เฒ่าอ่อนแอ มีเพียงตอนที่ถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต ถึงจะเริ่มคิดถึงผู้สืบทอด เหลือทิ้งสายเลือดเอาไว้ หลังจากนั้นก็จะแก่ชราลงด้วยความเร็วที่ยากจะจินตนาการ

ตายอย่างใบไม้ร่วงที่สงบและงดงามหรือ? ไม่ มันเหมือนผลไม้ที่ถูกลมแรงพัดจนร่วงหล่นมากกว่า

ในช่วงหนึ่งปีมานี้ ทั่วทั้งต้าลู่ล้วนรู้ว่า ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซากำลังแก่ลง

นี่ก็หมายความว่า วันเวลาที่ใต้เท้ามุขนายกเหลืออยู่บนโลกได้เหลืออยู่ไม่มากแล้ว เขาสามารถหวนคืนสู่ทะเลแห่งดวงดาวได้ตลอดเวลา

ผลเหมยสีชาดนั้นช่างสวยสดงดงาม ดอกเหมยในห้องที่เบ่งบานก็ราวกับไม่ใช่ปลายฤดูใบไม้ผลิ แต่เป็นช่วงสี่ฤดูที่ช่างตามอำเภอใจ เป็นช่วงเวลาตามอำเภอใจที่ดอกเหมยจะผลิบาน

เมื่อเทียบกับบุปผาที่บานเต็มห้อง ความแก่เฒ่าของใต้เท้ามุขนายกก็ยิ่งดูน่าตระหนก

เฉินฉางเซิงรู้สึกโศกเศร้าอยู่บ้าง

ก็เป็นในตอนนี้เอง ใต้เท้ามุขนายกก็ลืมตาขึ้น มองไปที่เขาแล้วแย้มยิ้ม พลางพูดขึ้น “เข้ามา”

เฉินฉางเซิงทำตามและเดินไปที่ตรงหน้าของเขา

เหมยหลี่ซามองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “ได้รู้ข่าวว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าดีใจเป็นอย่างมาก ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง”

เฉินฉางเซิงฟังคำพูดประโยคนี้ไม่เข้าใจ ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจได้เกิดความไม่สงบจนถึงขั้นหวาดกลัวขึ้นมามากมาย

“ในเมื่อซูหลียังไม่ตาย เช่นนั้นสายตาก็ต้องเก็บกลับมา ตกกระทบลงที่ภายในจิงตู ก็เหมือนกับเจ้าที่อย่างไรก็ยังต้องกลับมาที่จิงตู”

เหมยหลี่ซาพูดขึ้น “การประชุมใหญ่จู่สือเป็นเรื่องของปีหน้า ข้าไม่รู้ว่ายังจะได้อยู่เห็นหรือไม่ แต่อย่างน้อยข้าก็ยังสามารถมองดูเจ้าในหนึ่งปีนี้จนจบได้”

เฉินฉางเซิงคิดจะพูดปลอบใจ แต่กลับพบว่าตนไม่ถนัดเสียเลย จึงก้มหน้าลงอย่างโทษตัวเอง

เหมยหลี่ซามองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างสงบ “ในหนึ่งปีนี้สำหรับเจ้าแล้วสำคัญอย่างมาก”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ข้าไม่เข้าใจ”

“เจ้าใกล้จะสุกงอมแล้ว”

เมื่อพูดประโยคนี้จบ สีหน้าของเหมยหลี่ซาก็เคร่งขรึมขึ้นมา แววตาเปลี่ยนเป็นมืดหม่น ต่อมากลับส่องประกายขึ้นมาดังเดิม “เชื่อข้า สุดท้ายแล้วเจ้ากับพวกเราจะได้รับชัยชนะ”

เฉินฉางเซิงฟังไม่เข้าใจจริงๆ ในใจคิดว่านี่เป็นการต่อสู้กับใครกัน กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หรือ ต่อให้ใช่ ตนจะมีกำลังอะไรไปเข้าร่วมกับการต่อสู้ในระดับนี้

“ปัญหาระหว่างนิกายหลวงกับเหนียงเหนียง ยังคงเป็นเรื่องตำแหน่งในพระราชวังตำแหน่งนั้น”

เหมยหลี่ซาลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขาพาเฉินฉางเซิงเดินไปที่หน้าต่าง มองไปทางพระราชวังที่อยู่ไม่ไกล พลางพูดขึ้น “ในการต่อสู้นี้ เจ้าจะได้แสดงเป็นตัวละครที่สำคัญอย่างมาก”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “เพราะว่าข้า…เป็นศิษย์ของอาจารย์หรือ? แสดงถึงท่าทีที่สนับสนุนราชวงศ์หรือ?”

เหมยหลี่ซาพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่นี้”

ใต้เท้ามุขนายกไม่ได้ทำการอธิบายอย่างละเอียด เพราะว่าเรื่องนี้ยากที่จะอธิบายอย่างมาก กระทั่งไม่อาจที่จะอธิบายได้ และก็เป็นเพราะในตอนนี้ประตูห้องได้ถูกเคาะขึ้นมาพอดี

เมื่อประตูถูกผลักออก ก็ปรากฏบุคคลที่เฉินฉางเซิงคิดไม่ถึงขึ้นมาหนึ่งคน