ส่วนที่ 5 ตอนที่ 36 ความหวานชื่นกับความทุกข์

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

อยากร่ำรวยก็ต้องปูทางก่อน คำพูดประโยคนี้อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจเลือกให้เป็นคำพูดคลาสสิกในเส้นทางการดำเนินชีวิตของเขา

 

 

ใครจะคิดว่ามีอันตรายซ่อนอยู่มากมายในแม่น้ำอันเชี่ยวกรากสายนี้ ที่นี่ไม่มีเขื่อนสามผาที่ใหญ่โตมโหฬาร นี่มีสิ่งเดียวที่เรียกว่าโขดหินผา ชื่อของสิ่งนี้ฟังดูเป็นชื่อที่ดี แต่แท้จริงแล้วมันเป็นความชั่วร้ายที่กินมนุษย์จนไม่เหลือกระดูกมาเป็นเวลายาวนานแล้ว ไม่รู้ว่ามีชาวเรือจำนวนเท่าไรที่ถูกฝังอยู่ใต้โขดหินนี้ เรือล่มคนตาย กระดูกไม่มีเหลือ อยากจะลำเลียงไม้จินซือหนานมู่จากที่นั่นคงต้องชนโขดหินเหล่านั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ถึงตอนนั้นที่ได้มาน่าจะเป็นไม้หักเป็นท่อนๆ ที่ไม่สามารถนำไปทำอะไรได้

 

 

“เจ้าหนุ่ม เว้นแต่ว่าเจ้าจะนั่งบนนั้นเพื่อให้ต้นไม้คงสภาพในแนวตั้งไว้ เช่นนั้นเจ้าจึงจะสามารถปล่อยไม้ได้” หลี่เซี่ยวกงยังล้ออวิ๋นเยี่ยเล่นหลังจากพูดจบ

 

 

“การที่จะให้ไม้คงสภาพในแนวตั้งไว้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แถมข้าก็ไม่ต้องขึ้นไปนั่งเองด้วย” อวิ๋นเยี่ยตอบอย่างหงุดหงิด ใครจะรู้ว่าหลี่เซี่ยวกงถามอย่างจริงจังว่า “แล้วเจ้าจะมีแผนการอย่างไร”

 

 

“ท่านเป็นคนที่ยิงธนูมาชั่วชีวิต ท่านยังไม่เข้าใจหลักการนี้อีกหรือ ท่านเคยเห็นลูกธนูกลิ้งไปข้างหน้าหรือไม่ เพียงแค่ติดตั้งปีกที่ด้านหลังของไม้ก็ใช้ได้แล้ว ผู้เยาว์กล้ารับประกันว่าท่อนไม้นี้จะลอยพุ่งตรงไปข้างหน้าแน่นอน โดยจะไม่ลอยหมุนกลับมาเป็นแนวขวางแล้วไปชนโขดหินน่ารังเกียจพวกนั้นแน่

 

 

หลี่เซี่ยวกงคว้าศีรษะของอวิ๋นเยี่ยมาพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งและพูดกับเซียวอวี่ว่า “ผู้คนมักจะพูดว่าใครบางคนรู้จักพลิกแพลงหาใครเปรียบได้ ข้ามักจะคิดว่าเหลวไหลไร้สาระ ไม่คิดว่าจะได้พบที่นี่ พี่สือเหวิน เจ้าว่าอย่างไร”

 

 

เซียวอวี่หัวเราะฮ่าๆ และพูดว่า “ถ้าเขาแก้ปัญหาข้อนี้ของข้าได้ ข้าจึงจะเห็นด้วย เจ้าหนุ่ม เจ้ารู้ไหมว่าไม้จินซือหนานมู่ไม่สามารถลอยอยู่บนผิวน้ำได้ มันลอยอยู่ในน้ำได้เท่านั้น เจ้าหนุ่ม มันลอยขึ้นมาไม่ได้ เจ้าจะทำให้มันกลายเป็นแพไม้ได้อย่างไร”

 

 

เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น หลี่เซี่ยวกงก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังขึ้นอีกครั้ง เรียกคนรับใช้นำอ่างน้ำเข้ามา หยิบที่วางพู่กันบนโต๊ะทำงานมาแล้วโยนมันลงในอ่าง เป็นจริงดังที่ว่า พู่กันลอยอยู่ตรงกลางน้ำไม่จมลงไปแต่ก็ไม่ลอยขึ้นมา

 

 

เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้เข้าเฉิงฉู่มั่วก็ตกตะลึงอึ้งไป อ้าปากค้างจนน้ำลายไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

หลี่เซี่ยวกงและเซียวอวี่ชายชราใจดำสองคนก็เริ่มกุมท้องหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง อาการเห็นคนอื่นเป็นทุกข์แล้วมีความสุขนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก

 

 

อวิ๋นเยี่ยหยิบพู่กันหลายด้ามจากบนโต๊ะ แล้วตัดปลายพู่กันออก หาเชือกเส้นเล็กๆ มา นำกระบอกไม้ไผ่ผูกเข้ากับที่วางพู่กันแล้วโยนมันลงไปในน้ำอีกครั้ง คราวนี้ที่วางพู่กันลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างมั่นคง ไม่จมลงไปอีก

 

 

ชายชราสองคนหยุดหัวเราะทันควัน แทบไม่ได้หายใจเข้าจนตาขาวเหลือกขึ้นมา

 

 

เฉิงฉู่มั่วปรบมืออย่างมีความสุขเหมือนเด็กๆ และตะโกนว่า “ลอยขึ้นแล้ว ลอยขึ้นแล้ว ตาเฒ่าสองคนจนแต้มแล้ว”

 

 

เสียงยังไม่ทันจบลง ด้านหลังศีรษะของตนเองก็โดนตบเข้าให้หนึ่งฝ่ามือ ที่บั้นท้ายโดนถีบเข้าให้หนึ่งฝ่าเท้า ชายชราทั้งสองคนขายหน้าจนเริ่มโกรธแล้ว เพราะโต้แย้งไม่ได้แล้วจึงเริ่มวางอำนาจของผู้อาวุโส

 

 

“ท่านลุงหลี่ ท่านลุงเซียว ข้าตั้งใจจะขนไม้จินซือหนานมู่ออกมาในเดือนแปดขณะที่แม่น้ำฉางเจียงกำลังน้ำขึ้นสูง หนึ่งพันต้น ถึงตอนนั้นน้ำในแม่น้ำจะปิดคลุมโขดหินอย่างสมบูรณ์ มีเวลาครึ่งปี ไม่ว่าอย่างไรก็มีเวลาพอเพียงให้ข้าได้ลงมือแล้ว”

 

 

“ที่บ้านข้ายังมีชายชราหลายคนที่เมื่อก่อนติดตามข้ารบทัพจับศึกขึ้นเหนือล่องใต้พร้อมกับข้า สามารถให้เจ้ายืมไปได้ แต่เงินเดือนจะต้องจ่ายหนักนะ ถ้าข้าได้ยินข่าวว่าเจ้าไม่ดีต่อพวกเขา ข้าจะบุกขึ้นเขาอวี้ซันหาเจ้าเพื่อทวงถามเรื่องนี้”

 

 

แน่นอนว่าอวิ๋นเยี่ยต้องรับปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ทหารผ่านศึกเหล่านั้นเรียกได้ว่าจะต้องไปเสี่ยงชีวิต ตระกูลอวิ๋นจะไม่ให้พวกเขาต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน

 

 

“เหลาหลี่ข้ากับเจ้าต่างก็ก้าวขาหนึ่งข้างลงโลงไปแล้ว ถ้าไม่ฉวยโอกาสตอนนี้ตอกโลงศพสักอันยังจะต้องรอถึงเมื่อไหร่กัน” เซียวอวี่ครั้นได้ยินว่ามีไม้จินซือหนานมู่หนึ่งพันต้น มีหรือจะอดใจไหว ยุยงส่งเสริมให้หลี่เซี่ยวกงใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์

 

 

หลี่เซี่ยวกงโบกมือใส่เซียวอวี่และพูดว่า “ภาระหน้าที่ของเจ้าหนุ่มนี่ก็มากพอแล้ว พวกเราสองพี่น้องจะไม่เข้าไปวุ่นวาย รอให้ภาระหน้าที่ของเขาจบลง หากต้องการไม้จินซือหนานมู่ก็ให้ทหารผ่านศึกเดินทางอีกครั้ง ทำไมจะต้องเข้าไปวุ่นวายกับเขาด้วย”

 

 

เซียวอวี่ยิ้มกับอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “ข้าละโมบเกินไปแล้ว เจ้าหนุ่ม ห้ามเจ้าออกไปทำลายชื่อเสียงข้าให้เสียหายนะ”

 

 

ทหารผ่านศึกหนึ่งร้อยคน นี่คือจำนวนทหารเรือที่หลี่เซี่ยวกงให้สัญญาไว้ เมื่อมีพวกเขา อวิ๋นเยี่ยคิดว่าเรื่องอื่นนั้นไม่ใช่ปัญหา มีไม้หนานมู่จำนวนมากใกล้ๆ เมืองไป๋ตี้ เพียงแต่สถานที่นั้นอันตรายไปสักหน่อย ไม่มีทางที่จะขนส่งออกมาได้ ชาวบ้านท้องที่ก็เฝ้ารอขอทานจากผู้ที่มีเงินอยู่ทุกแห่ง อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าด้วยรายได้จำนวนมากเช่นนี้ ขุนนางและชาวบ้านที่นั่นจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาก

 

 

สำหรับเรื่องที่ว่ามันจะเป็นแบบอย่างอันเลวร้ายแก่คนในยุคปัจจุบันที่ทำให้ไม้จินซือหนานมู่หายตัวไปจากเสฉวนหรือไม่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นเยี่ยจะสามารถพิจารณาได้ แทนที่จะเก็บเอาไว้ให้ฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงนำไปสร้างสุสาน ตอนนี้นำมาสร้างพระตำหนักที่โอ่อ่าหรูหรางดงามที่สุดในโลกอย่างเปิดเผยยังจะดีเสียกว่า

 

 

อวิ๋นเยี่ยได้มอบให้กงซูมู่ดูแลตำหนักทั้งหลัง ตระกูลกงซูเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในวงการนี้ หลังจากผู้เฒ่ากงซูได้ยินข่าวนี้ก็ตื้นตันจนน้ำตาไหลอาบแก้ม เชิญป้ายวิญญาณของหลู่ปันออกมาในทันใด ทั้งตระกูลทำพิธีเซ่นไหว้และขอให้อวิ๋นเยี่ยกับหลี่กังเข้าร่วมชมพิธี

 

 

เครื่องมือใช้สำหรับงานไม้ต่างๆ เช่น กบไสไม้ เลื่อยและเครื่องขีดเส้นตรงวางเรียงอยู่บนโต๊ะเซ่นไหว้ ไม่มีเครื่องไหว้ซาแซ[1] ไม่มีการจุดธูปให้ฟุ้งตลบ ลูกหลานของตระกูลกงซูอธิษฐานจิตอย่างจริงใจ กงซูมู่ท่องคำบวงสรวงจบก็ตะโกนเสียงดังขึ้น “เริ่มงาน” จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างหน้า หยิบเลื่อยขึ้นมาเลื่อยท่อนไม้ที่ได้เตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าจนขาดเว้าเป็นช่องโหว่ กงซูเจี่ยใช้กบไสไม้ไสเนื้อไม้ออกมาเป็นเส้นยาวๆ แล้วนำมาวางไว้บนโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้ กงซูมู่เริ่มแจกจ่ายแบบก่อสร้างอย่างเป็นทางการ

 

 

แบบจำลองนั้นเป็นขั้นตอนแรกที่ตระกูลกงซูต้องทำ มีผู้อาวุโสเพียงสามคนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะทำได้ แม้แต่กงซูเจี่ยก็เป็นได้แค่ผู้ช่วยเท่านั้น คนอื่นๆ ในตระกูลกงซูก็ไม่ได้อยู่เฉย ลูกสะใภ้ของลูกชายคนเล็กใช้มีดเล็กเหลาจันทัน[2]ที่นับไม่ถ้วนเหล่านั้น บรรดาฮูหยินที่สูงวัยในบ้านเริ่มใช้ฝีมือทำการเย็บปักถักร้อยประตูและหน้าต่างนานาชนิด แม้แต่งานแกะสลักบนประตูและหน้าต่างนั้นก็มองเห็นลวดลายได้อย่างชัดเจน

 

 

การมอบสิ่งต่างๆ ให้กับผู้ที่เป็นมืออาชีพไปดำเนินการนั้นเป็นคติพจน์แห่งความสำเร็จ ตระกูลกงซูนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่โดดเด่นที่สุดในวงการนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

ตอนนี้เผยอิงยังมีความสนใจกับงานที่เสี่ยงอันตราย ยิ่งเสี่ยงอันตรายมากเท่าไรเขาก็ยิ่งชอบ เมื่อได้ยินว่าการขนไม้เป็นงานที่อันตรายที่สุด เขาก็กระโดดออกมาบอกว่าจะขออาสาไป ทั้งยังบอกว่าความแข็งแกร่งของตระกูลเผยในแดนเสฉวนนั้นน่าทึ่งมาก ความสะดวกสบายนี้อย่าได้ใช้อย่างไร้ประโยชน์

 

 

“ไม่อยากให้ตาย ต้องมีชีวิตรอดกลับมา เจ้าอายุแค่สิบเจ็ดปี วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล พวกเรายังมีความหวานชื่นอีกมากมายไม่ได้เสพสุข หากตายตอนนี้จะขาดทุนมาก เพียงแค่ออกจากตระกูลก็ไม่อยากอยู่แล้วหรือ ข้าไม่เชื่อ!

 

 

เมื่อเผชิญหน้ากับการให้กำลังใจของอวิ๋นเยี่ย เผยอิงหัวเราะและพูดว่า “พี่อวิ๋น ตอนนี้ข้าเป็นคนของสำนักศึกษา ไม่ใช่คุณชายของตระกูลไหน ชีวิตนี้ได้รับจากสำนักศึกษา หากไม่มีสำนักศึกษารับอนุเคราะห์ไว้ ข้าคงกลายเป็นมนุษย์เทียนไขแล้ววางคู่กับลวี่จู๋อยู่หน้าหอป้ายวิญญาณตระกูลโต้วไปตั้งนานแล้ว”

 

 

“อย่าพูดไร้สาระ อย่างน้อยก็ยังมีมารดาเจ้าเป็นห่วงเจ้า ตั้งใจศึกษาให้ดี ตั้งใจทำงานให้ดี ก้าวขึ้นไปให้สูงกว่านี้เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็น” อวิ๋นเยี่ยได้แต่งัดไม้ตายออกมาใช้ ทุกคนต่างก็มีมารดา ความรักของมารดาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ใช่เรื่องที่คิดผิดอะไร

 

 

แต่สุดท้ายการนำมาใช้กับเผยอิงนั้นผิดไปแล้ว เผยอิงหัวเราะจนหน้าบิดเบี้ยว “พี่อวิ๋น ข้าเกาะอยู่ที่ประตูหน้าบ้านปฏิเสธที่จะออกไปข้างนอก เพราะข้ารู้ว่าถ้าออกไปข้าต้องตายแน่ เจ้ารู้ไหมว่าใครเป็นคนผลักข้าออกไป ถูกต้อง ท่านแม่ข้าเอง แม่บังเกิดเกล้าของข้า! เพื่อที่จะไล่ข้าให้ออกไป นางจิกลากบนหลังมือข้าจนเป็นรอยเลือดสี่เส้น พี่อวิ๋น เจ้าคิดอย่างไรกับความรักของแม่เช่นนี้”

 

 

ทำให้อวิ๋นเยี่ยจนด้วยเกล้าพูดไม่ออกเลย แม่ของเขาก็ช่างโหดเ**้ยมเสียจริง ต้องเป็นแม่ประเภทไหนกันจึงจะทำเช่นนี้ได้

 

 

“เจ้าลูกนอกคอกจงฟังไว้ แม้ว่าทุกคนในใต้หล้านี้จะโหดเ**้ยมกับเจ้า เจ้าก็ไม่ควรดูถูกตัวเองและปล่อยตัว ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น พวกเขาเป็นคนสารเลวแต่พวกเราไม่ใช่ เจ้าไปหาหญิงที่อ่อนโยนมีเมตตาสักคนแล้วแต่งงานเสีย แล้วจงรักภรรยาและลูกๆ ของตนเองให้มาก ใช้เวลาไม่นาน แล้วเจ้าจะค้นพบว่าความคิดอยากจะตายของเจ้ามันน่าขันเพียงใด”

 

 

“พี่อวิ๋นอย่าโกหกข้า ข้าถูกหลอกจนกลัวแล้ว หากมีผู้หญิงเช่นนี้จริง หากจะให้ข้าแต่งเข้าตระกูลนางข้าก็ยอม”

 

 

“หากเจ้าไม่มีความคิดที่ว่าจะต้องเหมาะสมกับฐานะอะไรพวกนั้น ผู้หญิงเช่นนี้คาดว่าจะมีอยู่ไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม หญิงเช่นนี้คงหาได้ยากจากตระกูลใหญ่ เจ้าค่อยๆ หาไป เมื่อเจ้าพบแล้วจงบอกข้า ข้าจะจัดโต๊ะเลี้ยงฉลองให้เจ้า”

 

 

“พี่อวิ๋น ในตอนนี้ แม้แต่ท่านแม่ข้าก็พึ่งพาอะไรไม่ได้ ดูเหมือนว่าน้องคงต้องหาหญิงที่ดีด้วยตัวเองแล้ว”

 

 

ท้ายที่สุดแล้วเผยอิงก็ยังคงไปขนไม้ โดยนำผู้คนประมาณร้อยคนมุ่งหน้าไปยังแดนเสฉวน ทั้งยังพาอวี้ซัน ซินเย่ว์และคนรับใช้ของจ้าวเหยียนหลิงไปด้วย เผยอิงต้องการที่จะบรรเทาความคับแค้นใจผ่านความยากลำบาก จึงได้แต่ขอให้เขาประสบความสำเร็จ

 

 

อวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะเผาอิฐในเมือง ในแผนของเขา เขาต้องการขุดแม่น้ำด้านนอกและแม่น้ำในประเทศให้มาบรรจบกันเพื่อให้กลายเป็นระบบการขนส่งทางน้ำที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจำเป็นต้องทำการขุดตัดขาดถนนสามสายแล้วสร้างสะพานไว้ด้านบน โดยเรื่องนี้ต้องให้ทางการอนุญาตเสียก่อนจึงจะทำได้

 

 

อวิ๋นเยี่ยนำ**บใส่แบบก่อสร้างขนาดใหญ่หลาย**บเข้าวัง อย่างไรเสียหัวหน้าผู้บัญชาการของโครงการก็คือฮองเฮา ไม่รู้ว่าทำไมคราวนี้หลี่ซื่อหมินจึงไม่สนใจถามถึงเรื่องนี้เลย หรือว่าเขารู้สึกอับอายจนไม่กล้าพบอวิ๋นเยี่ย

 

 

ทันทีที่ความคิดนี้เกิดขึ้น อวิ๋นเยี่ยก็สำรอกน้ำลายออกมาหลายคำอย่างต่อเนื่อง อยากจะให้หลี่ซื่อหมินมีความรู้สึกเช่นนี้ตามเรื่องเล่า ยังยากกว่าการให้แม่หมูปีนต้นไม้เสียอีก

 

 

“ทำไมจึงต้องขุดให้ถนนตัดขาด” เห็นชัดๆ ว่าจั่งซุนดูไม่เข้าใจภาพแบบก่อสร้างที่อวิ๋นเยี่ยวาด แต่แกล้งทำเป็นชี้ไปที่กำแพงเมืองในแบบก่อสร้างแล้วเอ่ยถาม

 

 

“เพราะกระหม่อมมีเงินเพียงสามหมื่นก้วน จึงจำเป็นต้องใช้อย่างระมัดระวังทุกฝีก้าว ดินที่ถูกขุดขึ้นมาจะถูกเผาเป็นอิฐ ดินที่เหลือจากนั้นจะถูกนำมาใช้สร้างรากฐานของตำหนักใหม่ ทางที่ขุดขึ้นมาจะเชื่อมต่อกับแม่น้ำด้านนอกเพื่อสร้างเครือข่ายน้ำ ดังนั้นการขนส่งวัสดุก่อสร้างเช่นนี้จะช่วยประหยัดเงินและกำลังคนได้เป็นจำนวนมาก”

 

 

อธิบายตามตำราทุกประการ เสียงของอวิ๋นเยี่ยไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรเลย อธิบายให้จั่งซุนฟังด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

 

“เจ้าไม่พอใจเราเป็นอย่างมาก” น้ำเสียงของจั่งซุนก็แฝงไปด้วยบารมีน่าเกรงขามของฮองเฮาโดยไม่รู้ตัว

 

 

เช่นนี้จึงจะถูกต้อง งานหลวงนี่นะ ทำให้เป็นกิจจะลักษณะจะดีกว่า จะพูดเรื่องมิตรภาพกับจั่งซุนนั้นมันได้ไม่คุ้มเสีย อวิ๋นเยี่ยกลัวที่สุดก็คือการต้องต่อสู้กับศัตรูด้วยความรู้สึก สำหรับเรื่องงานนั้นแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยใส่ใจ ในยุคนี้ คนที่มีความรู้มากไปกว่าเขานั้นเรียกได้ว่าไม่มีเลย

 

 

“กระหม่อมจะกล้าได้อย่างไรกัน เพียงแค่ฮองเฮาทรงรับสั่ง กระหม่อมก็รีบเริ่มทุ่มเทสุดชีวิต เหล่ากั๋วกงหลายท่านเห็นกระหม่อมน่าสงสารจึงได้นำเงินค่าใช้จ่ายในครอบครัวมามอบให้กระหม่อมได้นำไปใช้ กระหม่อมจึงควรใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ให้คุ้มค่า เช่นนี้จะได้ไม่ผิดต่อความคาดหวังของพวกท่าน”

 

 

“ไม่ต้องพูดให้เจ้าเป็นคนน่าสมเพชเพียงนั้น หลายปีที่ผ่านมาเจ้าอยู่ข้างกายเรามาตลอด เจ้าเป็นคนเช่นไรคิดว่าเราไม่รู้หรือ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเจ้ามีลูกเล่นอะไร แต่ตอนนี้เราบอกได้เลยว่าหากตอนนี้ไม่กดดันให้เจ้าสร้างตำหนักใหม่ ในกรมโยธาจะไม่มีใครกล้ามีหน้าที่จะอยู่ในตำแหน่งของตนเองต่อไป เสี่ยวเยี่ย เจ้าต้องการเงินมากมายไปทำอะไร เจ้าต้องการสร้างสำนักศึกษาแต่นั่นไม่ใช่สำนักศึกษา แต่เป็นเมืองฉางอันเมืองที่สอง ใช้เงินไปมากมายเพียงนั้น เงินถูกเจ้านำไปสร้างสำนักศึกษาหมดแล้ว แล้วประเทศชาติจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เรียกว่าเงินนี้มีจำนวนให้นับ หากเจ้านำไปใช้มาก เช่นนั้นราชสำนักก็ได้ใช้น้อยลง เจ้าสร้างอาคารเรียนหนึ่งหลัง ไม่แน่ว่าราชสำนักจะสร้างเมืองน้อยลงไปอีกแห่ง เรื่องไหนหนักเรื่องไหนเบาคนฉลาดเช่นเจ้ามีหรือจะมองไม่ออก”

 

 

จั่งซุนเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงแล้ว อวิ๋นเยี่ยยังจะทำอะไรได้ พวกเขามองเงินด้วยมุมมองเช่นนี้ หลงเข้ามาในยุคนี้ อวิ๋นเยี่ยทั้งตื่นเต้นทั้งเศร้าใจ

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] เครื่องไหว้ซาแซ หมายถึง เนื้อสัตว์สามอย่าง ซึ่งจะประกอบไปด้วย ไก่ เป็ด และหมู 

 

 

[2] จันทัน โครงสร้างเครื่องบนของหลังคาทรงปั้นหยา หรือทรงมนิลา วางพาดตามความลาดของหลังคา ตอนบนพาดอยู่กับอกไก่ตอนล่างพาดอยู่กับเสา จันทันทำหน้าที่รองรับแปกลอน ระแนง และเครื่องมุงชนิดต่างๆ