ดื้อรั้นอันใดเช่นนี้?
อู๋จุนมองซูจิ่นซีด้วยความตกตะลึง
โซ่เหล็กสีดำทะมึนและเย็นเฉียบนั้น หนากว่าแขนของซูจิ่นซีเสียอีก ร่างผอมบางของซูจิ่นซียืนประจันหน้ากับโซ่เหล็กอันทรงพลัง ทำให้ผู้ที่พบเห็นอดทอดถอนใจไม่ได้ ด้วยเป็นกังวลว่า หลังจากนี้ โซ่เหล็กอันทรงพลังจะดึงแขนของซูจิ่นซีจนขาดสะบั้นเหมือนเมื่อครู่
ทว่าแท้จริงแล้ว ความกังวลทั้งหมดดูจะมากเกินไป
รูปร่างบอบบางของนาง ไม่เพียงไม่หวาดหวั่นหรือยอมแพ้ ซูจิ่นซีมีพลังภายในอันแข็งแกร่งที่น่าตกตะลึง นางค่อยๆ พันโซ่ตรวนกับข้อมือของนางทีละรอบ
เนื่องจากใช้แรงมากเกินไป กระดูกข้อต่อที่มือและแขนของนางจึงขาวซีด เม็ดเหงื่อที่หน้าผากไหลซึมและหยดลงบนพื้น บริเวณเท้าเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ทว่าเท้าของนางไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ทั้งยังจมลึกลงไปในดิน
อู๋จุนเป็นห่วงซูจิ่นซีมากเกินไป ทำให้เขาไอไม่หยุด
เขาพยายามเดินเข้าไปช่วยซูจิ่นซี ทว่ากลับถูกซูจิ่นซีตะโกนกลับมา
“ถอยออกไป! ”
แท้จริงแล้ว อู๋จุนรู้ดีว่าสภาพของเขาในตอนนี้ ไม่อาจช่วยเหลืออันใดซูจิ่นซีได้ ทั้งยังสร้างปัญหาให้นางอีกด้วย
เขาหยุดนิ่งอยู่กับที่ พลางมองร่างบอบบางของซูจิ่นซีด้วยดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่า แม่นางพิษน้อยที่มีร่างกายบอบบาง จะสามารถต่อต้านพลังภายในที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่า ภายในร่างกายของแม่นางพิษน้อยจะมีพลังอันทรงพลังเช่นนี้
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่า แม่นางพิษน้อยจะงดงามถึงเพียงนี้ รูปร่างที่ผอมบางยืนประจันหน้ากับพลังมหาศาลอย่างไม่ยอมแพ้และไม่หวาดกลัว ความงดงามเช่นนี้ งดงามยิ่งกว่าเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายหลายเท่านัก
เกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง โซ่เหล็กขาดสะบั้นออกจากกัน
ปลายด้านหนึ่งของโซ่เหล็กที่ยื่นออกมาจากด้านในถ้ำ กระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง ภายในถ้ำสั่นสะเทือนอีกครั้ง โซ่เหล็กตกกระทบพื้นจนเกิดเป็นหลุมลึก
ทันทีที่โซ่เหล็กขาดออกจากกัน ซูจิ่นซีรีบเก็บพลังภายในกลับคืน นางเปลี่ยนพลังภายในด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง ทว่าไม่ทันการณ์เสียแล้ว
ร่างบอบบางของซูจิ่นซีถูกโจมตีด้วยพลังอันมหาศาลของโซ่เหล็กและพลังของนางเอง นางซวนเซถอยหลังไปหลายก้าว โซ่เหล็กอีกด้านหนึ่งที่นางกำไว้ในมือ ตกกระทบพื้นอย่างหนักจนเกิดเป็นหลุมลึกและรอยแยก เสียงโซ่กระทบพื้นที่ดังขึ้นภายในถ้ำอันเงียบสงัด เป็นดั่งเสียงร้องของวิญญาณในขุมนรก
ร่างของซูจิ่นซีลอยไปกระแทกผนังหินภายในถ้ำจนเกิดเสียงดัง ก่อนจะกระอักเลือดออกมา
ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีไม่สามารถฟื้นฟูพลังกลับมาได้ นางรู้สึกเพียงว่าภาพเบื้องหน้าเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด ทั้งยังเจ็บปวดไปทั่วตัว ร่างของนางค่อยๆ ไถลลงมานอนบนพื้นราวกับใบไม้ที่ร่วงหล่น
ซูจิ่นซีรู้สึกว่ากระดูกทั้งร่างแตกละเอียด ผิวหนังปริแตก ร่างกายอ่อนปวกเปียก และบางอย่างภายในร่างกายก็ไหลทะลักออกมา
ตอนที่นางใกล้จะหมดสติ ภาพสีแดงเบื้องหน้าค่อยๆ ขยายกว้างมากขึ้น มันเป็นสีแดงที่แดงยิ่งกว่าดอกม่านถัวหลัว และอู๋จุนก็วิ่งเข้ามาหานางด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
หน้ากากเย็นชาของอู๋จุนหล่นลงบนพื้น ขณะที่เขาวิ่งเข้ามาหานางอย่างลนลาน เผยให้เห็นดวงตาสุกสกาวและใบหน้าอันหล่อเหลางดงาม
ช่างงดงามยิ่งนัก…
ความงดงามนี้ เหนือกว่าความงดงามทั้งหมดในโลก
……
ซูจิ่นซีที่นอนจมกองเลือดรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง นางฟื้นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเตือนของระบบถอนพิษที่ร้องเตือนไม่หยุด
นอกจากเสียงแจ้งเตือนของระบบถอนพิษที่ดังก้องอยู่ในโสตประสาทของนางแล้ว ยังมีเสียงหยดน้ำที่ตกกระทบหินภายในถ้ำซึ่งดังกังวาลชัดเจน
ซูจิ่นซีค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภาพเบื้องหน้ายังคงเป็นภาพที่มืดสลัว แสงไฟสั่นไหวไปมา สะท้อนเงาหินที่ตั้งตระหง่านภายในถ้ำให้ทอดยาวลงบนพื้น ราวกับเงาของวิญญาณ ยิ่งเพิ่มความวังเวงอย่างน่าประหลาด และทำให้ถ้ำที่เงียบสงัดหนาวเหน็บมากขึ้น
‘เคร้ง เคร้ง’
ทันใดนั้น เสียงเหล็กเสียดสีกันก็ดังเข้ามาในหู ซูจิ่นซีเงยศีรษะขึ้นอย่างยากลำบาก นางมองไปทางต้นกำเนิดของเสียง พลางขมวดคิ้วแน่น
บนแท่นหินที่อยู่ห่างออกไป สิ่งที่เห็นทั้งหมดคือโซ่เหล็กสีดำทะมึนซึ่งถูกพาดพันทั้งแนวยาวและแนวกว้าง ซ้อนทับกันไปมาเหมือนใยแมงมุม
ใจกลางตาข่าย ‘ใยแมงมุม’ มีสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดถูกมัดอยู่
ซูจิ่นซีเพ่งมองครู่ใหญ่ จึงรู้ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นคือมนุษย์
เสื้อผ้าบนร่างกายของคนผู้นั้นขาดวิ่นจนไม่เหลือชิ้นดี เศษผ้าที่ขาดวิ่นปกปิดเฉพาะส่วนที่ควรปกปิดเท่านั้น เส้นผมของเขาพันกันยุ่งเหยิงยิ่งกว่าโซ่เหล็กที่อยู่รอบตัวเสียอีก ใบหน้าลึกลับซุกซ่อนอยู่ภายใต้เส้นผมรกรุงรัง จนแทบจะมองไม่เห็นสิ่งใด มีเพียงส่วนแขนซึ่งถูกพันไว้กับโซ่เหล็กที่โผล่พ้นออกมา ไม่รู้ว่าเขาไม่ได้อาบน้ำมานานเพียงใดแล้ว แสงเทียนสลัวสาดส่องกระทบร่างกายของเขา
อย่างไรก็ตาม ภายใต้แสงไฟสลัว สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาซูจิ่นซีคือ แผ่นหยกสีขาวบนข้อมือของเขา
ซูจิ่นซีมองออกว่าสิ่งนั้นเป็นของนาง ด้านหน้าแผ่นหยกสลักตัวอักษร ‘จง’ ด้านหลังสลักชื่อมารดาของนาง ‘ซีจือ’
ซูจิ่นซีมองไปยังทิศทางนั้น ก่อนที่นางจะทันได้เอ่ยปาก เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด “นางหนู บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ แผ่นหยกชิ้นนี้เจ้าได้มาอย่างไร? ”
หลังสิ้นเสียงพูด คนผู้นั้นก็หันหน้ามามองนาง
เมื่อเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นอย่างชัดเจน ซูจิ่นซีพลันตกตะลึง
มันเป็นความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก
ผิวหนังของเขามีสีเข้มเนื่องจากอยู่ในที่มืด เบ้าตาลึก รอบริมฝีปากเขียวคล้ำ สภาพดูน่าหวาดกลัวอย่างมาก
แต่เมื่อเพ่งมองอย่างละเอียด กลับเป็นใบหน้าที่มีเหลี่ยมมุมชัดเจน อวัยวะบนใบหน้าจัดเรียงอย่างสมส่วน
หน้าผากกว้าง คิ้วเข้มดั่งคันศร ดวงตาดำขลับเป็นประกาย สันจมูกโด่ง โหนกแก้มสูง ริมฝีปากคมชัด
เห็นได้ว่า บุรุษผู้นี้มีใบหน้าสง่างามไม่เลวเลยทีเดียว
น่าเสียดาย ตอนนี้ซูจิ่นซีไม่มีเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้
ต่อให้มีเวลามากกว่านี้ ซูจิ่นซีก็ไม่มีทางสนใจบุรุษที่มีอายุห่างจากนางถึงสองเท่า
แม้ซูจิ่นซีจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ทว่าพลังของนางไม่ลดลงแม้แต่น้อย ทั้งนางยังมองแผ่นหยกชิ้นนั้นด้วยสายตาเย็นชา
“คืนแผ่นหยกชิ้นนั้นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! ”
แววตาของคนผู้นั้นเผยให้เห็นความขุ่นเคือง น้ำเสียงของเขามืดมน “นางหนู ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง แผ่นหยกชิ้นนี้ เจ้าได้มาจากที่ใด? ”
สิ่งที่ซูจิ่นซีเกลียดมากที่สุดคือ คนที่หยิบสิ่งของของนางไปตามอำเภอใจ ทั้งที่เป็นคนที่นางไม่รู้จัก และเกลียดที่ผู้อื่นซึ่งไม่ใช่เยี่ยโยวเหยา พูดกับนางโดยใช้น้ำเสียงเช่นนี้
แท้จริงแล้ว เมื่อเยี่ยโยวเหยาพูดกับนางด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ นางก็เกลียดเช่นกัน ทว่านางทนได้ นางอดทนกับเยี่ยโยวเหยาได้ แต่ไม่เคยอดทนกับผู้อื่น
“ข้าจะพูดอีกครั้ง คืนหยกชิ้นนั้นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! ”
‘เคร้ง เคร้ง’ โซ่เหล็กเส้นหนึ่งที่อยู่ด้านล่างคนผู้นั้นพุ่งเข้ามาหาซูจิ่นซี ทั้งยังมีความเร็วที่น่าประหลาด โซ่เหล็กพันรอบข้อมือของนางและบีบรัดอย่างรวดเร็ว
ซูจิ่นซีในเวลานี้ไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้าน ชั่วพริบตา โซ่เหล็กก็มัดรอบตัวนางและดึงไปยังเบื้องหน้าคนผู้นั้น
นัยน์ตาดำขลับที่ฝังอยู่ในเบ้าตาลึก จับจ้องมาที่ดวงตาของซูจิ่นซีราวกับจะกินเลือดกินเนื้อนางให้ได้