ตอนที่ 4 การสำรวจ โดย Ink Stone_Fantasy
ตำหนักกิเลนบูรพาเป็นพยาน ข้อตกลงซื้อขายนี้สำเร็จแล้ว ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวจึงค่อยวางใจลงมาได้อย่างสิ้นเชิง เขาวิตกกังวลเกินไปแล้ว ตั้งแต่ผจญภัยจนได้ ‘หัวใจหลิวเมฆาแดง’ อันล้ำค่ามา เขาก็วิตกกังวลเป็นอย่างมากอยู่ตลอดเวลา กระทั่งรู้สึกว่า ‘โลกทิพย์นิจนิรันดร์’ อันตรายเกินไป สามารถพบเห็นค่ายสังหารได้บ่อยๆ จึงยอมเสียเวลากว่าล้านปีให้ส่งตัวมายังโลกทิพย์กิเลนบูรพาโดยไม่เสียดายสิ่งใด
พูดถึงอันดับของโลกทิพย์กิเลนบูรพา ก็ยังดีกว่าโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราอยู่พอสมควร
ก่อนที่ข้อตกลงซื้อขายจะสำเร็จ เขาก็วิตกกังวลเป็นอย่างมาก ปากเขาเรียกราคา ‘ห้าพันศิลาปฐมโลกา’ แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้กระทั่งหนึ่งร้อยก้อนศิลาปฐมโลกาเขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!
“มีศิลาปฐมโลกาเหล่านี้ แผนของข้าก็ดำเนินไปได้แล้ว พลังยุทธ์ของข้าก็สามารถยกระดับขึ้นได้อย่างมหาศาล” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวเอ่ยพึมพำ เขามีแผนการมากมายเหลือเกิน “เผิงเอ๋อร์ อาจารย์อาอย่างข้าต้องการเวลาบำเพ็ญยกระดับให้ดี ระยะเวลาล้านล้านปี… ข้าจะต้องกลับมายังสำนักปักษาเขียวอย่างแน่นอน! พอถึงตอนนั้นข้าก็จะกลายเป็นผู้แกร่งกล้าที่สุดในสำนักปักษาเขียว ปกครองสำนักปักษาเขียว!”
โลกทิพย์นิจนิรันดร์ โดยเฉพาะอาณาเขตที่บรรพชนโลกาปกครองนั้นอันตรายเกินไป ไม่เหมาะสมสำหรับให้เขาพัฒนาการบำเพ็ญ
“อวิ๋นเผิงหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับข้อมูลของเจ้าเด็กผู้นั้นแล้วก็อดที่จะถามมิได้ “ท่านจากสำนักปักษาเขียวมานานเท่าใดแล้วหรือ”
“หลายล้านปีแล้วล่ะ” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวพูด
“ท่านแน่ใจว่าอวิ๋นเผิงเขายังอยู่ที่สำนักปักษาเขียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม
ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวสะดุ้งคราหนึ่ง “คงจะเป็นเช่นนั้นกระมัง”
“ข้าว่าท่านตรวจสอบดูสักหน่อยก่อนดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองประมุขตำหนักย่อยของตำหนักกิเลนบูรพาแห่งนี้ผู้อยู่ด้านข้างยิ้มๆ “ประมุขตำหนักฉีฟู่ สำหรับตำหนักกิเลนบูรพาของพวกท่านแล้ว การจะตรวจสอบว่าเจ้าเด็กน้อยที่ชื่อว่าอวิ๋นเผิงผู้นี้ยังอยู่ที่สำนักปักษาเขียวหรือไม่ มิใช่เรื่องยากเย็นหรอกกระมัง”
“หนึ่งก้อนศิลาปฐมโลกา” ประมุขตำหนักฉีฟู่ท่านนี้เอ่ยพร้อมยิ้มตาหยี
“ได้” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวเอ่ยขึ้นทันควัน
เพียงก้อนเดียวเท่านั้นเองหรือ
เขาในตอนนี้มั่งคั่งร่ำรวย ย่อมไม่สนใจสิ่งเล็กน้อยเพียงเท่านี้อยู่แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มสุรากับชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยว รอคอยข่าวคราวจากทางตำหนักกิเลนบูรพา เบื้องหลังของตำหนักกิเลนบูรพาก็คือเมืองราชันย์มีด ตำหนักเทพอากาศ เมืองดาราราย และวังบรรพชนกู่
ในบรรดาเหล่านั้นก็มีผู้แกร่งกล้าของศาสตร์โบราณอยู่จำนวนหนึ่ง สามารถตรวจสอบสำนักปักษาเขียวในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ซึ่งอยู่ห่างออกไปเป็นระยะทางไกลได้โดยตรง
เพียงชั่วครู่
“เจ้าเด็กน้อยที่ชื่อว่าอวิ๋นเผิงมิได้อยู่ภายในสำนักปักษาเขียว” ประมุขตำหนักฉีฟู่พูด “ข้ายังจะมอบข้อมูลอย่างหนึ่งให้โดยไม่คิดข้าใช้จ่าย ยามที่ตรวจสอบสำนักปักษาเขียวพบว่ามีศิษย์ของสำนักปักษาเขียวกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่… พูดว่ามีศิษย์กลุ่มหนึ่งถูกลักพาตัวไปข้างนอก อวิ๋นเผิงก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย”
หัวใจของชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวที่ลอยคว้างอยู่ เมื่อได้ยินว่าถูกลักพาตัวไปจึงค่อยคลายใจลงเล็กน้อย อย่างน้อยก็ยังมีความหวังว่าจะยังมีชีวิตอยู่ แล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้เขาอยู่ที่ใดกันหรือ”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกันเล่า” ประมุขตำหนักฉีฟู่ส่ายศีรษะ “ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอน การจะตรวจสอบก็มิได้ง่ายดายเช่นนั้น”
“ก็สามารถตรวจสอบได้นี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
เช่นที่วังทวีสูญ ตอนนั้นที่ตามรอยมือสังหารที่สังหารตน ถ้าหากมิใช่ประมุขหอหมื่นโลกาขัดขวาง เกรงว่าคงจะหาตัวพบแล้ว
ประมุขตำหนักฉีฟู่มองตงป๋อเสวี่ยอิงปราดหนึ่งแล้วก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ใช่ ก็สามารถตรวจสอบได้ แต่ค่อนข้างจะยุ่งยากมากเหลือเกิน ตรวจสอบครั้งหนึ่งต้องใช้สองร้อยก้อนศิลาปฐมโลกา”
“สองร้อยก้อนหรือ” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวถลึงตา
เขาถูกส่งตัวมาจากโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ยังจ่ายไปเพียงสิบก้อนศิลาปฐมโลกาเท่านั้น! เช่นยอดฝีมือที่สามารถบุกผ่านชั้นที่สี่ของเจดีย์ดาวได้โดยทั่วไป สมบัติล้ำค่าทั้งเนื้อทั้งตัวรวมกันก็ไม่แน่ว่าจะถึงสองร้อยก้อนศิลาปฐมโลกาได้ แลกกับการตรวจสอบเพียงครั้งเดียวเท่านั้นน่ะหรือ
“เจ้าจะไม่ตรวจก็ได้นะ” ประมุขตำหนักฉีฟู่อมยิ้ม
“ตรวจสิ!” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวขบกราม
นี่คือคนใกล้ชิดที่เขาสนิทใจด้วยที่สุด จำเป็นจะต้องตรวจสอบให้กระจ่าง
คราวนี้ก็รอคอยมานานแล้ว
กว่าสองชั่วยามเต็มๆ ผ่านไป ประมุขตำหนักฉีฟู่จึงเอ่ยว่า “ตรวจสอบกระจ่างแล้ว ตอนนี้เจ้าเด็กน้อยที่ชื่อว่าอวิ๋นเผิงเป็นข้ารับใช้คนหนึ่งอยู่ภายในจวนเทพเนตรมารของ ‘นครภัตตาหารทองคำ’ แห่งโลกทิพย์นิจนิรันดร์”
“นครภัตตาหารทองคำหรือ ข้ารับใช้อย่างนั้นหรือ” สีหน้าของชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวซีดขาวอยู่บ้าง
นครภัตตาหารทองคำ
เป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนใต้ปกครองของผู้ครองโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำก็คือหนึ่งในศิษย์ถ่ายทอดเองจำนวนมากมายของ ‘บรรพชนโลกา’
“ภายในหนึ่งปี ข้าสามารถไปยังนครภัตตาหารทองคำ แล้วช่วยเจ้าเด็กน้อยที่ชื่อว่าอวิ๋นเผิงผู้นี้ออกมาได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เจ้ามั่นใจหรือ” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างตื่นเต้น เท่าที่เขาดู ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำนั้น ลำพังแค่สถานะ ‘ศิษย์ถ่ายทอดเองของบรรพชนโลกา’ … ก็สามารถเดินอาดๆ ในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ได้แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม
ถึงแม้ว่าเจ้าเด็กคนนี้จะโชคดีได้รับสมบัติล้ำค่าไป แต่สำหรับบุคคลระดับสูงของโลกทิพย์ทั้งสามแล้วก็ยังน้อยนิดเหลือเกิน
“มั่นใจสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
……
หลังจากที่ข้อตกลงซื้อขายทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปจากโลกทิพย์กิเลนบูรพาแล้วกลับไปยังจักรวาลภูมิลำเนาตามลำพัง
ณ จวนจ้าวทะเลหมอกดำ ภายในจักรวาลภูมิลำเนา
“จิ้งชิว จิ้งชิว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมาถึงจวนก็เห็นเงาร่างของภรรยากำลังฝึกกระบี่อยู่ที่ไกลๆ จึงตะโกนขึ้นมา
อวี๋จิ้งชิวหมุนกายมาแล้วพูดยิ้มๆ “เสวี่ยอิง เหตุใดจึงกลับมาเร็วเช่นนี้เล่า เจ้าบอกว่ามีเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ก็ยังมิได้พูดให้ละเอียด ที่แท้แล้วมีเรื่องน่ายินดีอันใดกันหรือ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดที่จะส่งเสียงหัวเราะมิได้
เป็นเรื่องน่ายินดีอันยิ่งใหญ่ทีเดียว
เพื่อให้ได้หัวใจหลิวเมฆาแดงมา ก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ!
ในทางหนึ่งตนก็ต้องมาถึงระดับพลังยุทธ์ในปัจจุบัน อีกทางหนึ่งก็ยังโชคดีที่สามารถเข้าไปในขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาได้โดยบังเอิญ! หากมิได้ขุมทรัพย์มา ตนจะมีปัญญาไปซื้อหัวใจหลิวเมฆาแดงไหวได้อย่างไรกัน หากอาศัยเวลาค่อยๆ สะสมเก็บหอมรอมริบ เช่นนั้นก็ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องสะสมไปจนถึงเมื่อใด
“ที่แท้แล้วเป็นเรื่องน่ายินดีอันใดกัน รีบพูดมาเถิด” อวี๋จิ้งชิวอดที่จะเร่งเร้ามิได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม ทันใดนั้นก็โบกมือคราหนึ่ง ทันใดนั้นโถงตำหนักแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศแล้วร่อนลงบนพื้นหญ้า กินพื้นที่ร้อยลี้เต็มๆ
อวี๋จิ้งชิวมองปราดหนึ่งก็รู้สึกว่าโถงตำหนักนี้มีกลิ่นอายไม่ธรรมดา ลำพังแค่ระลอกของกลิ่นอายอันไร้รูปร่างก็ทำให้นางรู้สึกกดดันแล้ว
“ตามข้าเข้ามาสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพาภรรยาเข้าสู่โถงตำหนักแห่งนี้
“จากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็บำเพ็ญอยู่ภายในนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ พูดแล้วก็พลิกมือคราหนึ่ง หยิบเอาขวดหยกสีดำใบหนึ่งออกมา เขาโบกมือคราหนึ่ง ขวดหยกสีดำก็ลอยเข้าไปทางร่องอันหนึ่งบนผนังที่อยู่ไกลออกไป แล้วติดอยู่พอดี ฟิ้ว พื้นผิวของขวดหยกสีดำก็มีเส้นสายสีทองพรั่งพรูออกมา ทุกหนแห่งทั่วทั้งโถงตำหนักต่างก็เริ่มมีเส้นสายพรั่งพรู ไอหอมอ่อนจางขุมหนึ่งค่อยๆ แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งด้านในของโถงตำหนัก
เมื่อได้กลิ่นไอหอม ดวงวิญญาณต่างก็สงบอย่างหาใดเทียม
“ไอหอมนี้สามารถคงอยู่ได้สามร้อยแปดสิบล้านปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางพลิกมือคราหนึ่งแล้วหยิบเอาหีบหยกออกมา พอเปิดหีบหยกแล้ว ภายในหีบก็คือ ‘หน่อไม้เขียว’ ที่ดูเหมือนจะอ่อนอย่างยิ่ง และส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ท่อนหนึ่ง ทว่าดูเผินๆ เหมือนหน่อไม้ แต่พอมองอย่างละเอียดแล้วก็ยังมีความแตกต่างเป็นอย่างมาก ผิวชั้นนอกของมันมีพื้นผิวกึ่งโปร่งแสงหลายชั้น
“กินมันให้หมด” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางภรรยา
อวี๋จิ้งชิวสัมผัสได้เพียงกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่แผ่ออกมาจากภายในหีบหยกเท่านั้น ก็รู้สึกได้ถึงเสียงเรียกร้องของดวงวิญญาณ พลันหยั่งรู้ใคร่ครวญ ประสิทธิภาพก็สูงส่งจนเกินจริง จนเกือบจะเทียบเคียงได้กับการตระหนักรู้ที่นางเคยประสบมาแล้ว
นางรู้ว่าที่สามีไปจากจักรวาลภูมิลำเนาในตอนแรกก็เพื่อเสาะหาสมบัติล้ำค่ามาช่วยให้พวกนางบรรลุ แต่ตงป๋อชิงเหยาและตงป๋ออวี้ต่างก็บรรลุได้ด้วยตนเองไปแล้ว เหลือเพียงแค่นางคนเดียวเท่านั้น!
ก่อนหน้านี้ที่สามีดีใจเสียใหญ่โต คาดว่าก็คงเป็นเพราะสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้กระมัง
“อืม” อวี๋จิ้งชิวหยิบขึ้นมาแล้วกัดเบาๆ คำหนึ่ง กรอบเหลือเกิน เพิ่งเข้าปากก็เปลี่ยนแปรเสียแล้ว เปลี่ยนกลายเป็นพลังงานสีเขียวขุมหนึ่งซึมซาบเข้าไปภายในร่างกาย นางรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ อันทำให้เกิดความรู้สึกที่กระตุ้นให้ดวงวิญญาณสั่นสะท้านยิ่งกว่ากลิ่นหอมเมื่อครู่เสียอีก
“เร็วเข้าสิ กินให้หมดเสีย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
อวี๋จิ้งชิวกัดต่ออีกสองคำก็กินลงไปจนหมด
นางย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่นางกินไปคือสมบัติล้ำค่าที่มีค่ามากมายเพียงใด! ถ้าหากนำหัวใจหลิวเมฆาแดงอันนี้ไปแลกเปลี่ยน… สามารถได้เป็นสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดที่มีพลังยุทธ์เหนือกว่า ‘หมาไนสีดำ’ ของสถานที่แรกเริ่มเสียอีก และราคาสำหรับสร้างจักรวาลแห่งหนึ่งก็ยังมิอาจเทียบได้กับหัวใจหลิวเมฆาแดงอันหนึ่งเลย! แม้แต่สมบัติล้ำค่าทั้งหมดของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนถือกำเนิดใหม่ที่ค่อนข้างอ่อนแอบางคนก็ไม่แน่ว่าจะสามารถซื้อหัวใจหลิวเมฆาแดงได้
……………………………………………….