ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 4 ดังเช่นเจาหมิง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ผู้ที่มาคือเฉินหลิวอ๋อง ตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของราชตระกูลเฉินที่อยู่ในจิงตู และก็เป็นลูกหลานเพียงคนเดียวที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์สามารถยอมรับได้

ชื่อเสียงของเฉินหลิวอ๋องในจิงตูก็ดีเยี่ยม ถูกมองว่าอ่อนโยนราวกับหยกแต่กลับมีความเข้มแข็งอย่างมาก ในตอนนั้นท่านอ๋องซึ่งเยาว์วัยผู้นี้เคยไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ และช่วยเหลือเฉินฉางเซิงกับสำนักฝึกหลวงถึงสองครั้ง ความรู้สึกของเฉินฉางเซิงที่มีต่อเขาก็ดีเยี่ยมอย่างมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถังซานสือลิ่วถึงได้ไม่ชอบเขาอย่างมาก

เฉินหลิวอ๋องทำความเคารพต่อใต้เท้ามุขนายกด้วยท่าทีของผู้เยาว์ หลังจากนั้นก็มองเฉินฉางเซิงพลางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “รู้สึกหรือไม่ว่าการพบกันในครั้งนี้ค่อนข้างจะเร็วไปหน่อย”

เหมยหลี่ซาไม่ได้สนใจความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดประโยคนี้ และพูดต่อขึ้นมา “นิกายหลวงต้องขอให้เหนียงเหนียงรีบแสดงท่าทีให้ชัดเจนโดยเร็ว แน่นอนว่าเหล่าคนของตระกูลเทียนไห่ไม่มีทางเห็นด้วย เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยนั้นเป็นคนฉลาด แต่คนในตระกูลของเขาล้วนไม่เห็นว่าเขามีสติปัญญา และต่อให้มี ก็จะถูกตำแหน่งจักรพรรดิที่ดูเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อมทำลายไป อย่างไรเสียนั่นก็เป็นสิ่งล่อลวงที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้”

เฉินหลิวอ๋องพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ในฐานะราชตระกูลเฉิน ข้ากับพี่น้องทั้งหลายล้วนตั้งใจกันโดยตรง”

สองประโยคนี้ล้วนเป็นการพูดกับเฉินฉางเซิง

“นิกายหลวงจะคอยยืนอยู่ข้างหลังราชวงศ์ตลอดไป ตั้งแต่ปีของไท่จู่ จนกระทั่งถึงตอนนี้” เหมยหลี่ซาพูดขึ้นต่อ “ในตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้อยู่ เพียงเพราะว่าการตายของจวงห้วนอวี่ ทางสำนักเทียนเต้าอาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง ในบรรดามุขนายกทั้งหกท่าน ยังมีอยู่สองคนที่ยังไม่ได้ย้ายมา เพราะว่าการย้ายข้างของใต้เท้าสังฆราชช่างรวดเร็วเหลือเกิน”

เฉินฉางเซิงคิดอยู่ในใจว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้ คดีเลือดของสำนักฝึกหลวงเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้นเป็นเรื่องอย่างไรกันแน่ ทำไมใต้เท้าสังฆราชถึงได้สนับสนุนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มาหลายปีขนาดนี้ เขาเข้าใจว่านี่กำลังเป็นการวิเคราะห์สภาพการณ์ในตอนนั้น แต่ก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าตนจะสามารถทำอะไรได้ ความหมายของการที่ใต้เท้ามุขนายกเตรียมการให้ตนกับเฉินหลิวอ๋องได้พบกันอยู่ที่ตรงไหน

ประโยคถัดมาของเหมยหลี่ซา ได้ไขปริศนาออก แต่นั่นก็เป็นปริศนาข้อใหม่ สำหรับเฉินฉางเซิงไปจนถึงเฉินหลิวอ๋องที่ได้ยินประโยคนี้ ก็ล้วนเป็นเช่นนี้

“ขอให้ในอนาคตท่านอ๋องจะต้องไม่ลืมว่าเฉินฉางเซิงได้เคยทำอะไรไว้บ้าง”

เฉินหลิวอ๋องได้ยินก็เหมือนกับมีการครุ่นคิด แต่คิดแล้วกลับไม่ได้อะไร

เฉินฉางเซิงคิดแล้วไม่ได้อะไร จึงย้ายไปคิดเรื่องอื่นแล้วถามขึ้น “จะทำอย่างไรกับเจ๋อซิ่ว”

ใต้เท้าสังฆราชพูดไว้ว่าไม่นานเจ๋อซิ่วก็จะได้ออกมา แต่เขายังคงร้อนใจอย่างมาก…เจ๋อซิ่วยังอยู่ในคุกใหญ่ อีกทั้งนั่นยังเป็นคุกโจวอีกด้วย!

เขาไม่อาจจะจินตนาการได้ ในช่วงหลายวันมานี้ เด็กหนุ่มเผ่าหมาป่าผู้นั้นจะได้รับการทรมานที่น่าหวาดกลัวเช่นไร

เหมยหลี่ซาพูดขึ้น “ถ้าหากทางราชสำนักยังไม่ยอมปล่อยคน ผ่านไปไม่กี่วัน ข้าจะไปด้วยตัวเอง”

เฉินหลิวอ๋องมองเขาแล้วกล่าวอย่างเสียใจ “ในวันที่สองที่เจ๋อซิ่วเข้าไปในคุก ข้าก็ส่งหนังสือไปแล้ว…แต่เจ้าก็รู้ อ๋องอย่างข้าเมื่ออยู่ต่อหน้าใต้เท้าโจวทง คำพูดก็ไม่ค่อยจะมีประโยชน์เท่าไหร่”

……

……

เขายืนอยู่ท่ามกลางต้นเฟิงที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายฤดูใบไม้ผลินั่น เฉินฉางเซิงมองไปทางคุกโจวที่เล่าขานกัน และก็มองไปทางสุสานเทียนซู สุดท้ายก็มองไปทางพระราชวังกับพระราชวังหลี และถอนหายใจออกมา

เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดา แต่อย่างไรเสียก็ยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่ บนโลกมีเรื่องราวบางอย่างที่ซับซ้อนและหนักหนาเกินไปสำหรับเขา บางอย่างก็ยากที่จะรับไหว กระทั่งทำให้เขาหายใจอย่างลำบาก เมื่อเทียบกับจิงตูแล้ว เขากลับรู้สึกว่ามรสุมที่เมืองสวินหยางยังสบายอกสบายใจและตรงไปตรงมามากยิ่งกว่า เขายอมที่จะยืนอยู่กับดาบเหล็กเล่มนั้น ไปทำเรื่องบางอย่างอย่างเรียบง่าย ต่อให้เรื่องเหล่านั้นจะไม่ได้ง่ายดายก็ตาม

ในสายตาของเหล่านักบวชที่ถ่อมตน เขาออกจากสำนักการศึกษากลางแล้ว ไม่ได้กลับไปยังสำนักฝึกหลวง แต่ไปซื้อของกินมากมายที่ตรอก หลังจากนั้นก็ไปที่สะพานอุดรใหม่ อาศัยแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าในพริบตานั้น เคลื่อนไหวอย่างเลือนราง และกระโดดลงไปในปากบ่อน้ำแห้งนั่น

อากาศที่เบื้องล่างยังคงหนาวเสียดกระดูก มังกรดำกลับกำลังหลับใหลอยู่ ร่างกายที่ใหญ่โตราวกับเทือกเขา นอนอย่างสงบอยู่บนพื้น โซ่เส้นนั้นยังคงตรึงอยู่ที่แขนข้างขวาอย่างแน่นหนา

เฉินฉางเซิงหยิบเอาพวกเนื้อสัตว์ออกมา และใช้ใบบัวรองเอาไว้ วางไว้ที่หน้ามังกรดำอย่างเรียบร้อย สุดท้ายเขาก็ปลดหยกสมประสงค์ชิ้นนั้นออกมาจากช่วงเอว มาวางไว้ที่ตรงพื้น

วิญญาณของมังกรดำยังหลับใหลอยู่ภายในหยกสมประสงค์ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะตื่นขึ้นมาได้

หลังจากทำเรื่องพวกนี้เสร็จแล้ว เขาลองคิดดู จึงได้เขียนตัวอักษรเอาไว้บนพื้นน้ำแข็ง และก็จากไป

เขาออกมาทางสระน้ำ ทั่วร่างจึงเปียกปอนไปหมด เมื่อเปลี่ยนชุดที่เตรียมเอาไว้แล้ว ก็ได้พบกับแพะดำที่สวนในพระราชวังอีกครั้ง เขาแย้มยิ้ม และคุกเข่าลงไปกอดกับมันอย่างสนิทสนม โดยไม่สนใจเลยว่าเจ้าแพะดำจะเชิดหน้าขึ้น ด้วยท่าทีที่ไม่ยินยอมเลยสักนิด

……

……

สายลมโชยพัดขึ้น ความเหน็บหนาวยังคงมีอยู่ แต่กลับถูกพัดกระจายไปไกลนับสิบจั้ง ใบบัวที่อยู่บนน้ำแข็งได้กลับมาเขียวขจีใหม่อีกครั้ง เนื้อสัตว์ที่สดใหม่เหล่านั้นได้กลับมาแผ่ไอร้อนอีกครั้ง

จักรพรรดินีเทียนไห่ไพล่มือทั้งสองข้าง ก้มหน้าลงมองข้อความที่เฉินฉางเซิงเพิ่งจะทิ้งเอาไว้บนพื้นน้ำแข็ง ริมฝีปากเผยรอยยิ้มหยันขึ้นมา

นางไม่แม้แต่จะมอง ความคิดได้เคลื่อนไหว หยกสมประสงค์ชิ้นนั้นก็กลับมาอยู่ที่เอวของนาง

วิญญาณส่วนนั้นของมังกรดำก็ตื่นขึ้นมา กลายเป็นความหนาวเย็นสายหนึ่ง กลับไปยังร่างมังกรผ่านทางแต้มสีแดงที่อยู่กลางหว่างคิ้ว นัยน์ตามังกรค่อยๆ ลืมขึ้น น้ำแข็งค่อยๆ ร่วงหล่น ร่างมังกรที่ใหญ่โตราวภูเขาได้เล็กลงอย่างยากจะจินตนาการ สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นสาวน้อยที่สวมชุดสีดำผู้นั้น เพียงแค่ความเฉยเมยที่ช่วงดวงตาได้ถูกแต้มสีแดงนั่นทำให้จืดจางลงไปมากแล้ว

“มองเห็นหรือไม่ ผู้ชายล้วนไร้หัวใจ” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองนางและพูดเยาะเย้ย

เด็กสาวชุดดำมองเห็นประโยคนั้น หลังจากนิ่งเงียบไปสักพักก็พูดขึ้น “เขาไม่รู้ว่าข้าจะตื่นขึ้นเมื่อไหร่ เขามีเรื่องที่ต้องไปทำ แน่นอนว่าต้องไปก่อน อีกทั้งเขาก็ไม่รู้ว่าข้าเป็นสตรี…”

“เจ้าเป็นมังกรตัวเมีย” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้นอย่างสงบ “ให้เขารู้ความจริงข้อนี้ แล้วจะมีความหมายอะไร”

เด็กสาวในชุดดำโมโหเป็นอย่างมาก ความดุร้ายตรงช่วงดวงตาได้เพิ่มทวีขึ้นมา อุณหภูมิของพื้นที่เบื้องล่างก็ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่ได้ใส่ใจ บริเวณนับสิบจั้งรอบตัวนางยังคงอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ พื้นที่เหยียบอยู่ถึงกับมีความเขียวขจีอยู่น้อยๆ โลกที่อยู่เหนือบ่อน้ำเป็นต้นฤดูร้อน ในยามสนธยา มีความร้อนอบอ้าวอยู่บ้าง ร้านน้ำแข็งที่อยู่ไกลออกไปร้านนั้นก็ทำการค้าได้ดีขึ้นมาก แต่ทางนี้กลับหนาวเหน็บอย่างมาก เพราะว่ามีองครักษ์มากมายกระจายล้อมอยู่รอบด้าน และก็เพราะสุนัขหิมะที่แสนน่ากลัวสองตัวนั้นที่อยู่บนพื้นหญ้าใต้ต้นไม้ ในมือของม่ออวี่จับเชือกเอาไว้อยู่ และกำลังรอคอยอย่างสงบ

หลังจากที่เงาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง นางก็เดินเข้าไปหาเป็นคนแรก และพูดขึ้น “ก่อนหน้านี้เฉินหลิวอ๋องเองก็ไปที่สำนักการศึกษากลาง”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองนางแวบหนึ่ง แล้วถามขึ้น “เจ้าอยากจะพูดอะไร”

ม่ออวี่พูดขึ้น “ข้าไม่เข้าใจ ต่อให้เฉินฉางเซิงจะเป็นลูกศิษย์ของนักพรตจี้ แต่จะได้รับความสำคัญจากนิกายหลวงถึงเพียงนี้ได้อย่างไร นี่…เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องตบตา”

ความไม่เข้าใจเช่นนี้ เป็นปัญหาที่นางผู้อยู่ในฐานะขุนนางและผู้เป็นมันสมองจะต้องพูดขึ้นมา แต่บางทีตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกถึง นี่ก็จะทำให้เหนียงเหนียงลดความระแวงที่มีต่อเฉินฉางเซิงลงไปบ้าง

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พลันพูดขึ้น “การกระทำของคนในนิกายหลวง ก็เป็นการทำเรื่องตบตาให้คนต้องสับสน ไยต้องไปสนใจด้วย”

เมื่อพูดประโยคนี้จบ นางก็เดินไปทางเมืองหลวง สุนัขหิมะสองตัวนั้นก็ลุกออกจากใต้ต้นไม้ไปอย่างไร้สุ้มเสียง และเดินตามหลังของนางไป

เมื่อมองดูเงาหลังของเหนียงเหนียง ม่ออวี่เผยยิ้มขึ้นเจื่อนๆ ในใจคิดว่าหากไม่ต้องไปสนใจจริงๆ เช่นนั้นเพราะเหตุใดเฉินฉางเซิงเพิ่งจะมาเยี่ยมมังกรดำ เหนียงเหนียงท่านก็ตามมาแล้วเล่า

นางไม่เข้าใจ นั่นก็เพราะนางไม่รู้ว่าระหว่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับมังกรดำมีข้อตกลงนั้นอยู่ ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของหยกสมประสงค์ชิ้นนั้น เมื่อกลับไปถึงพระราชวัง มองดูสระน้ำที่อยู่เบื้องหน้าแห่งนั้น นึกถึงที่ก่อนหน้านี้เฉินฉางเซิงก็น่าจะออกมาจากตรงนี้ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็นึกไปถึงเรื่องก่อนหน้านี้ในค่ำคืนนั้น ภาพเหตุการณ์ที่เฉินฉางเซิงโผล่ขึ้นมาจากสระน้ำเป็นครั้งแรก…เด็กหนุ่มผู้นั้นไม่ได้สนใจว่าตนจะอยู่ในพระราชวังที่อันตราย เมื่อได้เห็นกระรอกที่ถูกทำให้ตกใจวิ่งชนจนกระถางดอกไม้จะหล่นลงมาโดนฮูหยินผู้หนึ่ง เขาก็พุ่งเข้ามาแล้ว

บนใบหน้าของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เผยให้เห็นรอยยิ้มที่หยอกเย้าขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแค่รู้สึกว่าช่างเหมือนกับรอยยิ้มของผู้อาวุโสที่กำลังเย้าหยอกลูกหลาน

ความนึกคิดของนางเคลื่อนไหว หยกสมประสงค์พลันลอยออกจากชุดด้วยตัวของมันเอง ลอยไปยังด้านบนของสระน้ำ น้ำในสระได้เคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ราวกับกำลังเดือดพล่าน มีไอหมอกเกิดขึ้นมากมาย แสงสายหนึ่งพลันส่องสว่างออกมาจากภายในหยกสมประสงค์ เข้าไปสู่ม่านหมอกเหล่านั้น ภาพฉากหนึ่งก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา…นั่นเป็นภาพหลังจากที่มังกรดำตามเฉินฉางเซิงออกจากจิงตู เมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ ในภายหลังมีอยู่หลายครั้งที่วิญญาณของนางหลับใหลอยู่ในหยกสมประสงค์ ในตอนที่หยกสมประสงค์อยู่บริเวณเอวหรือข้อมือของเฉินฉางเซิง ก็จะบันทึกภาพเหตุการณ์เอาไว้

มองดูภาพเหตุการณ์เหล่านี้ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งสงบขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มก็ไม่ได้หายไป เพียงแค่ความหยอกเย้าดูน้อยลงไปมาก ที่เหลืออยู่ก็เป็นความเพลิดเพลินบางอย่าง ภาพได้เคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว จนแทบจะกลายเป็นแสงที่ถาโถม เทียบกับความเร็วในตอนปกติแล้วเรียกได้ว่าเร็วกว่าหลายเท่าตัว และก็มีเพียงนักปราชญ์เช่นนาง ถึงจะสามารถมองดูได้อย่างชัดเจน

ในยามที่ปีกหงส์สีทองส่องสว่างท้องฟ้ายามราตรี เด็กสาวชุดขาวที่บาดเจ็บสาหัสได้ปรากฏตัว คิ้วของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้เลิกขึ้น เป็นครั้งแรกที่แสดงถึงความเป็นห่วงบางอย่าง

สวีโหย่วหรงเป็นคนรุ่นหลังที่นางเอ็นดูมากที่สุด ถึงแม้จะผ่านการแปลงโฉม แต่ไหนเลยจะสามารถปิดบังดวงตาของนางไปได้

ในภาพเหตุการณ์ต่อมา สวีโหย่วหรงกับเฉินฉางเซิงได้พบกัน แต่กลับไม่ได้รู้ความจริง นางยิ้มโดยไม่พูด คงรู้สึกว่าช่างน่าสนใจอย่างมาก

ในที่สุด นางก็ได้เห็นภาพของที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล ได้เห็นภาพคลื่นอสูรที่บ้าคลั่ง ได้เห็นสวีโหย่วหรงไม่ลาจาก เฉินฉางเซิงไม่ทอดทิ้ง ได้เห็นสุสานของคนผู้นั้น

รอยยิ้มบนใบหน้าของนางค่อยๆ หายไป นางมองดูสุสานโจวในภาพอย่างสงบ นิ่งเงียบไม่พูดจา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ภาพเหตุการณ์ก็มืดลง ทั้งหมดล้วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย

นางโบกมือขึ้นเบาๆ ทำให้ภาพเหตุการณ์ย้ายกลับไปยังสถานที่ในตอนแรกสุดที่สวีโหย่วหรงกับเฉินฉางเซิงได้พบกัน และก็เป็นสถานที่ที่ความเข้าใจผิดได้เริ่มต้นขึ้น

ที่นั่นเป็นเกาะข้างทะเลสาบ เป็นที่ที่ทั้งสองได้พบแต่ไม่ได้รู้จักกัน

หยกสมประสงค์ไม่สามารถบันทึกความรู้สึกในใจของสวีโหย่วหรงได้ แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นั้นชัดเจนอย่างมากว่าในตอนนั้นนางกำลังคิดอะไรอยู่ เพราะอะไรหลังจากตอนนั้นนางถึงไม่ได้คิดเชื่อมโยงว่าเจ้าคนที่หมดสติในตอนนั้นจะเป็นเฉินฉางเซิงที่มีสัญญาหมั้นกันอยู่…ไม่ว่าจะเป็นใครมามองดู เฉินฉางเซิงก็ไม่เหมือนเด็กหนุ่มที่มีอายุสิบห้าปี เขาสงบสุขุมเกินไป ต่อให้เป็นช่วงที่หมดสติก็เป็นเช่นนี้ ในตอนนั้น สวีโหย่วหรงมองไปก็รู้สึกว่าคนผู้นี้มีอายุอยู่ประมาณช่วงยี่สิบปี เช่นนั้นแล้ว เขาจะเป็นเฉินฉางเซิงไปได้อย่างไรกัน

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ข้างสระน้ำเป็นเวลายาวนาน ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่

ทันใดนั้น นางมองสวีโหย่วหรงที่อยู่ในภาพและพูดขึ้น “ที่แท้เจ้าก็รู้สึกว่าเขาไม่เหมือนเด็กหนุ่มที่มีอายุสิบห้าปี”

สายลมในยามราตรีพัดผ่านยอดหญ้า หัวหน้าขันทีผู้หนึ่งไม่รู้ว่ามาถึงด้านนอกตำหนักตั้งแต่เมื่อไหร่

นางถามขึ้น “เป็นอย่างไร”

หัวหน้าขันทีก้มหน้าลงพลางเอ่ยรายงาน “คดีไม่มีเบาะแสใดใหม่ ที่เมืองซีหนิงใต้เท้าโจวทงก็ไม่ได้พบอะไร…เพียงแต่ใต้เท้าหูผู้เสียสติแห่งสำนักดาราศาสตร์ผู้นั้น จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังยืนหยัดคิดว่า…องค์รัชทายาทเจาหมิงยังไม่ตาย”

เขาติดตามจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มาหลายร้อยปี ไม่รู้ว่าผ่านเรื่องราวใหญ่โตมามากน้อยเท่าไหร่ แต่ในตอนที่พูดถึงคำพูดของใต้เท้าหูผู้เสียสติ น้ำเสียงกลับหยุดไม่ได้ที่จะสั่นเครือขึ้นมา

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองไปยังบนท้องฟ้ายามราตรีไปที่ตำแหน่งที่ดวงดาวบางดวงควรจะอยู่ เป็นเวลานานอย่างมากที่ไม่ได้พูดจา