ตอนที่ 5 อวิ๋นเผิง โดย Ink Stone_Fantasy
ไม่เพียงเท่านี้
สิ่งที่อยู่ภายในขวดหยกสีดำนั้นก็คือ ‘น้ำทิพย์เชี่ยนอี้’ ซึ่งเพียงพอให้คงอยู่ได้สามร้อยแปดสิบล้านปี ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องใช้ศิลาปฐมโลกาไปหนึ่งพันสองร้อยก้อนจึงจะซื้อหามาได้
ตำหนักเทพแห่งนี้ เทพจักรวาลเป็นผู้ลงมือหลอมขึ้นมา ก็ใช้ศิลาปฐมโลกาไปเก้าร้อยก้อน
บวกกับหัวใจหลิวเมฆาแดง…
ลำพังแค่ศิลาปฐมโลกาที่ทุ่มเทไปก็เจ็ดพันหนึ่งร้อยก้อนแล้ว หลังจากนั้นยังต้องจัดการธุระอีกสามเรื่องให้บุรุษวัยกลางคนซึ่งมีเขาเดี่ยวผู้นั้นอีกด้วย
“นี่คือขีดจำกัดที่ข้าสามารถทำได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เนื่องจากในประวัติศาสตร์ก็มีเทพจักรวาลและยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่มีวิธีช่วยในการบำเพ็ญที่ดีที่สุดอย่าง ‘น้ำทิพย์เชี่ยนอี้’ เพื่อช่วยให้คนใกล้ชิดซึ่งเป็นเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นสามารถหลุดพ้นได้ บวกกับตำหนักเทพที่เหมาะสมพอดีและหัวใจหลิวเมฆาแดง
“หลังกินหัวใจหลิวเมฆาแดงหมดแล้ว คาดว่าพลังงานของมันคงจะคงอยู่ได้สามร้อยกว่าล้านปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “จิ้งชิว สามร้อยกว่าล้านปีนี้ เจ้าต้องใช้ทุกขณะในการบำเพ็ญให้คุ้มค่า”
“อื้ม” อวี๋จิ้งชิวพยักหน้า นางใกล้จะต้านรับไม่ไหวแล้ว
ยามนี้แสงทิพย์จำนวนมากวาบขึ้นมาในวิญญาณของนาง นางแค่แบ่งสมาธิไปผลักดันแสงทิพย์เหล่านี้ออกมาเล็กน้อยก็รับรู้อะไรได้มหาศาลแล้ว…
สิ่งที่รับรู้จำนวนนับไม่ถ้วนนี้ซัดสาดเข้ามาไม่หยุด ยังมากมายเกินจริงกว่าการรับรู้ในชั่วขณะเสียอีก!
นี่ก็เป็นเรื่องปกตินัก
ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเอง จวบจนบัดนี้ก็เคยกินผลปัดจิตวิญญาณซึ่งมีมูลค่าห้าสิบศิลาปฐมโลกาไปเพียงผลเดียวเท่านั้น นอกจากนี้พลังของเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าอวี๋จิ้งชิวมาก เพราะถึงอย่างไรอวี๋จิ้งชิวก็เป็นเพียงเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้น มิได้เป็นแม้แต่เทพแท้เสียด้วยซ้ำ…เมื่อสิ่งล้ำค่าเหล่านี้อยู่กับนาง ก็ทำให้ประสิทธิภาพการรับรู้ของนางมากมายเกินจริงยิ่งกว่าการรับรู้ในชั่วขณะเสียอีก ถึงขั้นที่ว่าเนื่องจากวิญญาณของนางอ่อนแอยิ่งนัก เกรงว่าพลังงานของหัวใจหลิวเมฆาแดงคงต้องใช้เวลาสามร้อยกว่าล้านปีจึงจะเผาผลาญไปจนหมด
“ท่านรีบออกไปเถิด ข้าจะรีบเก็บตัวแล้ว” อวี๋จิ้งชิวเอ่ย ไม่ว่าผู้บำเพ็ญหน้าไหน ก็ต้องใฝ่ฝันถึงสถานะการบำเพ็ญเช่นนี้กันทั้งนั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางเดินออกไป
โครมมม…
ประตูตำหนักปิดลง
อวี๋จิ้งชิวเริ่มเก็บตัวทันที!
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูโถงตำหนักที่ปิดลงแห่งนี้แล้วก็อดเผยรอยยิ้มออกมามิได้ เขาพอจะเดาสถานะของภรรยาในตอนนี้ออก “เป็นสถานะการบำเพ็ญที่สูงส่งกว่าการรับรู้ในชั่วขณะตามปกติมาก นอกจากนี้ยังสามารถคงอยู่ได้เป็นระยะเวลานานกว่าสามร้อยล้านปี…หากเช่นนี้ยังไม่หลุดพ้นอีก ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
โลกทิพย์ทั้งห้า
สำหรับเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นแล้ว นี่ก็เป็นสภาพแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญจนถึงขีดสุดแล้ว ส่วน ‘หัวใจนิรันดร์’ และ ‘ผลปฐมโลกา’ นั้นมิใช่สิ่งที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญ หากแต่เป็นสิ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตหลุดพ้นและเป็นนิรันดร์ได้โดยตรง!
“ควรไปทำเรื่องทั้งสามที่ข้าสัญญาเอาไว้ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ โถงตำหนักแห่งนี้หลอมขึ้นโดยเทพจักรวาล ภรรยาอยู่ด้านใน ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยว่าจะมีผู้ใดทะเล่อทะล่าบุกเข้าไป หากภรรยาควบคุมโถงตำหนักอยู่ ต่อให้เป็นตนก็มิอาจฝ่าเข้าไปได้!
“อวี้เอ๋อร์ ชิงเหยา บัดนี้ท่านแม่ของพวกเจ้ากำลังเก็บตัวอยู่ อย่าไปรบกวนล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงให้แก่บุตรธิดา เพื่อป้องกันมิให้พวกเขาเป็นห่วงผู้เป็นแม่
สวบ
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถลาขึ้นสู่ฟ้า กลางอากาศด้านบนบิดเบี้ยวไปหมด เขาบินตรงเข้าไปในนั้น รอจนปรากฏกายขึ้นอีกครั้งก็เข้าไปในโลกทิพย์นิจนิรันดร์แล้ว
……
โลกทิพย์นิจนิรันดร์
มีสถานะค่อนข้างพิเศษ ขณะเผชิญหน้ากับสองลัทธิใหญ่ มันก็ยืนอยู่ข้างเดียวกันกับโลกทิพย์กิเลนบูรพาและโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา แต่หากพูดถึงพลังแล้ว ก็จัดเป็นอันดับสองในบรรดาโลกทิพย์ทั้งห้า จึงย่อมมีคุณสมบัติพอที่จะหยิ่งทะนงได้ อย่าง ‘บรรพชนโลกา’ หากพูดถึงพลังแล้วก็ไม่แพ้จอมมารดาเลย! ส่วน ‘บรรพชนทิพย์’ ผู้ลึกลับเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือว่ามีกลเม็ดแพรวพราว และแตกต่างกับจอมมารดาไม่มากสักเท่าใดนัก
บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ล้วนแต่หยิ่งทระนงเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาแทบจะแบ่งโลกทิพย์นี้จากหนึ่งเป็นสองส่วน แต่ละฝ่ายแบ่งกันปกครองดินแดนของตนโดยไม่ก้าวก่ายกัน
บริเวณที่บรรพชนทิพย์ปกครอง…ระบบการบำเพ็ญ ‘ทิพย์’ นั้นรุ่งเรืองที่สุด ผู้บำเพ็ญระบบทิพย์จำนวนนับไม่ถ้วนอยู่อย่างสันโดษเพื่อบำเพ็ญ ระบบทิพย์นี้ชมชอบการเก็บตัวเพื่อค้นคว้าเป็นระยะเวลายาวนานเสียมากกว่า กลเม็ดของพวกเขาก็มีร้อยแปดพันเก้า! ต้องยอมรับว่า…อย่างน้อยในยุคปัจจุบันนี้ ในระบบทิพย์ ไม่ว่าจะเป็นพลังรบขั้นสูงสุด หรือว่าพลังรบอันรอบด้านของขั้นอลวนและขั้นรวมเป็นหนึ่งก็ล้วนแต่ได้เปรียบระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น
สาเหตุหลักก็เพราะระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์มีการขาดตอนกลางทาง ‘บรรพชนชาง’ ผู้คิดค้นระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ตกต่ำและตัวตายไป เป็นช่วงเวลายาวนานมากที่ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ตกต่ำลงไป เคราะห์ดีที่บรรพชนเทียนอวี๋รุ่งโรจน์ขึ้นแล้วสร้างวังทวีสูญขึ้นมา
แต่เมื่อพูดถึงพลังแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนเทียนอวี๋หรือว่าจอมกระบี่ในตอนนี้ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดก็ล้วนแต่เป็นระดับที่สามทั้งสิ้น ต่อให้ในบัดนี้ หากพูดถึงชื่อเสียงและอำนาจแล้ว ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็อ่อนแอกว่าระบบทิพย์นี้อยู่บ้าง
ณ จวนเทพเนตรมาร นครภัตตาหารทองคำ
“เพียะ! เพียะ! เพียะ!”
ณ ลานเล็กแห่งหนึ่งภายในจวนอันหรูหราแห่งนี้ บุรุษร่างยักษ์ผิวสีเขียวผู้หนึ่งถือแส้เฆี่ยนลงไปบนร่างของหนุ่มน้อยคนหนึ่งอย่างรุนแรง เขาไม่กล้าต้านทานแต่อย่างใด แน่นอนว่าการฝืนต้านทานก้เป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยน เขาทำได้เพียงข่มกลั้นเอาไว้เท่านั้น แส้ฟาดลงบนร่างเขา ทำเอาร่างของเขาล้มกลิ้งลงไปกับพื้น ฟาดไปฟาดมา บาดแผลอันทารุณแผลแล้วแผลเล่าก็ปรากฏขึ้น จากนั้นก็ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน” บุรุษร่างยักษ์ผิวสีเขียวโค้งคำนับไปทางสตรีที่เป็นหัวหน้าอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนพลางกล่าวว่า “เฆี่ยนครบร้อยแส้แล้วขอรับ”
“เฮอะ”
สตรีผู้มีรอยสีม่วงอยู่กลางหว่างคิ้วมองหนุ่มน้อยพลางยิ้มเย็น “ภายหน้าจงจำเอาไว้ เมื่อเห็นข้ามา ไม่เพียงต้องคุกเข่าเท่านั้น ใบหน้าของเจ้าก็ยังต้องสัมผัสกับพื้นด้วย เข้าใจหรือไม่ เจ้าก็แค่ทาสคนหนึ่งเท่านั้น เจ้าต้องจำสถานะของเจ้าเอาไว้ด้วย”
“ขอรับ” หนุ่มน้อยรีบคุกเข่าลงไป ใบหน้าสัมผัสกับพื้นอย่างสิ้นเชิง
“อืม”
สตรีนางนี้จึงตอบรับเสียงหนึ่งแล้วหมุนกายจากไป โดยมีผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มหนึ่งด้านหลังห้อมล้อมอยู่
รอบด้านคืนสู่ความสงบอีกครั้ง หนุ่มน้อยจึงยืนขึ้นมาแล้วปัดเศษผงบนใบหน้าทิ้งไป ร่างกายที่เจ็บปวดอยู่บ้างสั่นสะท้านเล็กน้อย แส้ทำให้ร่างกายมีบาดแผลนั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่สาเหตุหลักก็คือเจ็บปวดเกินไปแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่จวนเทพใช้ลงทัณฑ์พวกเขาเหล่าทาสโดยเฉพาะ แต่ละแส้เจ็บปวดยิ่งกว่าตายเสียอีก
“ทาสหรือ” หนุ่มน้อยอวิ๋นเผิงพึมพำเบาๆ ในใจเศร้าโศกนัก “จวนเทพเนตรมารแห่งนครภัตตาหารทองคำ ข้าจะหนีก็หนีออกไปมิได้”
ยอดฝีมือทั้งแปดซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ครองนครภัตตาหารทองคำต่างก็สร้างจวนเทพขึ้นมาคนละหลัง
สถานะของจวนเทพเนตรมารภายในนครภัตตาหารทองคำนั้นแค่คิดดูก็รู้ ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำยังเป็นศิษย์ถ่ายทอดเองของบรรพชนโลกาอีกด้วย…
“ทาส ต้องเป็นทาวไปตลอดกาลอย่างนั้นหรือ” อวิ๋นเผิงเริ่มก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดลานอย่างเป็นระเบียบ ในฐานะทาส โดยทั่วไปแล้วเขาไม่มีสิทธิ์เงยหน้าขึ้นมาตามปกติได้ “หนีออกไปไม่ได้ คิดจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเสียหน่อย ก็มีแต่ต้องขยันบำเพ็ญเท่านั้น บำเพ็ญจนสำเร็จเป็นเทพอากาศก็จะสามารถคืนสู่อิสรภาพได้แล้ว แต่ข้ายังห่างกับคำว่าเทพอากาศมากมายยิ่งนัก”
“ไร้ซึ่งทรัพยากรใดๆ แม้แต่เวลาบำเพ็ญก็ยังมีน้อยมาก” อวิ๋นเผิงยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า ทว่าด้วยนิสัยของผู้บำเพ็ญทำให้เขาไม่ย่อท้อง่ายๆ
……
กลางท้องฟ้านอกนครภัตตาหารทองคำ
กลางอากาศอันเงียบสงบมีลมพัดโชย ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวขึ้นมา จากนั้นก็มีเงาร่างสายหนึ่งก้าวออกมาเสียงดังสวบ ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งมองดูนครภัตตาหารทองคำอันสูงตระหง่านตรงหน้าอย่างสงบนิ่ง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่า…ผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งที่ไร้เทียมทานคนหนึ่งซึ่งมีพลังเทียบเท่ากับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนคนใหม่ผู้หนึ่งได้มาถึงนอกเมืองแล้ว
พลังรบระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หก นี่ก็เพียงพอให้สร้างชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของโลกทิพย์ทั้งห้าได้แล้ว
“นครภัตตาหารทองคำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสรับรู้ดูเล็กน้อย ก็พบว่าตัวเมืองของนครตรงหน้านี้มีค่ายกลมหึมาอยู่ เขามิอาจฝืนตรวจสอบดูได้เลย
จากนั้นเขาสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็มาถึงหน้าประตูเมืองแล้ว
ทหารรักษาการณ์หน้าประตูเมืองเห็นฉากนี้เข้าก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยอดฝีมือที่สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้ก็พบเห็นได้บ่อยนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงท่องไปในนครภัตตาหารทองคำ ดูเหมือนจะก้าวออกไปตามปกติเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ผู้อื่นอาจถือได้ว่าเป็นการเคลื่อนที่ในพริบตาเป็นระยะทางสั้นๆ ทว่าแต่ละก้าวของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเกินสิบล้านลี้ เพียงไม่กี่ก้าว ก็ไปยินอยู่หน้าประตูจวนอันหรูหราแห่งหนึ่งแล้ว ซึ่งนี่ก็คือ ‘จวนเทพเนตรมาร’ หนึ่งในแปดจวนเทพแห่งนครภัตตาหารทองคำนั่นเอง
……………………………..